หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1093

ตอนที่ 1093

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1093 แย่งชิง
“หกล้าน”

เสียงสงบนิ่งสะท้อนในโรงประมูลดึงดูดสายตาประหลาดใจมากมาย ก่อนที่จะพุ่งตรงไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในชั้นสาม

“ใครกัน? หรือว่าจะเป็นหลิงเจิ้นซือ เขาถึงได้เสนอราคาสำหรับแผนภาพค่ายกลนี้?”

“ไม่รู้สิ ตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นี่มากมาย จะไปรู้จักทุกคนได้ยังไง แต่เขาคนนี้ไม่คุ้นหน้าเลย น่าจะไม่ติดอันดับในทำเนียบนะ”

“แต่ดูจากความผันผวนของพลังงานรอบตัว เขาอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้านะ ซึ่งไม่ธรรมดาในหมู่คนรุ่นใหม่แล้ว”

เสียงกระซิบทุกประเภทดังก้อง

ด้วยความกังขากับตัวตนของมู่เฉิน

บนชั้นสามก็มีสายตาจับจ้องมาที่มู่เฉินเช่นกัน เซี่ยหงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดวงตาของเขาหรี่ลงราวกับสุนัขจิ้งจอก ก่อนที่จะกะพริบตาแล้วกวาดมองไปที่มู่เฉินแบบไม่แยแส

“ฮ่าๆ มีใครเสนอราคาสูงกว่านี้ไหม?” หานเฟยจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะถอนสายตาถามพร้อมกับรอยยิ้มแย้มในโรงประมูล

ความเงียบกินเวลาในการประมูลไปชั่วครู่ แต่ที่นี่ก็มีหลิงเจิ้นซือคนอื่นด้วยเช่นกัน พวกเขายังให้ความสนใจในภาพค่ายกลนี้ ดังนั้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดก็มีคนพูดออกมา

“หกล้านห้า” ชายคนหนึ่งยืนขึ้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งปกคลุมบนแขนเสื้อ แสงไหลเวียนอยู่บนนั้น

“นั่นคือมู่ไป๋ ศิษย์เอกสำนักค่ายกลอมตา ลือกันว่าเป็นหลิงต้าเจิ้นซือสามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนขั้นกลางได้แล้ว” มีคนตาแหลมคมในการประมูล ดังนั้นอัตลักษณ์ของผู้เสนอราคาจึงถูกจดจำได้ทันที

มู่ไป๋ประสานมือด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรให้มู่เฉิน

มู่เฉินก็ตอบรับในทำนองเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นมิตรเขาก็ไม่คิดจะละทิ้งภาพไม่สมบูรณ์นี้ จึงยื่นราคาต่อ “เจ็ดล้าน”

เมื่อได้ยินการเสนอราคา มู่ไป๋ก็อึ้งไปก่อนที่จะพูดพร้อมกับยิ้ม “แปดล้าน”

พวกเขาทั้งสองให้ความสนใจอย่างชัดเจนกับภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้ แม้จะไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ก็ถือว่าเป็นสมบัติสำหรับหลิงเจิ้นซืออย่างพวกเขา ต่อให้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ แต่พวกเขาก็จะได้รับการพัฒนาจากการทำความเข้าใจในค่ายกลนี้

การประกวดราคาของทั้งสองร้อนแรงขึ้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าแม้ทั้งสองจะใส่ราคากันอย่างต่อเนื่องก็ยังคงเป็นมิตร ไม่ได้มีประกายไฟบินว่อน

ทั้งสองไม่ยอมแพ้กัน ดังนั้นจึงดึงดูดหลิงเจิ้นซืออีกหลายคนให้เข้าร่วมในการเสนอราคา ทำให้ราคาของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ก็เพิ่มเป็นสิบเอ็ดล้าน ซึ่งเข้าใกล้ราคาของไข่มุกทะเลเดือดเข้าไปทุกที ดังนั้นจำนวนคู่แข่งจึงค่อยๆ ลดลง เหลือเพียงมู่เฉินและมู่ไป๋อีกครั้ง

“สิบสองล้าน”

มู่เฉินเสนอราคาอย่างสงบนิ่ง ราคานี้ไม่ต่ำเลย ช่างน่าเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับหอวิหคโลกันตร์นัก หากมั่นถัวหลัวไม่ได้มอบของเหลวจื้อจุนให้กับเขาในการเดินทางครั้งนี้ เขาคงต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแล้ว

เมื่อราคาแตะที่สิบสองล้านก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในการประมูล ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ถูกยกระดับราคาเช่นนี้

สายตาของมู่ไป๋เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดผสมความลังเล ราคานี้เท่ากับรายได้ทั้งปีของเขาเลย

หลังจากความลังเลเบาบาง มู่ไป๋ก็ถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วนั่งลง

เมื่อเห็นว่ามู่ไป๋ยอมแพ้ มู่เฉินก็โล่งใจ ถ้ามู่ไป๋ดื้อรั้นเสนอราคาต่อ อาจเป็นตัวเขาเองจะต้องยอมแพ้ถ้าราคาขึ้นอีกไม่กี่รอบ

“สิบสี่ล้าน!”

ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังรู้สึกโล่งใจในใจจากการยกธงขาวของมู่ไป๋ เสียงไม่แยแสก็ดังกึกก้องซึ่งดึงดูดความปั่นป่วนอีกครั้ง

ทันใดนั้นสายตานับไม่ถ้วนก็มองขึ้นไปตรงที่มาของเสียง จากนั้นประกายแสงก็วูบไหวบนใบหน้าของพวกเขา

นั่นเป็นเพราะบนเก๋งจีนชั้นสามเซี่ยหงกำลังเล่นกับไข่มุกดำด้วยท่าทางไม่แยแส นั่นคือไข่มุกทะเลเดือดที่เขาเพิ่งประมูลได้ หลังจากเสนอราคาออกมา เขาก็ไม่ได้มองหน้าใคร ทำเพียงมองไปที่ไข่มุกในมือโดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาทั้งหมด

สำหรับมู่เฉินซึ่งถูกขัดจังหวะ เซี่ยหงก็ไม่สนใจที่จะมองราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งทำไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง

พฤติกรรมของเขาดึงดูดความประหลาดใจจากทุกคน เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนเซี่ยหงจะมีเรื่องบาดหมางกับมู่เฉิน…

“ไอ้เวรนั่น!”

สายตาของจิ่วโยวสาดไอเกรี้ยวกราดและเย็นเยือก เซี่ยหงจงใจเล็งหาเรื่องมู่เฉิน ชัดว่าไม่ต้องการเห็นมู่เฉินได้ของไปครอบครองอย่างง่ายดาย

ตรงข้ามกับจิ่วโยวที่โกรธเคือง สีหน้ามู่เฉินกลับไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมาก เขาคงคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่จ้องมองอย่างเงียบๆ ไปที่เซี่ยหงก่อนที่จะยิ้ม “สิบห้าล้าน”

เซี่ยหงลูบไข่มุกเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “สิบหกล้าน”

บรรยากาศในงานประมูลเริ่มเดือดขึ้นอีกครั้ง หากมู่เฉินและมู่ไป๋ทำไปแบบมิตรภาพ การแข่งขันราคาระหว่างมู่เฉินกับเซี่ยหงก็เท่ากับล้างบางกันแล้ว

จิ่วโยวสาดสีเย็นชาลงหลายส่วน นางกำกำปั้นความผันผวนของพลังงานที่น่าสะพรึงก็กระเพื่อมออกมาจากหมัด แม้แต่ผู้เฒ่าไป๋ ผู้บัญชาการสือและถานชิวที่นั่งอยู่ข้างหลังก็แสดงสีหน้าไม่ดีเช่นกัน

“สิบเจ็ดล้าน”

มู่เฉินรักษาเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

เมื่อราคานี้เอ่ยขึ้นก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในโรงประมูล นี่มากเกินไป แม้แต่เซี่ยหงยังหยุดเล่นไข่มุกแล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยท่าทางหยอกล้อ “สหายใจกว้างจริงๆ งั้นข้าถอยให้แล้วกัน”

หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น เซี่ยหงใจร้ายจริงๆ ดูจากท่าทางก็เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์สักนิด แต่เหตุผลที่เขาเสนอราคาเพียงเพื่อให้มู่เฉินต้องจ่ายราคาสูงขึ้นอีกนิด ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์ที่ทำไป เนื่องจากทำให้มู่เฉินต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนเพิ่มไปอีกห้าล้านหยด

“งั้นข้าก็ขอขอบคุณองค์ชายสี่”

ภายใต้การจ้องมองอย่างน่าสงสารของทุกคน มู่เฉินกลับไม่ได้ใส่ใจและยังยิ้มให้เซี่ยหง “แต่ข้าหวังว่าองค์ชายสี่จะไม่เสียใจที่ทำให้ข้าได้สิ่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าคิดว่าราคาที่เจ้าจะต้องจ่ายจะยิ่งกว่าของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยดนี้”

คำพูดของมู่เฉินทำให้คนอื่นประหลาดใจ ต่างคิดว่าชายหนุ่มคนนี้โอหังไม่น้อย…

ทว่าม่านตาของเซี่ยหงกลับหดลงเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขารู้สึกไม่สบายใจคลุมเครือ แต่จากนั้นก็ระงับความรู้สึกลงไปได้ จอมยุทธ์ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะทำอะไรได้แม้จะมีภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อกองทัพของแคว้นเซี่ยมาถึง ชายคนนี้ก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือซากได้ง่าย

ดังนั้นจึงเขายิ้มบาง ก่อนที่ริ้วเหยียดหยามจะเผยขึ้นที่มุมปาก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะรอ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ”

มู่เฉินยิ้มไม่พูดอะไรต่ออีก

“ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดด้วยเสียงเย็นชา แม้ของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดไม่ได้เป็นจำนวนเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือวิธีของเซี่ยหง

“เขาคิดจริงๆ หรือว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์แหย่ได้ง่ายๆ?” ถานชิวโกรธจนหัวร้อนฉ่า สำนักของพวกเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แม้ภูมิหลังยังเทียบแคว้นเซี่ยไม่ได้ แต่ถ้าสู้กันจริงๆ แคว้นเซี่ยก็ไม่สามารถได้รับผลประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน

ทว่าเผชิญหน้ากับความโกรธของพรรคพวก มู่เฉินก็โบกมือแล้วยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าบอกแล้วไงองค์ชายสี่จะต้องเสียใจแน่นอนที่ให้ข้าได้ภาพพค่ายกลมาครอบครอง”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้เบาบางว่าพลังของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หากเขาสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ของที่สามารถซื้อได้ด้วยของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยด

จิ่วโยวและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับศักยภาพของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร แต่ก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอนในเมื่อมู่เฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น

ขณะที่พวกเขาสนทนากัน หานเฟยก็ปิดการประมูลสำหรับภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ให้ผู้ดูแลส่งม้วนภาพนี้ไปให้มู่เฉิน แล้วเริ่มการประมูลของชิ้นที่สาม

นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์ซึ่งทั้งโบราณและไม่ธรรมดา ทว่ามู่เฉินไม่สนใจจะประมูลอีกต่อไปเนื่องจากกินเยอะเคี้ยวไม่หมดเอา ตอนนี้เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะรวบรวมสิ่งที่ไม่สมบูรณ์จำนวนมากเพื่อทำความเข้าใจ

ดังนั้นวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์จึงถูกประมูลโดยชิ้งหย่าในราคาสิบแปดล้าน…

เมื่อสิ้นสุดการประมูลของชิ้นที่สาม บรรยากาศในโรงประมูลก็ตึงเครียดถึงขีดสุด สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ถาดเงินถาดที่สี่

คนส่วนมากมาที่นี่ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่วัตถุสามชิ้นแรก แต่เป็นวัตถุที่ได้สร้างคลื่นปั่นป่วนในเมืองในช่วงสองวันที่ผ่านมา…

บนแท่นประมูลหานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารับถาดเงินมาถือด้วยตนเอง ม่านแสงก็จางลงเผยสิ่งที่อยู่ในนั้น

นี่เป็นป้ายทองคำกระดำกระด่างวางบนถาด คำโบราณพร่ามัวสลักด้านบนที่ดูเหมือนคำว่า ‘สอง’…

สายตาของมู่เฉินเป็นประกาย นี่เป็นตราประจำตัวของจอมพลสองแน่แล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท