หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1083

ตอนที่ 1083

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1083 ปะทะขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า
โฮก!

แขนทั้งสองของหลงปี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำพร้อมกับเกล็ดแข็งตั้งชันบนผิวหนัง ขณะที่ยืนจังก้าอยู่กลางลานประลองอย่างภาคภูมิใจ เสียงคำรามของมังกรแผ่วเบาดังก้องอยู่ในท่อนแขนของเขา

สายตานับไม่ถ้วนมองแขนมังกรคู่นั้นด้วยความเคารพ นี่คือไพ่ตายที่สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิให้หลงปี้ โดยที่มีจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้ามากมายของภูมิภาคทางเหนือพ่ายแพ้ให้กับแขนคู่นี้

มู่เฉินยืนนิ่งเบื้องหน้าหลงปี้ ดวงตาทั้งสองปิดลง รอบร่างหมุนเวียนด้วยคลื่นหลิง ขณะที่มิติเกิดความผันผวนก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดา

ตู้ม!

ทว่าหลงปี้จ้องมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส ก่อนที่แสงจะพุ่งออกมาจากดวงตา เขากระทืบฝ่าเท้าลงไปรุนแรง

ตึง!

เมื่อหลงปี้กระทืบเท้าลง พื้นดินก็สั่นสะเทือนแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับรอยแตกกระจายออกไป เศษหินน้อยใหญ่ดันตัวขึ้น ซึ่งอัดแน่นด้วยคลื่นกระแทกทรงพลังที่สามารถฉีกสิ่งที่กีดขวางออกจากกันได้

หลงปี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพโดดเด่นเพียงแค่ขยับตัว ทุกคนรู้ว่าขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดนับสิบคนยังถูกเป่าเป็นฝุ่น หากพวกเขาเข้าขัดขวางพลังสายนี้

รอยแยกพล่านเข้ามา มู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ส่วนลึกของดวงตาวูบไหวด้วยแสง จากนั้นก็ก้าวออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหลั่งไหลออกมา รอยแตกกระจายออกจากฝ่าเท้าในเวลาเดียวกัน ก่อให้เกิดริ้วคลื่นขนาดมหึมาและทรงพลัง

เขาเลือกเผชิญกับการโจมตีดุเดือดของหลงปี้ด้วยวิธีเดียวกัน!

รอยแตกสองฝั่งกระจายออกมา ก่อนจะปะทะกันอย่างดุเดือดบนลานประลอง

ครืน!

ช่วงเวลาที่ปะทะกัน เศษหินก็ปลิวว่อนไปทั่ว ลานประลองขนาดใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก ก่อนที่จะแยกออกเป็นสองฝั่ง

แรงกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกมา มู่เฉินและหลงปี้ได้รับผลกระทบเป็นคนแรก ร่างทั้งสองกระตุกพลางถูกผลักกลับไป

ตึง! ตึง!

มู่เฉินถูกผลักถอยหลังไปหลายก้าวทิ้งร่องลึกๆ ไว้บนพื้นในทุกย่างก้าว แม้แต่เท้ายังฝังลงไปในแผ่นหิน

สำหรับหลงปี้ถอยไปก้าวเดียวก็ทรงตัวได้

เห็นได้ชัดว่าหลงปี้ทรงพลังกว่าในการปะทะกันกระบวนท่าแรก ทว่าทุกคนรวมถึงหลงปี้ก็ต้องหดดวงตากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้

แม้ว่าพลังที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเหล่านั้น ไม่ใช่พลังทั้งหมดของหลงปี้ แต่แรงทำลายล้างก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสามารถต้านทานได้ มู่เฉินไม่เพียงแต่ต่อต้านพลังทำลายล้างเท่านั้น เขายังเสียเปรียบแค่ก้าวถอยไปหลายก้าว

ดังนั้นตำแหน่งได้เปรียบของหลงปี้สามารถมองข้ามในทางปฏิบัติเลย

เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่แววตาจะหนักหน่วงขึ้น พวกเขารู้ว่าคงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้สักเท่าไร ถ้าพวกเขาอยู่ในจุดเดียวกับมู่เฉิน

แต่ว่ามู่เฉินประสบความสำเร็จด้วยขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า นี่ก็พิสูจน์ว่าพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาสูงกว่าการเพาะบ่มภายนอก

“น่าสนใจ”

หลงปี้จับจ้องไปที่มู่เฉินขณะยิ้ม แต่ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกระจายกว้าง ร่างเงาก็พุ่งออกมาทันที

อากาศถูกบีบอัดระเบิดฉับพลัน ตัวเขาก็ราวกับเกลียวสายฟ้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเขาได้คลุมเครือ

“เร็วมาก!” เสียงอุทานดังก้อง

สายตาของมู่เฉินหดเกร็งทันทีเมื่อเสียงสะท้อนใกล้เข้ามา จากนั้นก็ยกแขนไขว้เป็นกากบาทต้านรับไว้

ตู้ม!

มิติฉีกขาดเบื้องหน้า กำปั้นที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีแดงพุ่งออกมาด้วยพลังเข้มข้นที่สามารถทำลายเนินเขาให้กลายเป็นเศษหิน กระแทกลงบนแขนของเขา

ปัง!

อากาศระเบิดออก ร่างมู่เฉินราวกับได้รับการโจมตีหนักหน่วง ถลาไปเบื้องหลังแล้วปลิวออกไปพร้อมอากาศรอบตัวระเบิดเป็นลูกโซ่

หลงปี้หัวเราะเบาๆ เมื่อส่งมู่เฉินหงายหลังออกไป เขาไม่คิดจะให้มู่เฉินมีเวลาออกกระบวนท่า เสียงฟ้าคำรนดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเขาก็หายไป

ครืน!

หมัดคำรามแหวกอากาศพุ่งตรงไปที่หน้าอกของมู่เฉิน แม้แต่อากาศก็ยังถูกบีบอัดเป็นลอนโค้งที่เบื้องหน้ากำปั้นของเขา

เมื่อหมัดกำลังจะโจมตีโดนร่าง แขนเรียวก็ยื่นออกคว้ากำปั้นมังกรไว้

ฮึ่ม!

อากาศรอบด้านระเบิดเสียงต่ำอื้ออึงไปหมด ทว่าใบหน้าของจอมยุทธ์ทุกคนรอบด้านก็กระตุกในเวลานี้

นั่นเป็นเพราะบนท้องฟ้า ทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน หลงปี้ยังคงท่วงท่าวาดเพลงหมัดชกออกไป ขณะที่อุ้งมือของมู่เฉินต้านหมัดเอาไว้ นิ้วทั้งห้านั่นราวกับเหวลึก ไม่ว่ากำปั้นมังกรจะทรงพลังแค่ไหนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปด้านหน้าได้อีกแม้แต่น้อย

หลงปี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเบาบาง สายตาจับจ้องมาที่มือของมู่เฉิน ในระยะใกล้เช่นนี้เขาสามารถมองเห็นลวดลายสีทองเข้มของกรงเล็บมังกรสวมทับบนท่อนแขนของมู่เฉิน แผ่ออกมาตามนิ้วมือ

เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากลวดลายสีทองเข้ม ทำให้แขนมังกรสีแดงเข้มของเขาจางลงเล็กน้อยจากแรงกดดันนี้

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลงปี้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีพลังมังกร”

“จริงรึ?!”

หลงปี้ขบฟัน พลังมังกรคือความแข็งแกร่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด แม้เขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินได้พลังมังกรมาอย่างไร แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มจะเหนือกว่าเขาในเรื่องนี้

“ไอ้หนูอย่างเจ้ารู้ถึงพลังมังกรแท้จริงรึ! น่าขำ!”

สายตาหลงปี้เปลี่ยนเป็นดุร้าย เกล็ดมังกรบนแขนก็แดงเถือกขึ้น ราวกับว่ากลายเป็นหินหนืดที่แผดความร้อนแรงออกมา เสียงคำรามมังกรดังก้อง ประหนึ่งพลังทำลายล้างถูกปลุกขึ้นในแขนนี้

ฉ่า! ฉ่า!

แขนมังกรดูเหมือนลาวาไหลทะลักเมื่อมองจากระยะไกล เปล่งความทรงพลังพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้แม้แต่เปลือกตาของจอมยุทธ์อย่างเทียนจิ้วยังกระตุกเล็กน้อย

“ไสหัวไป!”

หลงปี้คำรามพร้อมกับพลังทรงประสิทธิภาพระเบิดออกมาจากแขนจนสั่นคลอนไปหมด มือของมู่เฉินที่จับไว้ก็สั่นสะท้านสะบัดออกไป

หลุดจากพันธนาการของมู่เฉินไปได้ ดวงตาของหลงปี้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ฝ่าเท้าก้าวออกมา กำปั้นราวกับมังกรสีแดงเริงระบำซัดไปทั่วร่างมู่เฉินพร้อมพลังทำลายล้าง

ทุกกำปั้นทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลงปี้ที่บ้าคลั่งในตอนนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเหมือนกันยังไม่กล้าเผชิญหน้า

ปัง! ปัง!

พลังงานฉับพลันที่ระเบิดจากหลงปี้ปราบปรามมู่เฉินได้ทันท่วงทีอีกครั้ง เพลงหมัดนี้ทำเอามู่เฉินต้องล่าถอยด้วยสภาพทุลักทุเล การปะทะกันทุกครั้งเรียกเสียงครางจากเขา

จอมยุทธ์ทั้งสองโรมรันพันตูกันบนท้องฟ้าพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มิติแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมที่เฝ้าดูการประลองนี้

ตึง!

การปะทะกันดุเดือดซัดใส่กันอีกครั้ง มู่เฉินไม่สามารถยึดจุดยืนได้อีกต่อไป เขาถูกกระแทกกลับทิ้งร่องลึกสองรอยไว้บนพื้นเมื่อร่อนลงมา

มู่เฉินทรงตัวได้มั่นคง ตอนนี้เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นไปหมด เลือดเปรอะเปื้อนเต็มแขน แต่ท่าทางเขาไม่ปรากฏความท้อแท้ กลับมีวิญญาณแห่งการต่อสู้พลุ่งพล่านอยู่ในม่านตาสีดำสนิทราวกับไฟในเตาหลอม

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า

แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้โหดหิน แต่มู่เฉินก็ปลื้มปีติที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวเองภายใต้การต่อสู้ครั้งนี้

ระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่ไกลเกินเอื้อมเมื่อในอดีต แต่ในเวลานี้หลงปี้ก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้จะนำพลังมังกรออกมาใช้เต็มกำลัง

ในที่สุดมู่เฉินก็รับรู้อย่างชัดเจนว่าการฝึกฝนอันขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ไร้ประโยชน์เมื่อลงประลองกับหลงปี้วันนี้

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอเหมือนในอดีตอีกแล้ว

ฮา

อารมณ์พลุ่งพล่านเต็มหัวใจ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ส่วนโค้งเพิ่มขึ้นที่มุมปาก

“เจ้ายังยิ้มได้อีกเรอะ?” หลงปี้เค้นเสียงเย็นชา ขณะที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงมาที่มู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลงปี้ ดวงตางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นยากเกินหยั่ง ก่อนที่จะยิ้มบาง กำหมัดเข้าหากัน “ต่อไปข้าจะส่งเจ้าถลาออกไปด้วยหมัดเดียว หากข้าไม่สามารถทำได้ตามพูด ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้เอง”

“โอหังนัก!” ม่านตาหลงปี้หดลงขณะเอ่ยเยาะเย้ย

โฮก!

แต่ขณะที่พูดจบ เสียงคำรามอันพิสุทธิ์ของมังกรก็ดังก้องออกมาจากร่างมู่เฉิน ปกคลุมเส้นขอบฟ้าด้วยประกายสีทองเข้มที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างมู่เฉิน ก่อตัวเป็นมังกรขนาดร้อยจั้งที่เบื้องหลัง

เมื่อรูปลักษณ์เทพอสูรก่อตัวขึ้น แรงกดดันมังกรที่น่าอัศจรรย์ก็ระเบิดออกมาราวกับพายุ

แรงกดดันล้อมรอบทั่วบริเวณ ทำเอาเส้นขนทั่วสรรพางค์กายของหลงปี้ลุกชัน รูม่านตาหดลงเหลือเท่ารูเข็ม ก่อนที่เสียงอุทานแหลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระเบิดออก

“นี่คือมังกรแท้จริง?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท