หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1065

ตอนที่ 1065

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1065 สามราชันเทพอสูร
ราชินีวิหคอมตะมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติอะไรเลย ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ท่าทางของอีกฝ่าย ชัดว่าค้นพบตัวตนของเขาในฐานะจั้นเจิ้นซือแล้ว

แม้เขาจะไม่เคยเผยออกมา แต่ก็ถูกค้นพบ ซึ่งนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงในหัวใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน่ากลัวปานนี้เชียวรึ? เพียงมองแวบเดียวนางก็เห็นความลับทั้งหมดของเขาได้

บนแท่นบูชาผู้คนอื่นๆ ก็ส้มผัสได้ถึงสายตาของราชินีวิหคอมตะจึงกวาดสายตาตามไปรวมตัวกันที่มู่เฉินด้วยอาการตกตะลึง

“เขาเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความจริงนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างตื่นตะลึง หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าเขายังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดเมื่อประจันหน้ากับไป๋หมิงงั้นเหรอ?

หลายคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวพลางถอนหายใจ ยิ่งรู้สึกว่ามู่เฉินคนนี้ลึกเกินหยั่งถึงมากขึ้น

“สหายน้อย เจ้ายอมช่วยเราไหม?” ร่างสะคราญโฉมมองหน้ามู่เฉินด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าเราไม่กำจัดปัญหานี้ กลัวว่าจะไม่มีใครในพวกเจ้าที่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้”

ขวับ!

สายตารอบด้านต่างมุ่งไปที่มู่เฉินด้วยไฟแผดเผาในดวงตา ซึ่งทำให้หัวใจของมู่เฉินรัดแน่น ถ้าเขาปฏิเสธตอนนี้ ไม่ต้องให้ราชันทั้งสามลงมือทำอะไร พวกเขาก็จะรุมสกรัมเขาแน่

จิ่วโยวยิ้มขมขื่นเมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของราชินีวิหคอมตะเฉียบคมจนสามารถมองเห็นความลับของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่อาจซ่อนไว้ได้เลย

ขณะนี้มู่เฉินเข้าใจว่าไม่สามารถถอยไปได้อีก เขาจึงได้แต่ฝืนพูดออกไปว่า “ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงเกินไป พลังของข้าอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ข้าจะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้ยังไง?”

“ได้ไม่ได้ ก็ต้องลองดูก่อน” ราชันอสูรไร้พิรุณเอ่ย “หายนะนี้เกิดเพราะพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าต้องร่วมด้วยช่วยกัน”

พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักแน่นอน ราชันอสูรไร้พิรุณผลักความผิดเก่งไปแล้ว

ทว่าก็เป็นเรื่องโง่ที่จะให้เหตุผลกับร่างดวงจิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก

คึ คึ!

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย ใบหน้าโลกปีศาจก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแปร่งปร่าแปลกประหลาดระเบิดออก ทันใดนั้นมันก็เปิดปาก หมอกปีศาจฟุ้งกระจายออกมาราวกับมังกรปีศาจคำรามข้ามเส้นขอบฟ้ากวาดไปที่แท่นบูชา

“หึ!”

ราชันปักษาวิญญาณเค้นเสียงเย็นพลางโบกแขนเสื้อ แสงห้าสีระเบิดออกมา ซึ่งดูน่าทึ่งอย่างยิ่งและบรรจุด้วยพลังงานลึกลับ เมื่อกวาดออกไปก็บดบังหมอกปีศาจที่ไร้ขอบเขตก่อนที่จะเริ่มกัดเซาะกันและกัน ภายใต้การกัดกร่อนมิติภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งก็พังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นพลังทำลายล้างนี้ หนังหัวก็ลุกชัน ถ้าพวกเขาสัมผัสกับริ้วพลังงานนี้เพียงเล็กน้อย ก็คงสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าริ้วแสงห้าสีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หมอกปีศาจดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากปีศาจ ราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายแท่นบูชาได้

ทุกคนเฝ้าดูด้วยหัวใจสั่นสะท้านจากความหวาดกลัว หากราชันทั้งสามไม่สามารถหยุดปีศาจเหล่านี้ได้ ทุกคนในที่นี้ก็จะตกเป็นอาหารของมัน

“ไอ้ปีศาจขยะนี้รับมือยากขึ้นจริงๆ” ราชันอสูรไร้พิรุณมีสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าเดิม อึดใจก็ซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือแจ่มชัดขนาดหลายหมื่นจั้งปรากฏขึ้น ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็เหมือนไม่สามารถรับฝ่ามือนี้ได้

ด้วยความช่วยเหลือจากราชันอสูรไร้พิรุณ หมอกปีศาจเชี่ยวกรากก็ไม่สามารถเข้าใกล้แท่นบูชาได้ พลังจากสองฝั่งตึงกันเอาไว้ ปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า

คึ! คึ!

แต่ภาวะหยุดชะงักก็อยู่ไม่นาน ใบหน้าปีศาจแผดเสียงอีกครั้ง ทำให้โลกปีศาจสั่นสะเทือนแยกช่องเปิดออกมานับไม่ถ้วน พร้อมกับเงาเหล่าปีศาจพุ่งออกมาจากช่องเปิดเหล่านั้น รัศมีปีศาจรุนแรงปกคลุมดวงอาทิตย์

เพื่อวันนี้ชัดว่าใบหน้าปีศาจเตรียมตัวมานาน ดังนั้นทันทีที่เปิดการโจมตีแม้แต่สามราชันก็ถูกผลักกลับ

เพราะตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่มีร่างกายแท้จริง

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนหน้าที่เขาเห็นราชันทั้งสาม เขายังคงมีความคิดที่จะพึ่งพาอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว เมื่อไรที่ร่างดวงจิตหายไปก็ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้

ทว่าปีศาจเหล่านี้ทรงพลังเกินไปแล้วมั้ง?

“ปีศาจนี้ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาชั่วร้ายของนักรบระดับจอมพลห้าคน ซึ่งยังกลืนกินซากศพนักรบเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วน ทว่าตอนพบเจอ พวกเราทั้งสามได้ละสังขารไปแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ทิ้งร่างดวงจิตเอาไว้เพื่อระงับมัน” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่มู่เฉิน น้ำเสียงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็หายใจลึกสุดปอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีศาจตนนี้ถึงน่ากลัวขนาดนี้ ที่แท้มันถูกสร้างขึ้นจากความคิดโสมมที่หลงเหลืออยู่ของจอมพลปีศาจทั้งห้า ซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคนเลยทีเดียว

มิน่าล่ะร่างดวงจิตของสามราชันเทพอสูรถึงไม่สามารถจัดการได้ ปีศาจตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดานี่เอง

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่เฉินประสานมือแล้วถาม

“ช่วยเราฆ่ามันให้สิ้นซาก!” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับจิตสังหารพลุ่งพล่านในน้ำเสียง

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ด้วยพลังของข้า กลัวว่าจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ ถึงแม้ว่าจะโจมตีเต็มแรงก็ตาม”

ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือ ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตเบ่งบานบนแท่นบูชา ทุกคนเห็นระลอกคลื่นแปรปรวนบนพื้น ร่างเงานับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏขึ้นแล้วยืนอย่างเงียบๆ บนแท่นบูชา

ทุกคนจับจ้องไปก็เห็นร่างจำนวนมากสวมชุดเกราะสัตว์อสูรหลับตาสนิท พวกเขามีร่างที่แข็งแกร่งและความตั้งใจในการฆ่าที่ทรงพลังห่อหุ้มพวกเขาด้วยรัศมีที่ร้ายกาจ ราวกับเป็นเทพความตายกลับชาติมาเกิด

ทุกร่างเงาเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ นอกจากนี้รัศมีของพวกเขาก็ทรงพลังจนพวกมู่เฉินไม่สามารถเทียบได้

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือจำนวนของร่างเงามีหลายหมื่นเลยทีเดียว

นักรบที่ทรงพลังหลายหมื่นเห็นได้ชัดว่าเป็นกองทัพที่น่ากลัวเกินกว่ากองทัพใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นมาก่อน

หากเขาสามารถสั่งการกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา

“นั่นกองทัพอสูรสวรรค์ในตำนานรึ?!”

ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงกับกองทัพเบื้องหน้า เสียงอุทานก็ดังกึกก้องไปทั่วแท่นบูชา จอมยุทธ์มากมายมีท่าทางตะลึงงัน

“กองทัพอสูรสวรรค์?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง เนื่องจากตัวเขาไม่ได้เป็นสัตว์อสูร ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทราบเรื่องความลับดังกล่าว

“เล่าลือว่าในสมัยโบราณราชันทั้งสามแห่งดินแดนเสินโซ่มีกองทัพที่ทรงพลังที่สามารถฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ กองทัพนี้เป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพอสูรสวรรค์ หากข้าเดาได้ถูกต้องก็น่าจะเป็นกองทัพที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ” จิ่วโยวบอกออกมา

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของจิ่วโยวก็ตกตะลึงอยู่ในใจ กองทัพที่สามารถสังหารจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้จะน่าสะพรึงขนาดไหน? กองทัพชั้นยอดเช่นนี้เป็นสุดยอดปรารถนาของจั้นเจิ้นซือทุกคน ตราบใดที่สามารถควบคุมได้ มีสถานที่ใดบ้างที่จะไม่กล้าไปเยือนในมหาพันภพนี้?

“กองทัพอสูรสวรรค์แท้จริงสูญสิ้นไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้น นี่เป็นเพียงซากจากโครงกระดูกของนักรบ ซึ่งรักษาส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเอาไว้ได้และเป็นวิธีสุดท้ายของพวกข้าในการทำลายล้างปีศาจนี้” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบา ยังไงตอนนี้พวกนางก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้เหมือนในเวลานั้น ดังนั้นพวกนางจึงต้องขอยืมมือจากภายนอก เนื่องจากพวกนางไม่ใช่จั้นเจิ้นซือ ในอดีตกองทัพอสูรสวรรค์ถูกบัญชาการโดยสหายนสนิทของพวกนางซึ่งเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากขอยืมความช่วยเหลือจากภายนอก

“ท่านต้องการให้ข้าสั่งการกองทัพนี้เพื่อฆ่าปีศาจหรือ?” มู่เฉินถาม

ราชินีวิหคอมตะพยักหน้า

มู่เฉินฉายสีหน้าลำบากใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ก็เป็นเพียงวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือที่มีระยะห่างจากสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ จำนวนนักรบเบื้องหน้าเขามีอยู่หลายหมื่นคน แต่ละคนก็เป็นกำลังหนึ่งต่อร้อย เมื่อนับด้วยวิธีนี้ก็เทียบเท่ากับกองทัพทหารธรรมดาหลายล้านหรือสิบล้านคน แล้วเขาจะประสบความสำเร็จในการสั่งการด้วยฐานะวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้อย่างไร?

หากเขาฝืนบังคับออกคำสั่ง อาจต้องทนทุกข์จากการตีโต้กลับจนถึงวิญญาณก็ได้

ราชินีวิหคอมตะที่เห็นการแสดงออกของมู่เฉินก็รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร ทันใดนั้นนางก็ยิ้มชี้นิ้วออกไป ขนนกบางเบาพลิ้วออกมาพุ่งเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน “วัตถุนี้สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าต้องบอกตามตรงว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์นี้ทรงพลังมาก ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะควบคุม ดังนั้นแม้จะมีการป้องกันแต่ก็ยังเป็นอันตรายอยู่”

“ดังนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือหรือไม่” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่เฉินและพูดช้าๆ

ขวับ!

สายตาโดยรอบมุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ร่างกายทุกคนเกร็งเครียดเมื่อมองมู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขากลัวว่าเขาจะปฏิเสธ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกฝังที่นี่ตลอดกาล

จงชิงเฟิง ข่งหลิง ลู่โหวและคนอื่นๆ ก็มองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหน้าใครจะจินตนาการว่าจะมีเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากมู่เฉินเพื่อช่วยให้ตนเองอยู่รอด

สายตาวิตกกังวลนับไม่ถ้วนมองมาที่มู่เฉิน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ มาถึงจุดนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ต่อให้เพื่อความปลอดภัยตัวเอง เขาก็ต้องลองเสี่ยง มิฉะนั้นเมื่อร่างดวงจิตของราชันทั้งสามหายไป พวกเขาก็ต้องตายแน่นอน

นอกจากนี้เขายังรู้ว่าด้วยสถานะของราชินีวิหคอมตะ หากเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ นางจะต้องมอบรางวัลก้อนใหญ่ให้เขา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหายใจเข้าลึก โดยไม่ลังเลก็มองไปที่ราชินีวิหคอมตะก่อนที่จะพยักหน้าแข็งขัน

“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา ข้ายินดีที่จะลองเสี่ยงดู!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท