หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1074

ตอนที่ 1074

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1074 เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ครืน!

บนมหาสมุทรที่ทอดยาวสุดสายตา คลื่นพายุยกตัวขึ้นสูงหมื่นจั้ง คลื่นที่ถูกยกขึ้นมาก็กวาดออกกระแทกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังก้อง ราวกับเสียงของการทำลายล้างที่ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน

ภายใต้ชั้นคลื่นที่หนักหน่วง ร่างเงาของมู่เฉินก็ยังมั่นคงราวกับหินผา แม้ว่าลูกคลื่นมากมายนับร้อยพันจะซัดสาดทั่วร่างก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้

คลื่นหลิงรอบตัวเขาย้อนกลับเข้าไปโดยไม่มีการรั่วไหลใดๆ มีเพียงแสงสีทองไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของร่างกาย แสงสีทองไม่เพียงแต่ไม่สว่างกว่าเมื่อก่อน กลับยังมืดมนลงหลายส่วน ประหนึ่งทองแท้ที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินนานหลายปี

ขณะที่คลื่นกวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของมู่เฉินที่ปิดมานานกว่าหนึ่งปีก็เปิดออกอย่างช้าๆ

ตู้ม!

ม่านตาสีดำสนิทฉาบประกายทองคำในเวลานี้ ราวกับว่าเป็นแสงทองจริงๆ ซึ่งแฝงด้วยคลื่นหลิงทรงพลังสุดจะพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน

เหวกว้างหนึ่งร้อยจั้งถูกฉีกออกด้วยแสงสีทองสองสายปรากฏขึ้นในมหาสมุทรฉับพลัน เป็นเวลานานกว่ากระแสน้ำจะกลับมาเป็นปกติ

ดวงตาของมู่เฉินพรั่งพรูด้วยแสงสีทอง ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด มือกำเข้าหากันแน่น เส้นเลือดบิดตัวไปมาบนท่อนแขนของเขา ทุกครั้งที่เกิดการดิ้นทุรนทุรายพลังน่าสะพรึงกลัวที่ถูกระงับไว้จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบวูบวาบไปหมด

มู่เฉินหัวใจเต้นระรัวในยามนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ใหญ่โตและไร้ขอบเขตเพียงใด มากจนกระทั่งถึงจุดที่เขาสงสัยว่าถ้าตนเองยังคงฝึกฝนต่อไปแม้กระทั่งจุดจื้อจุนไห่ก็อาจไม่สามารถรับไหวจนระเบิดออก

ทุกเส้นสายภายในและกล้ามเนื้อในร่างกายอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงจนถึงขีดสุด

หากมีใครโจมตีเขาในตอนนี้ เพียงการเคลื่อนไหวของพลังงานขนาดเล็กก็สามารถทำลายการควบคุมคลื่นหลิงของมู่เฉินในร่างกาย ทำให้พลังงานในร่างกายเขากวาดออกไป ในเวลานั้นถึงแม้จะมีกายามังกรหงส์ ตัวเขาก็อาจจะสลายลงเป็นเถ้าถ่านภายใต้การระเบิดของคลื่นพลังที่รุนแรง

ขณะนี้เขาหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ

ทว่าหากเขาทนรับพลังงานระเบิดได้ การเก็บเกี่ยวของเขาก็จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนดวงตาแดงก่ำด้วยความอิจฉา

“ประมาณนี้แหละ”

เมื่อสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงแผดเสียงในร่างกาย มู่เฉินก็พึมพำก่อนที่จะไม่ลังเล ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง

ตู้ม!

ทันทีที่ตราประทับก่อร่างขึ้น ร่างของมู่เฉินก็กระตุกอย่างรุนแรง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มากจนหยดเลือดไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้ในร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในจุดจื้อจุนไห่ระเบิดออกรอบทิศทาง ราวมังกรเกรี้ยวกราดพุ่งทะลุร่างของเขา ในเส้นทางที่พาดผ่าน เส้นลมปราณบิดตัว เลือดเนื้อเจ็บปวดรุนแรง แม้กระทั่งเลือดก็ถูกบีบอัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พลังงานที่น่ากลัวเหมือนต้องการทำลายร่างกายของมู่เฉินอย่างสมบูรณ์

ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้พล่านไปทั่ว แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะนับตั้งแต่เขาตัดสินใจระงับคลื่นพลังงานเพื่อไปสู่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว

นั่นเป็นเพราะตามการประเมิน เขาจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้นถ้าฝึกฝนตามปกติ เพราะเขาไม่ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเหมือนกับจิ่วโยว ดังนั้นเขาไม่สามารถก้าวกระโดดสองขั้นได้อย่างนางแบบง่ายดาย

ท้ายที่สุดเขาเป็นเพียงมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากเทพอสูร การฝึกฝนของมนุษย์เชื่องช้า ในกรณีส่วนใหญ่การฝึกฝนของเทพอสูรเป็นแบบไม่มีการพัฒนานาน แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไรก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปมากเลยทีเดียว

ในอดีตพลังของจิ่วโยวอยู่เหนือมู่เฉินไปมาก แต่ก็ถูกเขาตามทัน ทว่าในตอนนี้ชัดว่าเป็นเวลาที่พลังของจิ่วโยวจะเพิ่มสูงขึ้นแล้ว

ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาจะต้องใช้วิธีการอื่นเช่นการดูดซับคลื่นพลังให้มาก ระงับไว้แล้วค่อยระเบิดทีเดียว

ทว่าก็มีความเสี่ยงในการใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเพราะหากคลื่นหลิงถูกระงับมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกจะไม่สามารถทนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายล้าง

แต่ความเสี่ยงดังกล่าวไม่น่ากลัวสำหรับมู่เฉินที่วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นตายมาหลายปี ดังนั้นเขาเลือกเส้นทางนี้โดยไม่ลังเล

ตู้ม! ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมหาศาลพวยพุ่งไปทั่วร่างของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนในท้ายสุดมีเลือดไหลหยดลงมาจากมุมหางตา ราวกับว่าเป็นน้ำตาเลือด

ร่างถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดปริแตก ราวกับว่ากำลังจะระเบิด

บนเกาะหิน จิ่วโยวรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อมองฉากนี้ นางรู้ว่ามู่เฉินมาถึงช่วงเวลาวิฤกตแล้ว ถ้าเขาล้มเหลวไม่เพียงแค่การฝึกสองปีจะต้องสูญเปล่า เขายังจะได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย

โฮก!

ขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่มู่เฉิน การโจมตีก็กระหน่ำยิงจากคลื่นลูกใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เสียงคำรามใหญ่โตราวกับมังกรดังก้อง มู่เฉินลุกขึ้นยืนจุดชนวนคลื่นหลิงในร่างกายโดยตรง โดยไม่ได้สนใจรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้น!

คลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพลังงานระเบิดออก มหาสมุทรในรัศมีหมื่นจั้งถูกกดลงใต้ก้น ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่

รอบกระแสน้ำวน คลื่นขนาดหมื่นจั้งถูกผลักออกไป ก่อนที่จะไปถึงเกาะหินก็หายไปอย่างเงียบๆ

ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่เบื้องบนกระแสน้ำวนในมหาสมุทร

แสงหลิงคลี่กระจายออกมาจากร่างของมู่เฉินที่ลอยตัวบนอากาศ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกแล้วลุกโชนด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์

ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด!

ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด!

ระดับจื้อจุนขั้นแปด!

ในเวลาไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากมู่เฉินก็บุกผ่านขั้นเจ็ดและได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแปด

“เขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว!” จิ่วโยวร้องด้วยความยินดี

ที่ด้านข้างร่างราชินีวิหคอมตะที่โปร่งแสงก็ยิ้มบางก่อนพูดว่า “ยังไม่ถึงที่สุด ความทะเยอทะยานของเจ้าหนูนั่นไม่เล็กเลย”

“แล้วเขาจะบรรลุถึงขั้นเก้าไหมเจ้าคะ?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะถาม แต่เมื่อถามออกไปท่าทางของนางก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียด ไม่มีแววดีใจอะไรมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่ารากฐานการฝึกฝนของมู่เฉินมั่นคงมาตลอด หากเขาฝืนอย่างรวดเร็วเกินไป ต่อให้ผ่านการฝึกฝนยาวนานมาสองปีก็จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน

“ถ้าเขาเทหมดหน้าตัก ก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องแบกรับผลกระทบบางอย่าง” ราชินีวิหคอมตะพูดเบา ๆ

สายตาคมชัดของยอดยุทธ์ทำให้นางสามารถเห็นศักยภาพของมู่เฉินที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าได้ แต่ก็เป็นตามที่จิ่วโยวกังวล ถ้าเขาพัฒนาเร็วเกินไปก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา

จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มองไปที่ร่างเหนือมหาสมุทร มืออดกำแน่นไม่ได้

ภายใต้สายตาจดจ่อของทั้งสอง คลื่นหลิงผันผวนที่ระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสิบกว่าลมหายใจความแปรปรวนที่ปะทุออกมาก็เหนือชั้นกว่าระดับจื้อจุนขั้นแปดสามัญไปแล้ว พุ่งเข้าสู่ขั้นแปดระยะปลายสุดอย่างรวดเร็ว

อีกหลายสิบลมหายใจผ่านไป คลื่นหลิงผันผวนที่กระจายจากร่างมู่เฉินราวกับเมฆสายฟ้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า ช่างทรงพลังมาก

หัวใจของจิ่วโยวโลดมาถึงคอหอย ดูจากสถานะปัจจุบันตราบใดที่มู่เฉินต้องการก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้

เมื่อบรรลุระดับนั้น ระดับตี้จื้อจุนก็อยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว

เขาเข้าใกล้การเป็นยอดยุทธ์เข้าไปทุกที

ตู้ม!

ตามคาดความผันผวนของคลื่นหลิงที่ปะทุออกมาจากร่างของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกรอบ ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นพลังก็มาถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นแปดก่อนจะระเบิดลั่น จิ่วโยวรับรู้ได้ถึงความผันผวนพลังงานของมู่เฉินผ่านขอบเขตขั้นแปดเริ่มบรรลุขั้นเก้าแล้ว

เฮ้อ

จิ่วโยวถอนหายใจในใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหน้าเช่นกัน หากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมตัวเอง เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคต เมื่อต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุน

ในฐานะที่เป็นมหาเทพอสูรและจอมยุทธ์ชั้นนำในระดับเทียนจื้อจุน นางรู้อยู่แล้วว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในโลก แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถผ่านไปถึงระดับตี้จื้อจุน นั่นเป็นเพราะหากมีความผิดพลาดในการฝึกฝนก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้พวกเขาหยุดชะงักอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่สามารถก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ได้

แม้ว่ากรณีของมู่เฉินจะไม่ร้ายแรง แต่อนาคตก็จะต้องเสียพลังงานและเวลามากขึ้นสำหรับในการพัฒนา

“หืม?”

ทว่าขณะที่ความคิดเหล่านี้ไหลเวียนในหัวใจ การแสดงออกของพวกนางก็เปลี่ยนไป พวกนางมองที่พื้นผิวมหาสมุทรด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงได้ถูกระงับไว้เมื่อเข้าใกล้ระดับจื้อจุนขั้นเก้า!

ในท้องฟ้าอันห่างไกลคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ร่างอ่อนเยาว์ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับพื้นผิวของร่างกายเปล่งแสงสีทองจางๆ ความกดดันที่คลุมเครือถูกปล่อยออกมาเงียบๆ

ในที่สุดจิ่วโยวที่กำหมัดแน่นก็คลายออก ความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏบนใบหน้า

ราชินีวิหคอมตะก็พยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม มู่เฉินไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ดูเหมือนว่าในอนาคตบางทีเขาอาจมีความสามารถและพลังในการสืบทอดสถานที่แห่งนี้จริงๆ

นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินสามารถควบคุมความล่อลวงใจที่จะบุกทะลวงสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าไว้ได้แล้ว

แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำลายตรวนขั้นแปด

นั่นคือระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท