หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1069

ตอนที่ 1069

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1069 ฝึกฝนขมขื่นในมหาสมุทรเทพสร้าง
เบื้องหน้ามหาสมุทรเทพสร้าง

“พวกเจ้าสามารถเพาะบ่มพลังได้ที่นี่และตัดสินใจเอาเองว่าต้องการอยู่นานแค่ไหน แม้ว่าคลื่นหลิงในสถานที่นี้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ครอบงำเนื่องจากแก่นเลือดโลหิตแท้จริงของเทพอสูรชั้นสูงมากมาย ด้วยพลังของพวกเจ้าทั้งสองคงไม่สามารถอยู่ได้นาน มิฉะนั้นเลือดและรัศมีจะถูกปนเปื้อน ทำให้พลังงานหลิงไม่บริสุทธิ์”

เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินคำพูดของราชินีวิหคอมตะก็พากันพยักหน้า ต่อให้นางไม่เตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าแม้คลื่นหลิงที่นี่จะหนาแน่น แต่เลือดและรัศมีก็พลุ่งพล่านด้วยการกดขี่ข่มเหง ดังนั้นหากควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดี

“มีเพียงพวกข้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้ได้ หลังจากนี้ไปคลื่นหลิงของพวกข้าจะค่อยๆ หมดลง ดังนั้นนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกข้าจะปรากฏตัวที่โลกภายนอก”

มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่มิตินี้จะเปิดขึ้นและจะไม่มีใครสามารถเข้ามาได้อีกหลังจากที่พวกเขาออกไปงั้นหรือ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เฉินมู่ก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก พลังของเขากับจิ่วโยวมีจำกัด จึงไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงในสถานที่นี่ให้เป็นของตนเอง ตอนนี้พวกเขาก็ราวกับมดปลวกที่หล่นเข้าในยุ้งข้าว ไม่ว่าจะขยายท้องแค่ไหนก็ไม่สามารถกินได้ทั้งหมด

เขาไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่ราชันทั้งสามกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากจอมยุทธ์มากมายของดินแดนเสินโซ่ ถ้าปล่อยให้มันจางหายไปตามกาลเวลา จะไม่เป็นการทิ้งให้เสียประโยชน์เหรอ?”

“แม้ว่าตอนนี้มหาพันภพจะสงบสุข แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติยังคงจับจ้องจักรวาลของเราราวกับหมาป่าหิวโซ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะแสวงหาสันติภาพกับพวกมัน หากมีวันหนึ่งที่พวกมันยาตราทัพบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง พวกมันจะต้องทำสุดกำลังแน่นอน ในเวลานั้นทั้งมหาพันภพจะต้องเผชิญกับอันตรายทำลายล้างเผ่าพันธุ์ใหญ่หลวง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าว่าถ้าสามารถทำให้สิ่งที่เหล่าจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่หลงเหลือไว้เป็นประโยชน์ในการช่วยปกป้องมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องเห็นด้วยเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดจริงจังของมู่เฉิน ทั้งสามก็อึ้งไปก่อนที่พวกเขาจะเปิดเผยสีหน้าบางอย่าง ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเผ่าปีศาจไปไกลเกินกว่าที่มู่เฉินคิดไว้มาก ดินแดนเสินโซ่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับถูกทำลายโดยเผ่าปีศาจ ครอบครัวเพื่อนพ้องจบชีวิตลงในการต่อสู้

ทว่าก็ไม่มีอะไรทีพวกเขาทำได้เนื่องจากสิ้นชีพไปแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นความปรารถนาสุดท้าย หากพลังที่เหลืออยู่สามารถสร้างภัยคุกคามหรือขัดขวางเผ่าปีศาจต่างมิติในอนาคต

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเปิดทางเข้าสู่มหาสมุทรเทพสร้างแห่งนี้ เนื่องจากที่นี่ได้รับการปกปักรักษาโดยปณิธานของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจากดินแดนเสินโซ่ ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยากที่จะบุกเข้ามา ตอนนี้พลังของพวกเขาก็กำลังเหือดหายไป อาจไม่มีใครที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้อีกหลังจากพวกเขาสูญสลายไปชั่วนิรันดร์

ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง สามฝ่ามือประสานกัน แสงหลิงคลี่กระจายกลายเป็นป้ายผลึกหยกระหว่างฝ่ามือของพวกเขา ระลอกคลื่นลึกซึ้งเปล่งออกมาจากป้ายนี้

เมื่อป้ายควบแน่น มู่เฉินและจิ่วโยวก็มองเห็นร่างดวงจิตของราชันทั้งสามพร่ามัวไปมาก ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะหายไป

ราชินีวิหคอมตะจับป้ายผลึกหยกส่งให้มู่เฉินยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าก็แค่อยากได้พลังในมิตินี้ไม่ใช่เหรอ ยังพูดให้ดูหรูหราอีก แต่ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด แทนที่จะปล่อยให้สถานที่นี้หายไปตามกาลเวลาก็เป็นการดีกว่าที่มอบให้เป็นของขวัญแก่ชนรุ่นหลัง ด้วยวิธีนี้อาจได้สนับสนุนจอมยุทธ์สุดยอดสักคนที่สามารถปกป้องมหาพันภพไว้ก็ได้”

“ป้ายผลึกหยกนี้ประกอบด้วยพลังสุดท้ายของพวกข้า หากเจ้ารู้สึกว่ามีคุณสมบัติพอที่จะสืบทอดสถานที่นี้ในอนาคต เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกลับมายังที่นี่อีกครั้ง แต่จำไว้นะมันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

พอเห็นว่าความคิดของตนถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยราชินีวิหคอมตะ เขาก็รู้สึกเงอะงะไปบ้าง แต่เมื่อพบว่าไม่มีความไม่พอใจใดๆ ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย กลับให้ความรู้สึกเหมือนมอบหมายภารกิจหนักหนา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

เขารู้สึกได้ถึงความไว้วางใจและความคาดหวังของราชันทั้งสาม ซึ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจบ้าง ราชันทั้งสามสละชีพในสมัยโบราณเพื่อมหาพันภพ กระทั่งตายไปแล้วพวกเขาก็ยังปรารถนาที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ความทรงคุณธรรมนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพยิ่งในใจ

ตอนแรกราชันทั้งสามพอมีเวลาที่จะอยู่ได้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่พวกเขากลับเต็มใจใช้พลังทั้งหมดเพื่อให้โอกาสมู่เฉินในการเข้าสู่สถานที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้ราคาที่จ่ายก็คือเร่งความเร็วของการหายไปของร่างดวงจิต

ดังนั้นมู่เฉินจึงยื่นรับป้ายผลึกหยกมาก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้กับทั้งสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแฝงความความเคารพว่า “หากในอนาคตมหาพันภพต้องประสบภัยจากการรุกรานของเผ่าปีศาจอีก ข้าคนนี้จะปกป้องด้วยกำลังทั้งหมดที่มี”

มู่เฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มไม่ประสาแบบในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่เคยปะทะโดยตรงกับเผ่าปีศาจ แต่เขาก็สามารถหาข้อมูลได้จากซากวีรชนในสนามรบโบราณ เผ่าปีศาจทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยม เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะอยู่อย่างสงบสุขกับสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ ดังนั้นทันทีที่พวกมันประกาศสงคราม จะต้องกระทบไปทั้งมหาพันภพแน่นอน ในเวลานั้นแม้ว่าจะเป็นเพื่อเพียงปกป้องคนใกล้ชิด เขาก็ต้องต่อสู้กับเผ่าปีศาจสุดกำลังแน่นอน

ทั้งสามจ้องมองไปที่ท่าทางเด็ดเดี่ยวของมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รีบฝึกฝนซะ”

ราชินีวิหคอมตะมองไปที่จิ่วโยวด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ในช่วงเวลานี้ข้าจะแนะนำเจ้าในเส้นทางวิวัฒนาการของวิหคอมตะ”

เผ่าวิหคโลกันตร์เป็นสายเลือดของนาง ดังนั้นจึงถือว่าชะตาลิขิตที่นางได้พบเจอกับลูกหลานก่อนที่จะหายไปตลอดกาล นางจึงไม่ยึกยักที่จะแนะนำจิ่วโยวเท่าที่จะทำได้

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ความตื่นเต้นก็แผ่ซ่านออกมาจากใบหน้า ถ้านางสามารถได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ นี่จะถือเป็นโชคชะตายิ่งใหญ่สำหรับนาง ไม่ต้องพูดถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ แม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้าก็คงไม่มีใครได้รับความอนุเคราะห์เช่นนี้

มู่เฉินก็สุขใจไปกับจิ่วโยวเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานไปนั่งลงเหนือมหาสมุทรโลหิต

นั่งอยู่เหนือผิวน้ำ ต่อให้ยังไม่เริ่มเพาะบ่ม เขาก็สามารถสัมผัสถึงรัศมีเลือดที่พลุ่งพล่านจากเบื้องล่าง ค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาในร่างของเขา

ทันใดนั้นเลือดเนื้อของเขาก็กระสับกระส่ายไม่หยุดยั้ง รัศมีเลือดที่ไม่มีที่สิ้นสุดหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาส่งเสียงครางกระหึ่ม ร่างกายของเขากลืนกินรัศมีเลือดเพื่อทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ความไม่สบายจากการสั่งกองทัพอสูรสวรรค์ก่อนหน้าได้หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ คลื่นพลังไหลผ่านแขนขาและกระดูกนำพาเขากลับไปยังจุดสูงสุดของพลัง

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสูงสุด มู่เฉินก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองสั่นเทาก่อนที่จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะระเบิดออกมาด้วยแสงสีทองตระการตา จากนั้นก็บินฉวัดเฉวียนออกจากท่อนแขนของมู่เฉิน ขดตัวอยู่รอบตัวเขา

ฟู! ฟู่!

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าฟ้าแท้จริงตัวเล็กพัวพันรอบตัวรอบมู่เฉิน เปล่งเสียงคำรามที่คมชัด ส่งผลให้เกิดลูกคลื่นยกตัวขึ้นในมหาสมุทรโลหิตเบื้องล่าง เสาโลหิตพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างมังกรและหงส์ฟ้าอย่างไม่รู้จบ ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่จิตวิญญาณทั้งสองซึมซับรัศมีเลือดไร้ขอบเขต มู่เฉินก็สามารถเห็นร่างจิตวิญญาณซึ่งแต่เดิมเป็นสีทอง บัดนี้กลับถูกปนเปื้อนด้วยเส้นใยสีแดงเข้ม นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงพลังที่บรรจุอยู่ในมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

การฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่งต้องพึ่งการกลืนกินแก่นโลหิตเทพอสูรชนิดต่างๆ อยู่แล้ว ตอนนี้มหาสมุทรเบื้องล่างเขาถูกกลั่นตัวมาจากเลือดเทพอสูรชั้นสูงนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงเป็นอาหารเอร็ดอร่อยที่สุดของจิตวิญญาณทั้งสอง

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินอึ้งไปกับความเร็วในการเติบโตของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ราชันทั้งสามก็สัมผัสได้ พวกเขาจ้องมองไปทันที เมื่อเห็นร่างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงรอบร่างมู่เฉิน ดวงตาของพวกเขาหดเกร็งลง

“จิตวิญญาณที่บรรจุด้วยสายเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงหรือ?” ราชันทั้งสามมีสายตาเฉียบคม พวกเขาระบุร่างวิญญาณเทพอสูรทั้งสองได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว นอกจากนี้วิญญาณแท้จริงก็ไม่ได้เกิดจากคลื่นหลิงเพียงอย่างเดียว แต่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของมังกรและหงส์ฟ้าอยู่ด้วย

“คัมภีร์ที่เจ้าหนุ่มนี่ฝึกฝนน่าพิศวงอย่างยิ่ง สามารถควบแน่นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเพื่อป้องกันตัวเองได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เขารู้ถึงศักยภาพทรงพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ถ้าบำรุงเลี้ยงอย่างดี ในอนาคตเมื่อควบรวมเต็มที่ พลังก็จะไม่ด้อยไปกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงตัวจริงเลย

เจ้าหนูนี่เป็นขวดวิเศษที่น่าประหลาดใจจริงๆ

อีกสองคนก็พยักหน้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง พวกเขารู้สึกเลือนรางว่าบางทีในอนาคตเมื่อมหาพันภพต้องเผชิญกับเผ่าปีศาจ การเลือกของพวกเขาในวันนี้อาจสร้างเสาหลักทรงพลังแล้วก็เป็นได้

มู่เฉินไม่สนใจอาการตกใจของราชันทั้งสาม เขามองดูจิตวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง จากนั้นก็ยิ้มบางก่อนที่จะปิดตาลงเพื่อสัมผัสกับเลือดและรัศมีที่พวยพุ่งในร่างกาย

โอกาสนี้เป็นโชคที่หายากมากสำหรับเขา ดังนั้นเขาต้องยึดช่วงเวลาเพื่อให้ตัวเองพัฒนาการอีกครั้ง

นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเมื่อออกจากดินแดนเสินโซ่ก็ถึงเวลาจะต้องเตรียมการสำหรับการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลแล้ว

อย่างที่มั่นถัวหลัวบอกจะต้องมีวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะในวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็อาจจะได้พบกับจอมยุทธ์ที่ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน

คนเหล่านั้นจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง

ดังนั้นหากเขาต้องการโดดเด่นที่สุดในกลุ่มสัตว์ประหลาดและได้รับวิธีวัฒนาการไป เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท