หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1054

ตอนที่ 1054

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1054 ส่วนในสุสาน
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากถ้ำราวกับคลื่นยักษ์

ขณะที่ร่างสูงโปร่งค่อยๆ ก้าวย่างออกมาภายใต้สายตาจดจ่อของจิ่วโยว หานซันและคนอื่น

เมื่อพวกเขาเห็นเงาร่างนั่นก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เพราะยามนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทรงพลังจากอีกฝ่าย

แรงกดดันทำให้พวกเขาต้องทอดถอนหายใจ ในความจริงพวกเขาก็เป็นจอม์ยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดมานานมาก ทว่าแรงกดดันที่มู่เฉินผู้ซึ่งเพิ่งบุกเข้าสู่ขั้นเดียวกันกลับก้าวข้ามพวกเขาไปไกล

แต่พวกเขาก็เศร้าเสียใจเพียงชั่วครู่ เพราะสำหรับสัตว์ประหลาดที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ตั้งแต่เขาอยู่ในขั้นหก พวกเขาก็ไม่แปลกใจที่เขามีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา

ขณะที่ทุกคนกำลังรำพึงรำพัน มู่เฉินก็ยืนอยู่นอกถ้ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวค่อยๆ ย้อนกลับเข้าไปก่อนจะถูกเก็บไว้ในร่างกาย เขาค่อยๆ กำหมัดรู้สึกถึงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่ไหลเวียนทั่วเส้นสายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปาก

เขาค้นพบว่าคลื่นหลิงในร่างกายมีพลังมากกว่าก่อนหน้าหลายเท่า ความหนาแน่นก็เกินกว่าที่เคยเป็นมามาก

ตามการประเมินหากเขาต้องต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปดอีกครั้ง เขาก็ไม่ต้องลำบากในการสร้างค่ายกลมากมาย ด้วยพลังในปัจจุบันการฆ่าอสูรวิญญาณขั้นนั้นไม่ยากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

ด้วยขุมพลังหลิงระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับความแข็งแกร่งของพลังกาย พลังโดยรวมของเขาเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป

มากจนกระทั่งเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวความก้าวหน้าของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นี้…

มู่เฉินหรี่ตาลง มิติผันแปรที่เบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือพร้อมกับคลื่นซัดสาดและพลังงานหลิงพลุ่งพล่านเชี่ยวกราก มีแท่นสีขาวลอยเงียบสงบอยู่ที่เบื้องล่างทะเลพลังปลดปล่อยพลังชีวิตไร้ขอบเขตออกมา ทำให้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ควบแน่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

ตอนนี้มู่เฉินยังไม่สามารถชำระเม็ดบัวมรกตเก้าโคจรได้ ดังนั้นเขาจึงวางเม็ดบัวลงไปในจุดจื้อจุนไห่และปราบปรามเอาไว้

ด้วยวิธีนี้พลังชีวิตของเม็ดบัวขาวจะสามารถหล่อเลี้ยงคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและพยายามที่ปลดห่วงตรวนเพื่อเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน เม็ดบัวขาวนี้ก็จะช่วยเขาให้บรรลุเป้าหมาย

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าวันเวลาที่ว่าไม่ได้ไกลจากนี้แล้ว เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในขั้นเจ็ดแล้ว อีกเพียงสองขั้นก็จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า

ความคิดของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะถูกระงับ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเข้าไปส่วนในของสุสานสักการะเทพ ช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

จุดจื้อจุนไห่ที่ด้านหลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพรรคพวกด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปกันเถอะ เราควรไปยังส่วนในแล้ว”

จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในตนเองของเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียหัวใจพาฬกินสายฟ้าที่เป็นไพ่ตายไป แต่การเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้เกิดจากพลังของตัวเขาเอง

เมื่อบรรลุขุมพลังได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะปะทะกับไป๋หมิงอีกต่อไป

เมื่อเห็นมู่เฉินมีความมั่นใจเช่นนี้ แม้แต่จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็รู้สึกมั่นใจตามขึ้นมา แต่ละคนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป

ในการเดินทางต่อไป มู่เฉินไม่ได้หยุดพักอีก ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเนตรดับชีวิต ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงอสูรวิญญาณขนาดใหญ่ไปได้อย่างง่ายดาย มุ่งหน้าไปยังส่วนในโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ

พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ครึ่งวันก็รู้สึกว่าทิวทัศน์โดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป มิติเบื้องล่างเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดงเข้ม สีเข้มข้นนี้ทำให้หัวใจผู้คนเต้นรัว มีรัศมีลางร้ายถูกปล่อยออกมาเลือนราง ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายพลุ่งพล่านไม่หยุด

ความเร็วในการเดินทางของกลุ่มมู่เฉินเริ่มช้าลง พวกเขามองไประยะไกล ก็เห็นฟ้าดินบริเวณนั้นเหมือนมีม่านแสงสีทองเข้มปกคลุมลงมา แบ่งฟ้าดินออกเป็นส่วนนอกและส่วนใน

“เราจะเข้าสู่สุสานสักการะเทพหลังจากผ่านม่านแสงนี้” มู่เฉินจ้องมองม่านแสงมหึมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ไม่อาจบรรยายได้มาจากม่านแสงขวางกั้น นี่จะต้องเป็นค่ายกล นอกจากนี้พลังของค่ายกลนี้ก็มีเพียงหลิงเจิ้นต้าซือตัวจริงที่สามารถจัดตั้งขึ้นได้

คนอื่นๆ พยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึมและระมัดระวัง

“ไป”

มู่เฉินทะยานนำออกไปเข้าใกล้ม่านแสง เห็นสัญลักษณ์ลึกล้ำนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่บนม่านแสง ทุกสัญลักษณ์เปล่งพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา

การกีดขวางที่เกิดขึ้นจากม่านแสงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังไม่สามารถบุกทะลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มมู่เฉินเลย

ดังนั้นมู่เฉินจึงครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะกำมือ หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปดปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็โยนออกไป ค่อยๆ เข้าใกล้ปราการม่านแสง

สัญลักษณ์โบราณไหลเวียน เส้นใยรัศมีก็พล่านลงมาปกคลุมหัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปด ภายใต้แสงสว่าง หัวใจสีดำก็กำจายไอหมอกสีดำออกมาซึ่งเป็นรัศมีความตายอันทรงพลัง แต่เมื่อรัศมีความตายเข้าไปสัมผัสกับรัศมีกระจ่างก็ระเหยหายไปหมด

ดังนั้นหัวใจที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายจึงกลายเป็นหัวใจธรรมดาในเวลาไม่กี่อึดใจ รัศมีความตายในนั้นถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้หัวใจอสูรวิญญาณยังคงมีร่องรอยของพลังชีวิตและชีพจรเบาบาง

มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นภาพนี้ ไม่คิดว่าค่ายกลจะทรงพลังปานนี้ ไม่เพียงแต่ชำระรัศมีความตายได้ แต่ยังสามารถมอบพลังให้หัวใจที่ตายไปแล้วนับหมื่นปีให้มีร่องรอยแห่งชีวิตชีวา

แต่…มู่เฉินรู้ว่าถึงกระนั้นหัวใจดวงนี้ก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก…

หัวใจที่ถูกชำระจนสะอาดค่อยๆ เคลื่อนไปทางปราการช้าๆ ก่อนที่จะหลอมรวมเข้าไป ราวกับว่ากลายเป็นแสงรวมอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่

เมื่อหัวใจรวมกับม่านแสง รอยแตกเล็กๆ ก็ค่อยๆ เปิดขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา

มู่เฉินมองรอยแตกแล้วสูดหายใจเข้าลึก เขาหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้าก้าวนำเข้าไป

ด้านหลังพรรคพวกก็ก้าวตามเข้ามา

หลังจากก้าวเข้าไปในรอยแตก ภาพแรกที่เข้ามากระแทกในดวงตาของทุกคนก็คือดินแดนสีแดงเข้ม แผ่กระจายไปไกลไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมหาสมุทรโลหิตสีแดงก่ำ

มีรัศมีแปลกประหลาดในดินแดนสีแดงเข้ม สีเหล่านั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่เป็นเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ซึ่งเลือดนี้ต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นไม่มีทางชัดเจนปานนี้แม้ว่าจะผ่านไปหมื่นปีก็ตาม จ้องมองชั่วครู่ก็ทำให้มู่เฉินและพรรคพวกรู้สึกถึงความเย็นเยือกในร่างกาย

ดินแดนนี้ประหนึ่งปีศาจ

กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ไม่กล้าลงไปยังดินแดนแห่งนี้ พวกเขายืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปบนท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอก

นั่นเป็นเพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีทรงพลังที่ก่อกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว ปณิธานของพวกเขาก็ยังคงอยู่ราวกับว่ากำลังระงับบางสิ่ง

ผืนฟ้าและผืนดินมองดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

และกลุ่มของมู่เฉินก็ดูตัวเล็กมาก ยามนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นมดอยู่ในฝ่ามือของยักษ์สองตัว

“การต่อสู้ที่นี่คงรุนแรงที่สุดในดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ผ่านมาหมื่นปี ภาพที่ปรากฏก็ยังโหดเหี้ยม ยากที่จะจินตนาการว่าสงครามแบบไหนที่เกิดขึ้นที่นี่

เผ่าปีศาจต่างมิติมาพร้อมกับคลื่นความโหดร้าย จอมยุทธ์ที่ปกป้องดินแดนเสินโซ่ใช้ทุกอย่างที่มี เพื่อปะทะกับเผ่าต่างมิติที่น่ากลัว

แค่คิดเกี่ยวกับการสงครามครั้งนั้นอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหวั่นไหว

ใบหน้าของจิ่วโยวและคนที่เหลือเคร่งขรึมลงด้วยความตื่นระวัง ในดินแดนแห่งนี้อันตรายเล็กน้อยก็สามารถฝังกลบพวกเขาทั้งเป็นได้

“ไปกันเถอะ พยายามอย่าลงไปบนพื้นดิน” มู่เฉินมองไปที่ระยะไกลแล้วโบกมือ ในเมื่อพวกเขาเข้ามาส่วนในแล้วก็ไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ

จบคำพูดเขาก็ทะยานออกไป แต่คราวนี้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นขณะที่เดินทาง ไม่กล้าที่จะตะลุยไปข้างหน้าแบบเช่นเคย นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะใช้เนตรดับชีวิต เพราะถ้าเขาพบวัตถุโบราณจนถูกโต้กลับ จะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทนได้

โชคดีที่ส่วนในไม่ใหญ่เท่าที่คิด หลังจากเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ชะลอความเร็วลง นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งปรากฏในดินแดนที่ย้อมด้วยสีเลือดนี้

นั่นคือแท่นบูชาโบราณมหึมาที่มีขนาดหนึ่งหมื่นจั้งยืนตระหง่านบนพื้นราวกับว่าเชื่อมโยงสวรรค์และโลก

โซ่หินนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากแท่นบูชา โซ่เหล่านั้นเชื่อมต่อกับผืนดินราวกับว่ากำลังพันธนาการบางอย่าง

มู่เฉินมองดูแท่นบูชาก็เกิดความคาดเดาในใจ สิ่งที่พวกเขาต้องการในครั้งนี้น่าจะอยู่ที่นี่แหละ

ขณะที่ความคิดนี้วาบวับ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสายตาผสมการเยาะเย้ยสาดมาจากอีกทิศทางหนึ่งของแท่นบูชา

มู่เฉินเบนสายตาไป ตามคาดก็เห็นไป๋หมิงที่ถือพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งและสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าคนอื่นๆ

ไป๋หมิงโบกพัด ฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยให้มู่เฉินจากระยะไกล

“ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าปรากฏตัวที่นี่จริงๆ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ากล้าหาญหรือโง่สุดๆ ดี?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท