หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1077

ตอนที่ 1077

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1077 กำจัดของเสีย
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน?”

เมื่อชื่อทั้งสองดังสะท้อนในโสตประสาทของจอมยุทธ์ทั้งหมดที่นี่ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว สายตามองไปที่ร่างเงาทั้งสองด้วยความตื่นตะลึง ทั้งสองก็คือผู้บัญชาการแห่งหอวิหคโลกันตร์…จิ่วโยวและมู่เฉินรึ?

พวกเขาดูเยาว์วัยจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนฉงนก็คือความจริงที่พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากทั้งสองคนได้คลุมเครือ

สูคุนหยุดฝีเท้ามองไปที่ทั้งสองด้วยความตื่นตะลึงถามว่า “พวกเจ้าคือผู้บัญชาการจิ่วโยวกับผู้บัญชาการมู่รึ?”

น้ำเสียงของเขามีข้อกังขามากกว่าเคารพ เนื่องจากความเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและมีความโดดเด่นแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันในภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าอดีตมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกและขั้นเจ็ดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งใส่ได้

มู่เฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างสงบถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

สูคุนจ้องมองท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกลัวในใจ จึงอดตอบออกไปไม่ได้ “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ชื่อสูคุนได้รับมอบหมายจากท่านประมุขเพื่อเข้ามาปกป้องหอวิหคโลกันตร์”

มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปรอบๆ คนที่ถูกมองก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับด้วยมารยาท ก่อนจะรายงานชื่อของตนเอง

เมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเรียบร้อย มู่เฉินก็ถอนสายตา ความกดดันที่ห่อหุ้มสลายหายไป ทำให้จิตใจของทุกคนคลายตัวลง ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงและงุนงง เพราะพวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมีแรงกดดันเช่นนี้ทั้งที่ยังเยาว์วัยมาก

ไหนบอกว่าทั้งสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกกับขั้นเจ็ดเท่านั้น?

“จินไถหลิวหลีทักทายผู้บัญชาการทั้งสอง” จินไถหลิวหลีจ้องมองมู่เฉินจากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ

“อ้าว แม่นางจินไถ…” เมื่อมู่เฉินเห็นว่าจินไถหลิวหลีอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน

เมื่อจบคำพูด เขาก็ยกสายตามองไปที่เหล่าคนมาใหม่ที่ฉายความเย่อหยิ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่สนชื่อเสียงของพวกเจ้าในอดีตว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์แล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎของหอ”

“ถังปิงเป็นผู้ดูแลที่ข้าและผู้บัญชาการจิ่วโยวแต่งตั้ง สิทธิอำนาจของนางอยู่ภายใต้เราเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนาง”

ระดับปัจจุบันของหอวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินความคาดหมายของมู่เฉินและจิ่วโยวแล้ว แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีเวลามากพอในการจัดการ พวกเขาจึงได้ฝากฝังเรื่องต่างๆ ไว้ที่ถังปิง นอกจากนี้พวกเขายังมีความไว้วางใจแนบแน่นต่ออีกฝ่ายด้วย

ถึงแม้ว่าระหว่างสูคุนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ จะแข็งแกร่งกว่าถังปิง แต่เขากับจิ่วโยวก็ยังคงเลือกถังปิงโดยไม่ลังเล

เมื่อสูคุนและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อจิ่วโยวและมู่เฉินกลับมา ก็มอบสิทธิ์ขาดให้ถังปิง มิหนำซ้ำพวกเขายังจะต้องฟังคำสั่งของถังปิงอีกด้วย

ในอดีตตอนที่จิ่วโยวและมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าถังปิงจะเป็นผู้ดูแล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความเคารพกับนางมากนัก เพราะในสายตาของพวกเขาพลังของนางเล็กจิ๋วมาก ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาสูคุนก็พยายามแบ่งอำนาจของถังปิงเพื่อเขย่าตำแหน่งของนาง

ทว่าคำพูดของมู่เฉินทำลายความทะเยอทะยานของเขาอย่างสมบูรณ์

สายตาของสูคุนเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “ผู้บัญชาการมู่ แม้ว่าผู้ดูแลถังจะเป็นคนเก่าของหอวิหคโลกันตร์ แต่พลังของนางอ่อนแอมาก ด้วยขนาดของหอที่ขยายขึ้นมากในตอนนี้ ถ้าให้นางดูแลควบคุมทั้งหมด พวกข้าคงจะไม่เต็มใจ!”

เมื่อพูดจบสูคุนก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ขุมพลังนี้มีคุณสมบัติที่จะลงชิงชัยในตำแหน่งผู้บัญชาการ เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นในมุมมองของเขาถ้าทั้งสองมีไหวพริบ พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าคุณค่าของเขาสูงกว่าถังปิงอย่างมาก

เมื่อสูคุนพูดจบ เสียงเห็นด้วยหลายเสียงก็สะท้อนมาจากจอมยุทธ์ที่ถูกสูคุนลากเข้าพวก

ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงสนับสนุน ความมั่นใจของสูคุนก็เพิ่มขึ้นอีก ร่างที่โน้มตัวก็ค่อยๆ ยืดตรงขึ้น

แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉิน เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมบนใบหน้าของอีกฝ่าย ม่านตาสีดำเฝ้ามองคำคัดค้านของทุกคนด้วยความเฉยเมย ทำให้สูคุนรู้สึกไม่สบายใจ

ขณะเดียวกับที่เขาไม่สบายใจ ทุกคนในห้องก็เห็นมู่เฉินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาไม่แยแสกวาดออก “ข้าบอกเหรอว่านี่เป็นการอภิปรายน่ะ?”

แม้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความเป็นเผด็จการที่แฝงอยู่นั้น ทำให้คนทั้งโถงปิดปากฉับพลัน เขย่าหัวใจทุกดวง

สูคุนอึ้งไปกับความเผด็จการของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว “มู่…”

ตู้ม!

ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งจะออกเสียง ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉินก็หันขวับมา คลื่นหลิงทั่วบริเวณปะทุขึ้นฉับพลัน

ปัง!

แรงกดดันที่น่ากลัวบีบเค้นมาจากทุกทิศทาง ก่อนที่สูคุนจะตอบสนอง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ เข่าทั้งสองอ่อนนิ่ม ร่างกายทรุดลงไปบนพื้น คลื่นหลิงล้อมรอบตัวประหนึ่งภูเขาหนักพันชังกดร่างของเขาเอาไว้ ราวกับว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดเจตนาสังหารเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกสับเป็นเนื้อบดด้วยคลื่นพลังที่ไร้ขอบเขต

ทุกคนสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นพลังที่ปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิดพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉิน เหมือนกับพายุถั่งโถมล้อมไปทั่วทั้งโถง

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทุกคนในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อพล่านในสายตา

คลื่นหลิงนี้เหมือนเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว!

สูคุนคุกเข่าบนพื้นเหงื่อเปียกชุ่ม ขุมพลังของมู่เฉินไม่ใช่ระดับจื้อจุนขั้นหกหรอกรึ? แต่ตอนนี้อำนาจของคลื่นพลังไม่แพ้หลงปี้และผู้เฒ่าคูเลย

กึก! กึก!

จอมยุทธ์คนอื่นๆ รีบคุกเข่าลง ความเย่อหยิ่งก่อนหน้าถูกเช็ดออกไปโดยสิ้นเชิง

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงระดับจื้อจุนขั้นเก้า พวกเขาอาจถูกฆ่าตายได้ทันที หากพวกเขากล้าที่จะเบ่งกล้ามอีก

มู่เฉินมองคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโดยไม่แยแส พูดด้วยเสียงบางจางว่า “มีใครอยากคัดค้านอีกไหม?”

พบกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ มู่เฉินไม่ได้ใช้วิธีปลอบประโลม ปะทะกับพวกหยิ่งยโส เขารู้ว่าวิธีการกดข่มและเผด็จการเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเชื่องอย่างสมบูรณ์

ขณะนี้แม้แต่สูคุนยังร่างสั่นระริกเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว

ที่เบื้องหน้าถังปิงอ้าปากกว้างเมื่อมองมู่เฉินที่ฉายท่าทางเผด็จการ จากนั้นก็แอบจู๋ปาก มู่เฉินในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทรงพลังกว่าเมื่อก่อนมากหลายเท่า

ทั้งโถงเงียบไป จอมยุทธ์หลายคนได้แต่เหลือบมองมู่เฉินและจิ่วโยวที่อยู่เหนือ ในสายตาของพวกเขาไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกข่มด้วยพลังที่มู่เฉินเปิดเผยออกมา

“เราไม่ได้คาดหวังว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตในระดับนี้ แต่ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสมาชิกของหอแล้ว ถ้าอนาคตเป็นพวกสองหัวก็ไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่ออีก” น้ำเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังก้อง ทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินกล่าวว่าไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่ใช่หอวิหคโลกันตร์

ภูมิภาคทางเหนือในปัจจุบัน ถ้าพวกเขาถูกเตะโด่งออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้แล้วเช่นกัน

ถ้านี่เป็นอดีต บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะกับคำพูดเหล่านั้น แต่หลังจากได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งและตำแหน่งของเขาในสำนัก เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น

“เราไม่มีความคิดอื่นใด!”

ทุกคนเหงื่อเย็นชุ่มโชก รีบแสดงถึงความภักดีต่อทั้งสองทันที แม้กระทั่งสูคุนก็ไม่กล้าที่จะแสดงความเย่อหยิ่งอีกต่อไป เพราะเขาถูกปราบลงราบคาบแล้ว

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศลบล้างไปได้หมดอย่างสมบูรณ์ มู่เฉินและจิ่วโยวก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หญิงสาวยิ้มบาง เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับวิธีการของมู่เฉินในการข่มขู่พวกหน้าใหม่

“วันนี้เป็นการประชุมราชันรึ?” หลังจากจัดการกับเรื่องภายในหอเรียบร้อย มู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้น

ถังปิงรีบก้าวออกมาอธิบายรายละเอียด

“หลงปี้? ผู้เฒ่าคู?” เมื่อได้ยินชื่อทั้งสองสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเป็นจอมยุทธ์อหังการในอดีตของภูมิภาคทางเหนือ ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ดูจากท่าทางคงมีความคิดในตำแหน่งจอมพลด้วย

“ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งใหญ่มาก มิหนำซ้ำขุมพลังก็ถึงระดับที่มีคุณสมบัติที่จะชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพล ด้วยสถานะปัจจุบันโอกาสของความสำเร็จก็ค่อนข้างสูง”

พูดถึงตรงนี้ริมฝีปากแดงเรื่อของถังปิงก็เบะลงด้วยความไม่พอใจ “แต่พวกเขาหยิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนจะดูถูกหอวิหคโลกันตร์เอาไว้มาก”

คำพูดของถังปิงอ้อมค้อมอยู่บ้าง เนื่องจากในมุมมองของนาง พวกเขาไม่ใช่แค่ดูถูกหอวิหคโลกันตร์ ที่ดูถูกยิ่งกว่าคือผู้บัญชาการทั้งสอง

เพราะในมุมมองของพวกเขา เหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากแรงสนับสนุนของท่านประมุข คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจใดๆ

แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมแล้ว ถังปิงก็ไม่ได้พูดออกมาดังๆ

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของถังปิงก็มองไปที่จิ่วโยว นางยิ้มบางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งในคำพูดแฝง “พวกผีเฒ่าน่ารังเกียจเสียจริง”

มู่เฉินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”

ถังปิงอึ้งไปถามว่า “ไปที่ไหน?”

“ในเมื่อเป็นการประชุมราชันก็ขาดพวกเราไม่ได้สิ” มู่เฉินสะบัดแขนพลางยิ้มอ่อน ประโยคต่อไปของเขาก็กระตุกหัวใจของทุกคนด้วยความไม่เชื่อกระจายในสายตา

“ตัวข้าเองและจิ่วโยวก็สนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”

การเดินทางไปวังสวรรค์บรรพกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็ต้องยกสถานะตนเองในสำนักให้มากที่สุด เพราะถึงตอนนั้นเขาอาจต้องพึ่งพาพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วย

ดังนั้นมู่เฉินจึงสนใจในตำแหน่งจอมพลมาก

**สำนวนพวกผีเฒ่าแปลว่าพวกชอบเอาข้ออ้างเรื่องอายุมากมากดขี่คนอื่น

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท