หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1073

ตอนที่ 1073

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1073 พัฒนาพลัง
ขณะที่ข่าววังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ

แล้วค่อยๆ แพร่กระจายออกไปในทวีปเทียนหลัว ลุกลามไปอย่างรวดเร็วในมหาพันภพ ส่วนในมิติที่แยกตัวออกมาเวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ในดินแดนที่ไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นลง กาลเวลาเป็นสิ่งที่ถูกหลงลืม

บนมหาสมุทรสีแดงเข้ม ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเกาะหินเงียบๆ ตอนนั้นเองเสียงร้องคมชัดก็ดังก้องขึ้น จากนั้นเปลวเพลิงก็ครอบงำไปทั่วเกาะหิน ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะนี้แล้ว

สีของเปลวเพลิงนั้นเบาบางแต่กลับอัดแน่นด้วยพลังครอบงำ ขณะที่เพลิงพวยพุ่งแม้แต่มหาสมุทรรอบๆ ก็พลุ่งพล่านไปหมด มากจนแม้แต่มิติยังบิดเบือน

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในบริเวณนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกเผาผลาญ

สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงที่สุดคือพลังชีวิตไร้ขอบเขตที่บรรจุอยู่ในเปลวไฟ เปลวไฟดูเหมือนจะครอบงำและทำลายล้าง แต่ในส่วนลึกก็มีพลังภายในทำให้ลึกลับอย่างยิ่ง

เปลวไฟน่าพิศวงนี้ก็คือเพลิงอมตะที่เป็นเอกลักษณ์ของวิหคอมตะนั่นเอง!

แต่เพลิงอมตะนี้ไม่ได้เป็นของราชินีวิหคอมตะ เมื่อสายตามองไปก็จะเห็นร่างเงาเพรียวบางที่นั่งอยู่บนเกาะซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเปลวไฟ

ร่างนั้นก็คือจิ่วโยว ตอนนี้นางได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ผมของนางยาวมากขึ้นและเส้นผมทุกเส้นก็แล่นพล่านด้วยริ้วไฟกระพือขึ้นลงอยู่ด้านหลังคล้ายกับหางของเปลวไฟอันงดงาม

นอกจากนี้เส้นผมทุกเส้นยังบรรจุด้วยพลังแข็งแกร่ง ด้วยความคิดเดียวนางก็สามารถที่จะฟาดออกมาราวกับแส้เพลิง ซึ่งสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อต่อกรกับเพลิงนี้

เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนครั้งนี้ ทำให้จิ่วโยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

นางนั่งอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นดวงตาที่ถูกปิดมาเกือบครึ่งปีก็เปิดอย่างช้าๆ

ฟู่! ฟู่!

จังหวะที่ดวงตาเปิดขึ้นทั่วบริเวณก็ราวกับกำลังลุกโชติช่วง ทำให้เกิดช่องว่างบิดเบือนจากความร้อนในเส้นทางที่นางกวาดมอง ห้วงมิติถึงกับแตกสลาย

มีลวดลายเปลวเพลิงแปลกประหลาดปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้วนาง ลวดลายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประกายไฟ ทำให้เปลวไฟบนร่างของนางแข็งแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน

ฮา

ลมหายใจสีขาวขุ่นพรูออกมาจากริมฝีปากของจิ่วโยว หมอกนั้นก่อตัวเป็นเปลวไฟในทันที ทำให้ต้นไม้เล็กๆ เบื้องหน้านางกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่หลังจากเผาต้นไม้เล็กๆ เป็นเถ้าถ่านแล้ว เปลวไฟสีขาวก็ไม่หายไปยังคงเผาไหม้ต่อไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดที่ถูกปล่อยออกมาจากพวกมัน

สีเขียวมรกตอ่อนงอกขึ้นมาจากเถ้าถ่านของต้นไม้ เมื่อปรากฏออกมาจากเถ้าถ่านก็เปล่งชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

จิ่วโยวมองดูต้นอ่อนในกองขี้เถ้าพร้อมกับความเบิกบานใจพล่านในดวงตา

“ไม่เลว เจ้าสามารถเข้าใจแก่นของเพลิงอมตะได้ ทำให้ตายกลายเป็นมีชีวิต ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บใดๆ ตราบใดที่เพลิงอมตะยังไหลวนในสายเลือด เจ้าก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” ที่ด้านหลังจิ่วโยว เสียงหัวเราะใสก็ดังผะแผ่ว เพียงแต่ฟังเหมือนทรุดโทรมและเหนื่อยล้าเต็มกำลัง

จิ่วโยวหันกลับมาอย่างรวดเร็วก็เห็นเงาสลัวรางของราชินีวิหคอมตะ ซึ่งกำลังจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ความอ่อนล้ากระจายบนใบหน้างดงาม แต่กลับดูปลื้มปริ่มเมื่อมองไปที่จิ่วโยว

เมื่อจิ่วโยวเห็นสภาพนี้ก็รู้ว่าราชินีวิหคอมตะกำลังถึงขีดจำกัดแล้ว ในช่วงเวลาที่นางอยู่ในการเพาะบ่มที่เงียบสงบ ราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็หมดสิ้นพลังอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เหลือเพียงราชินีวิหคอมตะเท่านั้นที่ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ โดยอาศัยความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลิงอมตะ

จิ่วโยวมองไปที่ราชินีวิหคอมตะก็รู้สึกเปรี้ยวขึ้นในจมูก ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงกับพื้น ก้มคารวะด้วยความเคารพสูงสุด

ถ้าไม่ใช่คำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ นางไม่มีทางชำระแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้และไม่สามารถพัฒนาเพลิงอมตะของนางได้ถึงขั้นนี้แน่นอน

เมื่อเห็นจิ่วโยวคำนับให้ ราชินีวิหคอมตะก็มองไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด ในสายตาของนางพรสวรรค์ของจิ่วโยวโดดเด่นเป็นพิเศษ หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคตก็มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่ง นางมองจิ่วโยวในฐานะผู้สืบทอด

“จากนี้เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองกับเส้นทางในอนาคต นอกจากนี้เผ่าวิหคอมตะก็มีสมาชิกจำนวนน้อยตั้งแต่ต้น ดังนั้นแม้จะถูกจัดสรรเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าหงส์ฟ้า แต่จักรพรรดิของเผ่าหงส์ฟ้าก็มีเพียงหงส์ฟ้าแท้จริง พวกเขาค่อนข้างหวาดกลัวและหวาดระแวงพวกเรา” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย

ในเผ่าหงส์ฟ้า เฉพาะหงส์ฟ้าแท้จริงเท่านั้นที่อยู่เหนือผู้ใด ส่วนวิหคอมตะแยกออกมาโดดเดี่ยว ดังนั้นแม้ว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะให้ความเคารพนับถือกับเผ่าวิหคอมตะ แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่พวกเขาจะตั้งระวังภัยไว้สูง

จิ่วโยวพยักหน้า นางถือกำเนิดจากเผ่าวิหคโลกันตร์ ต่อให้นางจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะได้ในอนาคต นางก็จะอยู่ต่อในเผ่าวิหคโลกันตร์ นางไม่สนใจที่จะไปแย่งชิงอำนาจในเผ่าหงส์ฟ้า

เพลิงอมตะไร้ขอบเขตรอบตัวจิ่วโยวเริ่มถอยกลับเข้าไปสถิตในร่างกาย เมื่อเกลียวเพลิงหายไปผมของนางก็กลับมาเป็นดังเดิม ยกเว้นอย่างเดียวก็คือดวงตาที่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม

จิ่วโยวลดศีรษะลง ค่อยๆ กำหมัดสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดในร่างกาย รอยยิ้มถูกยกขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้า

นับจากเวลา นางอยู่ในมิตินี้ไปแล้วสองปีเต็ม แต่โลกภายนอกผ่านไปแค่ครึ่งปี

สองปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจิ่วโยว ไม่เพียงแต่นางจะสามารถชำระสายเลือดสมบูรณ์แบบ แต่ยังพัฒนาขุมพลังผ่านทางแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะ ทำให้พลังของนางพุ่งจากระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นขั้นเก้าแล้ว!

สองปีพัฒนาไปสองขุมพลัง!

ตอนนี้จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริงแล้ว!

นี่ถ้านางกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นจอมพลคนที่สี่ด้วยขุมพลังในปัจจุบันทันที!

หากคนอื่นรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของนาง ดวงตาของพวกเขาคงแทบถลนออกมานอกเบ้า นั่นเป็นเพราะโดยทั่วไปแค่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบรรลุขั้นแปด ก็ต้องใช้เวลาหลายปีในการเพาะบ่มอย่างขมขื่นรวมถึงทรัพยากรจำนวนมากและโชคชะตาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นด้วย

แน่นอนว่าพัฒนาการของจิ่วโยวเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าโชคหล่นทับโดยไม่ต้องขวนขวย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ การเพาะบ่มพลังในมิติพิเศษและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นผู้ชี้แนะ…ขาดหนึ่งในสามเงื่อนไขนี้ไปก็คงเป็นเรื่องยากที่นางจะได้รับความก้าวหน้าถึงขนาดนี้

“ด้วยพลังในปัจจุบัน ข้าคงไม่ไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม?” จิ่วโยวคลี่ยิ้มบนริมฝีปากพลางมองออกไปในระยะไกล เมื่อก่อนนางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมู่เฉินที่พุ่งทะยาน ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางยังให้ความช่วยเหลือแก่น้องชายคนนี้ได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังของเขาก็ก้าวล้ำผ่านนางไป

ตั้งแต่นั้นมาจิ่วโยวก็พบว่านางไม่สามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อีก มากจนนางต้องพึ่งพาเขาในการเดินทางมาที่ดินแดนเสินโซ่ นางเป็นเพียงผู้ชมตลอดการเดินทาง

สถานการณ์แบบนี้ทำให้จิ่วโยวอึดอัดใจมาก ตัวนางเคยดูแลมู่เฉินมาตลอด แต่เมื่อไร้ประโยชน์ก็ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชิน

ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจมากเมื่อรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าที่มี

นางรู้ว่าเหตุผลที่มู่เฉินมาที่ทวีปเทียนหลัวก็เพราะวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อที่เขาจะได้รับทักษะวิวัฒนาการสำหรับร่างเทพสุริยะ ทุกสิ่งที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้ก็คือการเตรียมการสำหรับเรื่องนี้

หลังจากจัดการเรื่องราวที่เผ่าวิหคโลกันตร์เรียบร้อยแล้ว ชัดว่ามู่เฉินจะเตรียมการเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลอย่างเต็มที่ ด้วยพัฒนาการพลังที่เกิดขึ้นนางจะสามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อย่างแน่นอน

“แต่พูดถึงมู่เฉิน…เหมือนเขาจะไม่ได้เผยตัวนานแล้วนะ”

จิ่วโยวเบนสายตาไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ ไม่มีใครที่นั่นเลย ร่างมู่เฉินเหมือนจะจมลงไปใต้น้ำตั้งแต่หนึ่งปีก่อน เนื่องจากคลื่นหลิงบริเวณนั้นหนาแน่นและทรงพลังยิ่งกว่า

หืม?

ขณะที่ความคิดวูบไหวในใจนาง มหาสมุทรที่ไกลออกไปก็ยกตัวขึ้นด้วยคลื่นเชี่ยวกราก ลอนคลื่นสูงหมื่นจั้งกวาดออกมาจากก้นมหาสมุทร ภาพเงาสูงโปร่งนั่งอยู่บนคลื่นอย่างเงียบๆ

“เอ๊ะ?”

จิ่วโยวมองร่างที่ปรากฏบนคลื่น ก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานอย่างตกใจ นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินไม่ได้เติบโตขึ้นมาก เขายังดูอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนเดิม

เขาไม่พัฒนาในช่วงสองปีที่ฝึกฝนเลยเหรอ?

ใบหน้าจิ่วโยวฉายความตื่นตะลึง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ต่ำเตี้ยก็คงต้องมีการพัฒนามั้งนะ? ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของมู่เฉินที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเลย

“เจ้าหนูนั่นฉลาด…”

ขณะที่จิ่วโยวกำลังงุนงง ราชินีวิหคอมตะก็แย้มยิ้มขณะที่พูด “นี่เป็นการสะสมและรอการระเบิดออกมา”

จิ่วโยวเป็นคนหลักแหลมจึงเข้าใจความหมายทันทีและถามว่า “เขาตั้งใจระงับไว้เหรอ?”

ราชินีวิหคอมตะพยักหน้าเบาๆ “ยิ่งเขาระงับตัวเองมากเท่าไร ก็จะระเบิดพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาถึงขีดจำกัดในการระงับแล้ว ตอนนี้เรามาดูว่าเขาจะระเบิดออกไปได้ไกลแค่ไหน”

ตามการประเมินในตอนแรกของนาง มู่เฉินน่าจะสามารถไปถึงระดับจื้อจุนขั้นแปดได้ในการเข้าสมาธิลึกครั้งนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าความทะเยอทะยานของเขาจะมากเพียงนี้ ถึงขนาดระงับคลื่นหลิงในร่างกายได้ถึงสองปี ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยการระเบิดจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง

เมื่อมองแบบนี้ระดับจื้อจุนขั้นแปดก็คงไม่พอให้เขาหยุดลงได้

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท