หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1092

ตอนที่ 1092

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
โรงประมูลแห่งนี้มีผู้คนมากมาย

แต่แม้จะมีจำนวนมากมาย ทั้งโถงก็เงียบลงสายตาแต่ละคู่จ้องมองบนแท่นประมูล…

พูดให้ตรงก็คือพวกเขาจ้องมองไปที่ถาดเงินที่ถือโดยหญิงสาวสี่คนที่มีอักขระพลังหลิงปรากฏอยู่บนถาดที่ก่อตัวม่านแสงขัดขวางความผันผวนของพลังงานเพื่อไม่ให้ใครสัมผัสได้

หานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองโดยรอบก็ยิ้ม “ขนาดของการประมูลครั้งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งของทั้งสี่ชิ้นนี้มีต้นกำเนิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด…”

“งั้นขอเริ่มจากชิ้นแรกเลย”

หานเฟยโบกมือ หญิงสาวคนหนึ่งก็เยื้องย่างประคองถาดเงินออกมา ริ้วแสงบนถาดค่อยๆ จางหายเผยให้เห็นวัตุภายใน

ทุกคนมองไปก็เห็นหินอ่อนสีดำวางบนถาดที่ปกคลุมด้วยรอยด่างดำ รัศมีโบราณและลึกซึ้งเบาบางไหลพล่านออกมา

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อจ้องมองหินอ่อนนั่น จากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา เมื่อแสงสีดำพวยพุ่งเขาก็มองทะลุผ่านหินอ่อนด่างดำเห็นพลังงานมหึมาบรรจุอยู่ภายใน

“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวถามด้วยความสงสัย หินอ่อนสีดำชิ้นนี้ดูธรรมดามากจากพื้นผิว

“น่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทรงพลังมากเลยทีเดียว” รอยแยกเล็กๆ บนหน้าผากปิดลง มู่เฉินพูดออกมาช้าๆ ด้วยพลังของเนตรดับชีวิตเขาสามารถมองเห็นพลังทรงประสิทธิภาพที่บรรจุอยู่ในหินอ่อนสีดำ ซึ่งพลังนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าเนตรดับชีวิตของเขาเลย

ความจริงนี้ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม วังสวรรค์บรรพกาลพิเศษอย่างแท้จริง เพียงหินอ่อนชิ้นเดียวก็ทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เผชิญหน้ากับวัตถุแบบนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกล่อลวงเอาได้

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม ทั้งโถงก็เกิดจลาจลย่อมๆ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่สามารถบอกได้ว่าหินอ่อนสีดำคืออะไร แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถพิเศษในการสอดแนมได้ ดังนั้นไม่นานเสียงกระซิบก็ค่อยๆ ดังกึกก้องทำให้เกิดความปั่นป่วนไปหมด

“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายอาวุธชิ้นนี้เรียกว่าไข่มุกทะเลเดือดมีเพียงสมาชิกที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาลเท่านั้นที่จะได้รับเป็นรางวัล นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีพลังในการแยกทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่กล้าดูถูกเลยทีเดียว” หานเฟยยิ้มตาหยี

ความปั่นป่วนในโถงถูกต้มจนเดือดจากการอธิบายของหานเฟย ผู้คนนับไม่ถ้วนมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วยสายตาลุกโชน กระทั่งในขั้วอำนาจระดับต้น อาวุธระดับนี้ก็หายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่มุกทะเลเดือดที่ทรงพลังกว่าอาวุธเสมือนสวรรค์ทั่วไปเลย

“ขอเสนอราคาเริ่มต้นที่ของเหลวจื้อจุนสิบล้านหยด เคาะครั้งหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน หากใครสนใจก็สามารถเรียกราคาประมูลได้เลย” หานเฟยยิ้ม

เมื่อราคาพูดออกมาก็ทำเอาความโกลาหลหยุดลงทันใด นี่เป็นจำนวนเงินมากพอดู หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจชั้นสูงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยิบเงินจำนวนมากออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว

นอกจากนี้แม้ว่าพวกเขาจะมี แต่ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ใช้เพื่อการเพาะบ่มขุมพลัง เพราะของเหลวจื้อจุนเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกยุทธ์ หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อความเร็วของการฝึกเช่นกัน

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชะงักไปด้วยราคาที่สูง แต่ก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงมารวมตัวกันอยู่ในเมืองซีขณะนี้และพวกเขาทั้งหมดก็เตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับราคานี้ แต่เมื่อคิดถึงพลังที่แข็งแกร่งเพียงนั้น พวกเขาก็กัดฟันเสนอราคา

“ของเหลวจื้อจุนสิบเอ็ดล้านหยด!” ที่ชั้นสองชายชุดขาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียงออกมา ดึงดูดสายตาและเสียงกระซิบนับไม่ถ้วน

“นั่นประมุขน้อยสำนักหยกทองคำ ว่ากันว่าปัจจุบันเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด”

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาใจกว้างแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนสิบล้านกว่าหยด อาจทำให้ข้าบรรลุขั้นเจ็ดหรือขั้นแปดได้เลย”

ชายชุดสีขาวโบกพัดหยกในมือพลางยิ้มบาง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาที่ตนเองแบบอิจฉา

แต่ก่อนที่เขาจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้นานก็ถูกเสียงหนึ่งรบกวนขึ้น “สิบสองล้านหยด!”

ใบหน้าชายชุดสีขาวแข็งทื่อแล้วก็หันขวับกลับมามอง ก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นนูนบนใบหน้า สายตาดุร้ายประหนึ่งหมาป่า ชัดว่าเป็นคนโหดเช่นกัน

“เฮ นั่นไม่ใช่ประมุขสำนักหมาป่าสวรรค์ตะวันตกเฉียงเหนือรึ? ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่…”

มู่เฉินมองฉากตรงหน้าด้วยความสนุก แม้จะถูกล่อลวงโดยไข่มุกทะเลเดือด แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการประมูลของชิ้นนี้ เนื่องจากเนตรดับชีวิตไม่ด้อยกว่าไข่มุกดำด่างนั่นเลย ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อหา ไม่งั้นต่อให้หอวิหคโลกันตร์จะไม่เหมือนในอดีต แต่ถังปิงคงมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ถ้านางรู้ว่าเขาโปรยเงินออกไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายแค่ไหน

ภายใต้การจ้องมองของคนนับไม่ถ้วนราคาของไข่มุกทะเลเดือดก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสูงจนถึงสิบสี่ล้าน ณ จุดนี้กระทั่งประมุขน้อยสำนักทองคำและประมุขหมาป่าสวรรค์ก็เริ่มหยุด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยความลังเล

“สิบหกล้าน”

เสียงขี้เกียจดังก้องขึ้นขณะที่ทั้งสองมีท่าทางลังเล สิ่งนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยหงกำลังทำท่าเกียจคร้านอยู่

พอเห็นว่าเซี่ยหงเป็นคนเสนอราคาประมูล ทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้ากระแทกตัวนั่งลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ

เพราะพวกเขาไม่สามารถรุกรานแคว้นเซี่ยได้และในแง่ของความมั่งคั่งก็ด้อยกว่าหลายเท่า

เซี่ยหงเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนที่จะกวาดสายตาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “มีใครเสนอราคาที่สูงกว่าข้าไหม?”

ในเสียงของเขาแฝงอาการเยาะเย้ย แม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจกับหลายคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ของเหลวจื้อจุนสิบหกล้านหยดเทียบเท่ากับผลกำไรทั้งปีของบางขั้วอำนาจเลยทีเดียว

หานเฟยมองทุกคนที่นิ่งเงียบก็คลี่ยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาที่ดีกว่านี้ ไข่มุกทะเลเดือดชิ้นนี้เป็นขององค์ชายสี่”

เขาปรบมือเบาๆ หญิงสาวก็ถอยหลังลงไปจากแทนประมูล ขณะเดียวกันหญิงสาวคนที่สองก็เดินออกมา

ทุกคนมองไปที่ไข่มุกทะเลเดือดที่จากไปก็ถอนหายใจก่อนที่จะให้ความสนใจกับถาดเงินที่สองต่อ

ผ่านการอุ่นเครื่อง บรรยากาศในการประมูลก็ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับถูมือเข้าด้วยกัน พวกเขาตื่นเต้นที่จะเห็นว่าถาดเงินลำดับต่อไปคืออะไร

เมื่อเห็นบรรยากาศนี้หานเฟยก็ไม่ชักช้ารีบโบกมือ ม่านพลังบนถาดที่สองหายไป เผยให้เห็นวัตถุภายใน

สายตาของมู่เฉินพุ่งไปที่แท่นประมูลกวาดมองวัตถุชิ้นที่สอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้น

เนื่องจากนั่นมีม้วนทองสำริดโบราณวางอยู่บนถาดเงิน ถึงแม้ว่าม้วนทองสำริดนี้จะดูขาดๆ หายๆ แต่ความผันผวนพิเศษก็ทำให้มู่เฉินเข้าใจว่านี่เป็นแผนภาพค่ายกล ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ระดับเทียน

ขณะที่ความสนใจเพิ่มขึ้นในใจมู่เฉิน เสียงผิดหวังกลับดังก้องขึ้นในโถง คิดว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้รู้ว่านี่เป็นภาพค่ายกล ซึ่งจะมีประโยชน์ในมือของหลิงเจิ้นซือเท่านั้น ทว่าจำนวนของหลิงเจิ้นซือก็มีน้อยนัก

“ทุกท่าน ม้วนภาพนี้คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร… ล่ำลือกับว่าอยู่ในระดับจงซือ” หานเฟยอธิบายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความสนใจของผู้คนลดลง

“ระดับจงซือ?” ความโกลาหลระเบิดตามคำพูดดังกล่าว แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นหลิงเจิ้นซือยังมีแววตื่นตะลึงเขียนบนใบหน้า ค่ายกลระดับจงซือ? นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนหรอกหรือ?

ทุกคนรู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นค่ายกลระดับจงซือจึงมีพลังระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

นี่คือภาพค่ายกลที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปเทียนหลัวก็คงไม่มีในครอบครอง แต่ขณะนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่นี่รึ?

มู่เฉินก็ตกใจไปก่อนจะขมวดคิ้ว ตามการประเมินของเขา แม้ว่าม้วนภาพจะมีความผันผวนพิเศษปล่อยออกมา แต่ก็ไม่น่าอยู่ในระดับจงซือนะ

“เจ้าบอกว่าภาพค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือรึ?” มีคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามด้วยความสงสัยหลังจากตรวจสอบไปครู่หนึ่ง

หานเฟยหน้าม้านไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินจากนั้นก็ตอบว่า “แน่นอน ถ้านี่เป็นฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็จะเป็นภาพระดับจงซือแท้จริง”

“เจ้ากำลังบอกว่านี่ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์เรอะ?” ทุกคนที่นี่ไม่โง่ พวกเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหานเฟยทันที

หานเฟยยิ้มแห้ง “ภาพค่ายกลนี้ยังไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ถึงกระนั้นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็มีปัญหาในการเผชิญกับค่ายกลนี้”

เฮ้อ

เสียงผิดหวังดังทั่วโรงประมูล หลายคนถึงกับส่ายหัว พวกเขาไม่ใช่หลิงเจิ้นซือดังนั้นจึงไม่สนใจที่ใช้เงินเพื่อซื้อภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์หรอก

หานเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นก็เอ่ยว่า “งั้นเริ่มการเสนอราคาวัตถุชิ้นที่สอง การเสนอราคาเริ่มต้นของภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็คือของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด”

ห้าล้านหยดนับว่าถูกกว่าไข่มุกทะเลเดือดครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเสนอราคา แม้แต่พวกหลิงเจิ้นซือก็ยังนั่งไตร่ตรองกันอยู่ เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจในการทำความเข้าใจค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ หากพวกเขาล้มเหลวนี่ก็จะเป็นขยะในมือ

การทิ้งของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดนี้ไปก็ถือเป็นความเจ็บปวดกับกระเป๋าเงิน

ด้วยความคิดเช่นนี้ทั้งโรงประมูลจึงเงียบเสียงลง

เมื่อหานเฟยเห็นสถานการณ์นี้ก็ส่ายหัวช่วยไม่ได้ ทว่าเขารู้ในวัตถุทั้งสี่ชิ้น ภาพค่ายกลเป็นของที่ปล่อยประมูลยากที่สุด

ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เตรียมพูดอีกครั้งเพื่อพยายามปลุกเร้าความสนใจของเหล่าหลิงเจิ้นซือ

แต่ขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงอ่อนเยาว์ก็ดังก้องอยู่ในโถง

“หกล้าน”

หานเฟยอึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลามองมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท