หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1060

ตอนที่ 1060

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1060 พัดโลหิตสำแดงอำนาจ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!

พัดน้ำแข็งสีแดงสั่นเทิ้มเบาๆ บนท้องฟ้า เสียงน่ากลัวของลมถูกฉีกขาดกระจายออกมา มิหนำซ้ำยังผสมผสานด้วยกลิ่นคาวเลือดหนาแน่น

ทันใดนั้นอุณหภูมิในฟ้าดินก็เย็นลงฉับพลัน ร่องรอยของความเย็นดูราวกับสามารถเจาะเข้าไปในกระดูก ทำให้ร่างกายถูกรุกรานด้วยไอเย็นเยือก

บนแท่นบูชาเมื่อผู้คนเห็นภาพที่น่าตกใจนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งไป๋ปิง ฉื่อหงหวู่และจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้ายังฉายสีหน้าตลกมาก

“บ้าจริง! ไป๋หมิงสติแตกแล้ว!” ใบหน้าของฉื่อหงหวู่เขียวคล้ำขณะกัดฟันกรอด “เขาใช้กระบวนท่านั้นจริงๆ เขาไม่รู้หรือไงว่านี่จะทำให้อาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียหายแค่ไหน?!”

ที่เรียกว่าสังเวยโลหิตหงส์ฟ้าก็คือกระบวนท่าที่ต้องบาดเจ็บทั้งคู่ แม้ว่าจะสามารถยกระดับพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ให้อยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ แต่ก็เป็นทักษะที่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อตัวอาวุธ

แต่ตอนนี้ไป๋หมิงคิดใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อคว้าชัยชนะ

ที่ข้างนาง ไป๋ปิงก็ตัวแข็งทื่อเมื่อมองไปที่พัดสีแดง เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงมาถึงจุดนี้

“ถึงแม้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์จะมีค่า แต่ตราบใดที่พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ทุกอย่างก็คุ้มค่า!” ไป๋ปิงหาข้ออ้างให้ไป๋หมิงขณะที่เอ่ยต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ไป๋หมิงจะแพ้การต่อสู้นี้ไม่ได้ เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขาแพ้ต่อมู่เฉินก็จะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์เรา”

“เจ้า!”

ฉื่อหงหวู่เดือดดาล แต่สุดท้ายก็ระงับความโกรธลง เรื่องมาไกลถึงขนาดนี้ ไร้ประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อไป ไป๋หมิงถลำลึกกับชัยชนะและความภาคภูมิใจมากเกินไป เขาไม่อาจรับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อชนะ

หากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน หลังจากใช้ทักษะนี้พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นทบทวี แม้ว่าจะไม่สามารถไปถึงระดับของอาวุธมหสวรรค์ได้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์อื่นๆ แน่นอน

เผชิญหน้ากับไป๋หมิงที่มีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้น ก็ไม่มีโอกาสชนะสำหรับมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ก็ตาม…

“เฮ้ย ไป๋หมิงถูกบีบให้ถึงขนาดนี้เชียว…” ฉื่อหงหวู่และพรรคพวกไม่ได้ตกใจแค่กลุ่มเดียว แม้แต่อีกสี่คนที่อยู่ในลานประลองอีกสองแห่งก็มีท่าทางเปลี่ยนไป ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกันกับไป๋หมิง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจไพ่ตายใบนี้ดี ถึงจะเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญกับกระบวนท่าครั้งนี้จากไป่หมิง พวกเขาก็ต้องล่าถอย หากถอยไม่ทันก็อาจจะต้องจ่ายในราคาที่แพงระยับ

แต่ตอนนี้วิธีที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวกลับถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่เมื่อเห็นการประลองครั้งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถกระทั่งยิ้มอีกต่อไปได้ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าแม้กระทั่งพวกเขาเองก็ยากในการเอาชนะมู่เฉิน

มนุษย์คนนี้เคี้ยวไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาคิดไว้

ขึ้นไปบนท้องฟ้ามู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่พัดสีแดงฉานที่ลอยอยู่เหนือไป๋หมิง เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามซึ่งทำเอาหนังหัวชาวาบ

สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหวแต่ก็ไม่ได้หันหลังเพื่อถอยกลับ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าไม่มีทางที่ตนเองเลือกจะหนี จังหวะที่เขาก้าวถอยออกไปก็เท่ากับการละทิ้งแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโจมตี

เนตรดับชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้งบนหน้าผากของมู่เฉิน แสงสีดำกะพริบวูบวาบ ลำแสงสีดำพุ่งออกมาฉีกขาดเส้นขอบฟ้ายิงใส่หัวของไป๋หมิง

“หึ…”

ภายใต้พัดสีแดงเข้ม ใบหน้าซีดเซียวของไป๋หมิงก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นจ้องมองลำแสงสีดำที่พุ่งเข้ามา

ฮึ่ม!

เมื่อลำแสงอยู่ห่างจากเขาไปสิบจั้ง กระแสเย็นเยือกสีแดงเข้มก็กวาดออกมาแช่แข็งลำแสงสีดำเอาไว้ทันที ทำให้กลายเป็นเสาน้ำแข็งก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเพิ่มขึ้นขนาดนี้เชียว

“ครั้งนี้ข้าไป๋หมิงตาบอดไปจริงๆ ถึงถูกเจ้าบีบมาจนจุดนี้…” เมื่อใบหน้ายกขึ้นก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในดวงตาของไป๋หมิงขณะจ้องมองมู่เฉินก่อนที่เสียงจะดังสะท้อนช้าๆ

“แต่ในเมื่อสถานการณ์ไปไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจ เพื่อแสดงความขอบคุณที่บีบให้ข้ามาถึงจุดนี้ ข้าจะแช่แข็งแกให้เป็นรูปปั้นเก็บไว้เป็นของที่ระลึกเพื่อเตือนความทรงจำ”

ดวงตาของไป๋หมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองมู่เฉินพร้อมกับมุมปากโค้งขึ้น ใบหน้าซีดเซียวดูโหดร้ายยิ่ง

เมื่อจบคำพูด เขาก็ยื่นมือออกมา พัดสีแดงเข้มพลิ้วลงมาช้าๆ ก่อนที่เขาจะจับไว้ในมือ

เขาจับด้ามพัดไว้แล้วโบกไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส

ฮึ่ม!

สายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มกวาดออกมาราวกับพายุ ความเร็วเกินขอบเขตคำบรรยาย สายธารกลั่นตัวตัวเป็นใบมีดนับไม่ถ้วน ใบมีดเหล่านี้มีสีแดงเลือด แต่ละเล่มสามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้

การโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวจริงๆ

เมื่อพายุสีแดงเข้มขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่กล้าที่จะประวิงเวลา แค่คิดร่างเทพสุริยะก็ระเบิดด้วยแสงสีทองตระการตาราวกับเป็นปราการทองคำ

ปัง! ปัง!

ดงดาบสีแดงเข้มพร้อมกับสายธารกระแทกอย่างแรงกับร่างเทพสุริยะ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้แสงสีทองพร่างพราวของร่างเทพสุริยะก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะระเบิดออก

“ฟันลงซะ!”

ไป๋หมิงยิ้มเหี้ยมแล้วกำมือ ทันใดนั้นสายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มบนท้องฟ้าก็ควบแน่นเป็นใบมีดยาวสีแดงขนาดหมื่นจั้ง เมื่อใบมีดเฉือนลง มิติก็ฉีกขาดขณะที่พุ่งลงมาใส่ร่างเทพสุริยะ

ก่อนที่ใบดาบจะตกลงมา มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่รุนแรง ดวงตากะพริบวาบ ตราประทับถูกวาดด้วยมือข้างเดียว จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงก่อตัวขึ้นเป็นปีกคู่หนึ่งผุดขึ้นทันท่วงที ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้น ร่างกลายเป็นแนวแสงถอยออกมาจากหัวของร่างเทพสุริยะ

ชี่!

เมื่อใบมีดน้ำแข็งฟันลงมาก็แยกร่างเทพสุริยะออกเป็นสองส่วน ความคมชัดที่น่ากลัวทำให้เปลือกตาของมู่เฉินกระตุก

“ลื่นเป็นปลาไหลเลย” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินถอยไปได้ทันท่วงที ไป๋หมิงก็ยิ้มก่อนจะมองไปที่ปีกหงส์ฟ้าที่อยู่บนหลังมู่เฉิน เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงที่มาจากมัน ซึ่งนี่ทำให้ดวงตาของเขาแดงฉานขึ้นทันที

“แกมีสมบัติของตระกูลข้าที่อัดแน่นด้วยรัศมีหงส์ฟ้าจริงด้วย ดูเหมือนข้าได้อีกเหตุผลที่จะฆ่าแกแล้ว”

ไป๋หมิงหัวเราะ จากนั้นก็กระทืบเท้า ปีกสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งกางออกที่ข้างหลัง ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินทันที เส้นโป่งพองบนพัดโลหิตนั้นราวกับเส้นเลือดขณะที่เขาสะบัดลงมา

ตู้ม!

สายธารโลหิตร้องคำรามราวกับมังกรตัวมหึมากวาดเข้าใส่มู่เฉิน

หลังจากได้เห็นพลังพัดโลหิต มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป แสงสีทองระเบิดในเวลาเดียวกับที่เขาถอย กายามังกรหงส์ถูกเร้าจนถึงขีดสุด ป้องกันรอบตัวเอาไว้

ปัง!

สายธารโลหิตแดงฉานครางกระหึ่มเข้ามากระแทกร่างมู่เฉิน คลื่นเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวทำให้แสงสีทองรอบร่างมู่เฉินลดลงทันที นอกจากนี้ร่างของเขายังถูกกระแทกกลับราวกับว่าได้รับผลกระทบหนักหน่วง เขาดิ่งพสุธาลงมาบนพื้น หลุมขนาดร้อยจั้งก็ปรากฏขึ้นบนลานประลองอันแข็งแรง

จอมยุทธ์ที่อยู่บนแท่นบูชาเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นภาพนี้ ตอนนี้มู่เฉินเห็นได้ชัดว่าถูกผลักกลับโดยไม่สามารถขัดขวางไป๋หมิงได้

จิ่วโยว มั่วหลิงและคนอื่นก็มีใบหน้าซีดเซียว การต่อสู้นี้ดุเดือดมาก ไม่คิดว่ามู่เฉินที่ได้เปรียบเมื่อครู่จะพลิกกลับไปในตำแหน่งเสียเปรียบ

จิ่วโยวกัดฟันขณะที่กำมือแน่นด้วยความกังวลอัดแน่นในดวงตา มากจนนางอยากให้มู่เฉินหยุดที่จะต่อสู้กับไป๋หมิงด้วยซ้ำ นางสามารถยอมแพ้ต่อแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางรู้ว่าด้วยตัวนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้

มู่เฉินไม่ใช่เด็กน้อยที่มณฑลเป่ยหลิงอีกต่อไป ประสบการณ์ความเป็นตายหลายปีได้ขัดเกลาให้เขาอดทนและ…ทรงพลังมาก

ในปากหลุมขนาดใหญ่บนลานประลอง มู่เฉินนอนพังพาบอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือดซึ่งเกิดจากคลื่นใบมีดเย็นเยือก ทำให้เขาดูราวกับมนุษย์เลือด

บนแท่นบูชาคนอื่นๆ ก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจ ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันผลลัพธ์เห็นชัดเจนว่ามู่เฉินแพ้การต่อสู้

แต่แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ก็ต้องภูมิใจที่สามารถบังคับให้ไป๋หมิงมาถึงขั้นนี้

บนท้องฟ้าไป๋หมิงกระพือปีกน้ำแข็งสีฟ้าขณะที่ยืนก้มมองมู่เฉินที่อยู่ในหลุม ก่อนที่จะโบกพัดน้ำแข็งสีแดงเข้มในมือเบาๆ ปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวออกมา

แววดุร้ายและเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากของเขาขณะยิ้ม “ก่อนหน้านี้แกเคยคิดว่าจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้รึเปล่า? ราวกับหมาจรจัด”

ในปากหลุมขนาดใหญ่มู่เฉินไม่ขยับตัว ดวงตาปิดลงราวกับว่าเขายอมรับสภาพ

เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้ก็ส่ายหัวโดยไม่สนใจพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อยอมแพ้ก็ตายซะ”

จบคำพูดพัดสีแดงเข้มก็พุ่งออกมาจากมือแล้วโบกสะบัดรุนแรง สายธารโลหิตเย็นเยือกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมารวมตัวกับพายุทอร์นาโดสีแดงเลือดแดงขนาดมหึมา พายุทอร์นาโดนี้ราวกับมังกรยักษ์ที่ฉีกผ่านฟ้าดิน พุ่งหวือไปหามู่เฉินพร้อมกับพลังทำลายล้าง

เห็นได้ชัดว่าไป๋หมิงตั้งใจจะยุติการประลองครั้งนี้แล้ว!

หลายคนส่ายหัวอย่างน่าเสียดาย

บนแท่นบูชา คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยวพร้อมกับไอเย็นเยือกในดวงตา เห็นได้ชัดว่านางทนไม่ไหวอีกต่อไปและคิดจะออกไปจัดการ

ทว่าขณะที่พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดกวาดลงมา มู่เฉินที่หลับตาแน่นก็เบิกตาโพลง

จังหวะที่เขาลืมตา รัศมีก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

นั่นคือรัศมีแห่งการเสียสละตนกลายเป็นปีศาจ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท