หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1076

ตอนที่ 1076

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1076 สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ภูมิภาคทางเหนือ

นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่า อดีตขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างหมู่ตึกเทวะก็ถูกทำลาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับพายุพุ่งมารวมกัน เนื่องจากรากฐานของหมู่ตึกเทวะทรงพลังอย่างยิ่ง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างต้องการที่จะตัดแบ่งกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงปีก็กลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ

สำหรับพันธมิตรที่มั่นถัวหลัวก่อตั้งขึ้นพร้อมกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เริ่มมีความหมายบางอย่างภายใต้การควบคุมของนาง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มั่นถัวหลัวก็มีแววจะก้าวเป็นผู้นำของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ไม่ได้โต้แย้งปฏิเสธอะไร เพราะมั่นถัวหลัวและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันเป็นขั้วอำนาจทรงพลังที่สุดจริงๆ

ด้วยชื่อเสียงและสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นขั้วอำนาจที่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต้องการสวามิภักดิ์ ดังนั้นในช่วงหนึ่งปีนี้จอมยุทธ์มากมายมุ่งหน้ามาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อขอเข้าร่วมด้วยวิธีต่างๆ นานา

ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้พลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์พุ่งทะยานขึ้น

ทว่าการขยายตัวนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง พวกจอมยุทธ์เลือดเก่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับพวกจอมยุทธ์เลือดใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วม แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มีทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากนี่คือสิ่งที่ต้องปรากฏในการขยายตัวของขั้วอำนาจอยู่แล้ว ตอนนี้ได้แต่พึ่งพาเวลาที่จะละลายสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน

เขตต้าหลัวเทียนคึกคักมากในเวลานี้ ร่างแสงปกคลุมขอบฟ้าพลิ้วตัวลงทั่ว ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อน

วันนี้เป็นการประชุมราชัน

ขนาดของการประชุมราชันเปรียบเทียบไม่ได้กับในอดีต นั่นเป็นเพราะพร้อมกับการขยายอย่างรวดเร็วของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้มีผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นเป็นสิบแปดคนแล้ว

นอกจากนี้นี่ยังเป็นผลหลังการเลือกอย่างระมัดระวังโดยมั่นถัวหลัว ถ้าใช้มาตรฐานพลังเหมือนในอดีต จำนวนรวมของผู้บัญชาการคงจะเกินกว่าจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันไปมาก

แต่ต่อให้เป็นผลหลังการคัดเลือกจากมั่นถัวหลัวก็ยังมีผู้บัญชาการใหม่จำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่ซิวหลัว เสี่ยยิง เลี่ยซันและคนดั่งเดิมล้วนแต่ถูกคุกคาม

ทุกครั้งที่ประชุมก็จะมีโอกาสการเสนอชื่อจอมพลหรือผู้บัญชาการคนใหม่ตลอด ดังนั้นการประชุมราชันจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทันทีที่มีการดำเนินการแม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างๆ ก็จะเร่งรีบมา ส่งผลทำให้เกิดบรรยากาศเช่นในวันนี้

ทว่าขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ระเบิดไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หอวิหคโลกันตร์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของสำนักกลับเงียบสงบ ทว่าภายใต้ความเงียบสงบ กลับแฝงด้วยรัศมีไร้ขอบเขต

ในโถงกว้างใหญ่หน่วยรบจำนวนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำยืนเฝ้าระวัง มีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนในท้องฟ้า มองเห็นเส้นสายโครงข่ายหลิงปรากฏขึ้นเลือนราง นั่นเป็นค่ายกลป้องกันทรงพลัง

ปัจจุบันนี้หอวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนเดิม ในช่วงเวลาที่มู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือจอมยุทธ์ภายใต้การปกครองของพวกเขาก็มีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีที่ผ่านมา

เพราะทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่ามู่เฉินแห่งหอวิหคโลกันตร์มีความสัมพันธ์แนบแฟ้นกับประมุขมั่นถัวหลัว ด้วยชั้นความสัมพันธ์นี้ กระทั่งจอมพลทั้งสามก็ยังให้หน้ากับหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรใดๆ

ผู้คนที่ผ่านหน้าหอวิหคโลกันตร์และเห็นบรรยากาศภายในก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน ทุกคนรู้ถึงสถานะของหอวิหคโลกันตร์ปัจจุบันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดี ด้วยทรัพยากรและจอมยุทธ์จำนวนมากถูกจัดสรรให้กับที่นี่ ซึ่งส่งผลให้ที่นี่จะเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว

การดูแลของมั่นถัวหลัวที่มีต่อหอวิหคโลกันตร์ทำให้ทุกคนอิจฉา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่มีผู้ในเรื่องนี้ เนื่องจากด้วยข้อมูลที่พวกเขาทราบมาผู้บัญชาการทั้งสองก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น

แม้ว่าพลังดังกล่าวอาจถือได้ว่ามีความโดดเด่นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลจากการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงไม่ผ่านเกณฑ์ในการเป็นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก

ดังนั้นในสายตาของผู้คนที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากมั่นถัวหลัวเพียงเพราะได้มอบสมบัติล้ำค่าให้ แต่เป็นไปไม่ได้คนอื่นจะให้ความเคารพมากพอจากความสัมพันธ์แบบนั้น ในอนาคตก็คงยากจะคุมจอมยุทธ์ทรงพลังในหอวิหคโลกันตร์ได้จนส่งผลให้เกิดการแตกแยก

ในเวลานั้นก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากมั่นถัวหลัว เพราะเมื่อหัวใจไม่อยู่ ต่อให้บังคับก็ไร้ประโยชน์

ในโถงของหอวิหคโลกันตร์

ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเดือดพล่าน หอวิหคโลกันตร์กลับเงียบสงบอย่างที่สุด ราวกับว่าการประชุมราชันในตำหนักใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา

แน่นอนว่าจากบางมุมมอง พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการประชุมนี้อย่างแท้จริง

นั่นเป็นเพราะสองผู้บัญชาการไม่ได้อยู่ที่นี่ ถังปิงในฐานะผู้ดูแลหอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตัวแทน ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ถังปิงมีพรรสวรรค์ในการจัดการดูแลภายใน แต่นางรู้ว่าเมื่อไม่มีจิ่วโยวและมู่เฉิน นางก็ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรพร่ำเพรื่อ กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อพิพาท

เนื่องจากตอนนี้มั่นถัวหลัวสนับสนุนหอวิหคโลกันตร์เป็นอันมาก จึงก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาแล้ว

มีคนไม่น้อยในโถงใหญ่นี้ สองที่นั่งบนตำแหน่งประธานว่างอยู่ โดยที่ถังปิงและถังโหยวนั่งอยู่ลำดับถัดลงมา

ลำดับถัดไปเป็นหญิงสาวชุดสีขาวนั่งในรถเข็น นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว มิหนำซ้ำคลื่นหลิงรอบกายก็ไม่แข็งแกร่ง ทว่าสถานะของนางเป็นรองพี่น้องถังเท่านั้น

นี่คือจินไถหลิวหลี ซึ่งมู่เฉินได้พบในสงครามล่า

หลังจากที่หมู่ตึกเทวะล้มสลาย เนื่องจากมู่เฉินได้ให้การช่วยเหลือ จินไถหลิวหลีและครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในฐานะจั้นเจินซือนางจึงเป็นที่ต้องการมากอยู่แล้ว

นั่นเป็นเพราะในอดีตมู่เฉินเป็นเพียงจั้นเจิ้นซือคนเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้เมื่อนางเข้าร่วม ตราบใดที่นางเต็มใจแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะปล่อยให้นางก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอาณาเขตสวรรค์

แต่คาดไม่ถึงว่านางไม่เลือกที่จะสร้างขุมกำลังของตัวเอง กลับเลือกเข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์เพื่อควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น

ดังนั้นแม้ขุมพลังหลิงของนางจะไม่แข็งแกร่ง แต่ด้วยความแข็งแกร่งในฐานะจั้นเจิ้นซือ กระทั่งจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ยากที่จะต่อกรกับนางได้

ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี ร่างเงาหลายสิบร่างมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตัดสินจากความผันผวนของพลังงาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!

ด้วยพลังที่มี พวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งราชันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลยทีเดียว

จอมยุทธ์เหล่านี้ถูกมั่นถัวหลัวสั่งการมาให้ช่วยเหลือถังปิงเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับหอวิหคโลกันตร์

“ตามปกติหอวิหคโลกันตร์จะยังไม่เข้าร่วมการประชุมราชัน เราจะพักอยู่เงียบๆ หนึ่งวัน” ถังปิงมองไปที่การรวมตัวที่แข็งแกร่งเบื้องหน้า ก็ถอนหายใจในใจพลางพูดขึ้นมา

แม้ว่าทุกคนจะคาดไว้กับคำพูดของถังปิง แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ น่าเสียดายที่หอวิหคโลกันตร์ต้องหายหน้าไปจากการประชุมอีกครั้ง

“ลือกันว่าการประชุมราชันครั้งนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูอาจจะขึ้นเป็นจอมพล นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ หอวิหคโลกันตร์จะไม่ออกหน้าบ้างเลยหรือ?” ในโถงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็พูดออกมา

หลงปี้และผู้เฒ่าคูเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งสองมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนนี้ก็มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาหมายตาตำแหน่งจอมพลมานานแล้ว แต่ก่อนหน้าเนื่องจากฐานยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้เมื่อได้เตรียมตัวพร้อมก็คงจะลงมือแย่งชิงตำแหน่งแล้ว

ถ้าพวกเขาชิงตำแหน่งได้สำเร็จ จอมพลก็จะเพิ่มจากสามเป็นห้า สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงต้องการให้หอวิหคโลกันตร์และจอมพลใหม่ทั้งสองคนได้รู้จักมักจี่กันมากยิ่งขึ้น

ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าสูคุนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าเขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์ไม่นาน แต่เนื่องจากภายนอกดูเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงมีอำนาจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดก็มีหลายคนที่ออกเสียงเห็นด้วย เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมพลมีสถานะต่ำกว่าประมุขเท่านั้น

ถังปิงมุ่นคิ้ว นางรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ในอดีตก็มีความคิดที่จะเยี่ยมเยือนในนามของหอวิหคโลกันตร์ แต่ทั้งสองคนหัวสูงมาก ไม่ต้องพูดถึงนาง พวกเขาไม่สนใจกระทั่งมู่เฉินกับจิ่วโยว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติโดยมารยาทต่อหอวิหคโลกันตร์ ในมุมมองของถังปิง หากไม่ใช่ท่านประมุขทั้งสองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองคงจะไม่สนใจเกี่ยวกับหอวิหคโลกันตร์เลย

เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าคือคนที่แม้แต่ท่านประมุขยังต้องลดทัศนคติลงให้ เนื่องจากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่ถัดจากประมุขเท่านั้น

ในเมื่อทั้งสองเย็นชาเย่อหยิ่งเช่นนี้ ถังปิงก็ไม่อยากให้หอวิหคโลกันตร์ลดตัวลงไปสร้างความสัมพันธ์ บวกกับมู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ทำให้นางก็ไม่มั่นใจ จึงได้แต่พยายามคุมภายในหอไว้เท่านั้น

เมื่อถังปิงได้ยินเสียงถกเถียงกันในโถง นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ในหัวใจ พร้อมกับการขยายตัวของหอวิหคโลกันตร์ เกียรติของนางก็ลดลงเช่นกัน แม้ว่าผู้มาใหม่จะทรงพลัง แต่พวกเขาเย่อหยิ่งและไม่ยอมฟังคำสั่ง แต่เนื่องจากนางไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเคารพนางเต็มที่ ปกติก็แค่รักษามารยาทภายนอกไว้เท่านั้น

นางรู้เรื่องเกี่ยวกับสูคุน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหลงปี้และผู้เฒ่าคู อิงจากสิ่งนี้ก็ชัดว่าเขาต้องการใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

เพราะเมื่อทั้งสองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมพล สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ด้วยการสนับสนุนของจอมพลใหม่ทั้งสอง ก็ดีกว่าการอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ที่ไม่มีผู้บัญชาการคุ้มหัว

เห็นได้ชัดว่าสูคุนไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นทันทีที่มีผู้นำการหยั่งเสียงก็เพิ่มขึ้น ทำให้ความเงียบงันในห้องหมดลง เวลานี้แม้แต่ถังปิงก็ไม่สามารถระงับความวุ่นวายได้

“ผู้ดูแลถังถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประชุมราชันด้วยตัวเอง…” เมื่อสูคุนเห็นว่ามีแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้น เขาก็ยักยิ้มเล็กน้อยแล้วผุดลุกขึ้นยืนทันที

หลงปี้และผู้เฒ่าคูต้องการคนสนับสนุน ถ้าเขาสามารถไปและให้การสนับสนุนพวกเขาก็ถือเป็นการลงทุนชั้นเยี่ยม

เมื่อเขายืนขึ้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งลุกตาม จอมยุทธ์หลายคนก็เริ่มโอนเอนด้วยความลังเลใจ เมื่อถังปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลง

สูคุนยิ้มบางเมื่อเห็นใบหน้าของถังปิงและไม่ให้ความสนใจ แม้ว่าถังปิงจะเป็นคนของผู้บัญชาการทั้งสอง แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าถังปิงมาก ต่อให้ผู้บัญชาการจะกลับมาก็ต้องพึ่งพาเขามาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจกับถังปิง

เมื่อคิดถึงตกแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมกับเดินออกไป

เมื่อเห็นสูคุนหันหลัง ทันใดนั้นถังปิงก็ลุกขึ้นยืนพูดคำว่า “หยุด!”

สูคุนชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเอก “ผู้ดูแลถัง ข้าไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า!”

ทั้งสองประจันหน้ากัน บรรยากาศในโถงก็ขมวดเกร็ง ทุกคนแลกสายตาเพราะพวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ดังนั้นสถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะนั้นเสียงหัวเราะบางจางก็ดังก้องไปในโถง

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าไม่เจอกันครึ่งปี หอวิหคโลกันตร์จะครื้นเครงขนาดนี้…”

เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำลายบรรยากาศตึงเครียดจนหมด ทุกคนอึ้งไป อึดใจพวกเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างจนต้องเงยหัวขึ้นมองไปบนที่นั่งประธานทั้งสอง

ไม่รู้ว่าเมื่อไรชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มทั้งดูดีและหล่อเหลาจ้องมองทุกคนด้วยรอยยิ้มระบายบนใบหน้า

แม้ว่ารอยยิ้มจะดูอ่อนโยน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ที่กำซ่านออกมาจากเขา

ถังปิงตกตะลึงไปเมื่อมองร่างเงาของทั้งสองคน จากนั้นความสุขก็โชนขึ้นในดวงตา ก่อนที่เสียงจะดังไปทั่วโถง

“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน? พวกเจ้ากลับมาแล้วเหรอ?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท