หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1089

ตอนที่ 1089

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1089 เซี่ยหง
เมืองซี

เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตก แต่ในอดีตเมืองนี้เงียบเหงามาก ประชากรก็เหลือน้อยจนเมืองเกือบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว

ทว่าการปรากฏขึ้นฉับพลันของวังสวรรค์บรรพกาล ทำให้เมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อกลุ่มของมู่เฉินปรากฏตัวบนยอดเขานอกเมืองซี พวกเขาก็เห็นร่างแสงเป็นริ้วปกคลุมท้องฟ้า เสียงที่ทำเอาแก้วหูแทบแตกดังกึกก้องไม่สิ้นสุด

ความผันผวนของคลื่นนับไม่ถ้วน ทำให้พลังงานในฟ้าดินเกิดปฏิกิริยาขึ้นบนท้องฟ้า สามารถรับรู้ได้แม้แต่ในระยะไกล

“การล่อลวงของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งไม่ธรรมดาแท้จริง สามารถทำให้เมืองแสนธรรมดากลายเป็นคึกคักขนาดนี้…” มู่เฉินถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพหลากหลาย เจ้าของคลื่นพลังเหล่านี้ทรงพลังมาก จนถึงจุดที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยความจริงจัง

ตามการประเมินของเขา ขนาดของจอมยุทธ์ในเมืองนี้เกินกว่าการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นยอดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซะอีก

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบพื้นผิว ไม่อย่างนั้นหากมั่นถัวหลัวเคลื่อนไหวละก็ ทั้งเมืองอาจราบเรียบเป็นหน้ากองได้เลย แต่ชัดว่าในเมืองนี้ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วแล้วทะยานออกไปโดยมีผู้บัญชาการทั้งสามตามหลังมา ร่างแสงห้าร่างเข้าร่วมกับการไหลของแสงบนท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในเมือง

เมื่อเข้ามาพวกมู่เฉินก็มองหาโรงเตี๊ยมเพื่อปักหลัก ผู้เฒ่าไป๋และถานชิวออกไปหาข่าว ขณะที่ผู้บัญชาการสือติดตามมู่เฉินและจิ่วโยวประหนึ่งผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์

เมื่อมู่เฉินเห็นทั้งสามคนแยกกันทำงานเสร็จสรรพ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจว่าเป็นการฉลาดที่พาพวกเขาทั้งสามร่วมเดินทางมาด้วย มิฉะนั้นเขาจะต้องวิ่งขวั่กหาข้อมูลรอบตัว

ยิ่งเมื่อผู้เฒ่าไป๋ที่มากประสบการณ์ออกโรง เขาและจิ่วโยวก็เพียงแค่รอข้อมูลที่รวบรวมมาเท่านั้น

โรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก ซึ่งก็ถูกส่งเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉินและจิ่วโยวอยู่ไม่น้อย ในสถานที่แบบนี้จะปะปนไปด้วยคนทุกประเภท ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการค้นหาข้อมูลไปรอบๆ

“ข้าได้ยินมาว่าฝั่งทิศเหนือของเมืองซีมีคนเคลื่อนไหวอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอมเขียวถือหอกทองคำ พลังของเขานับว่าดีทีเดียว อย่างน้อยก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุด”

“จุ๊ๆ นั่นคือหอกเทพทองคำ-หลิ่วหมิง เขามาจากภูมิภาคทางตะวันตก บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุดได้ตั้งแต่เยาว์วัย ช่วงนี้เขาท้าประลองจอมยุทธ์จำนวนมาก โดยมีหลายคนหมดท่าแพ้ไปแล้ว”

“เขามีความสามารถจริงๆ แต่ข้าว่าเขายังด้อยกว่าจอมยุทธ์กระบี่บัวหยกที่แสดงฝีมือเมื่อสองสามวันก่อน ตัดสินจากระดับพลัง ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนที่ประลองกันเขาตัดแขนจอมยุทธ์ขั้นแปดสี่คนโดยการออกกระบวนท่าครั้งเดียว ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”

“ยังมีอีกนะ ครึ่งเดือนก่อน…”

“…”

ข่าวทุกประเภทลอยเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉิน ทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย ดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้กำลังเป็นที่รวบรวมจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัว คนพวกนั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของคนรุ่นใหม่ถ้าอยู่ที่อื่น แต่ตอนนี้พวกเขากลับเผยตัวขึ้นทีละคน…ละคน

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับจำนวนจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ในเมืองซีแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องมาจากขอบฟ้า ปรากฏขึ้นในเมืองพริบตา

ในเมืองสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปทางทิศนั้น จากนั้นก็เกิดเสียงอุทานไม่สิ้นสุด

มู่เฉินจ้องมองไปบนท้องฟ้าก็ต้องอึ้งไป จากนั้นก็ต้องเบะปาก นั่นเป็นเพราะตอนนี้สังเกตเห็นยานพาหนะที่หรูหราที่สุดในสายฟ้า รถม้าถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายมังกรสีทอง ความผันผวนอันทรงพลังได้ถูกปล่อยออกมาบ่งบอกว่านี่คืออาวุธเทพ

แน่นอนว่าที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่รถม้า แต่เป็นสิงโตสีเงินสี่ตัวที่กำลังลากรถโดยมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับว่าพวกมันกำลังขี่สายฟ้าอยู่

นี่คือ…สิงโตสายฟ้าซึ่งมีสายเลือดของเทพอสูร เมื่อพวกมันโตเต็มวัยก็จะสามารถพัฒนาการเป็นเทพอสูรแท้จริงได้ ไม่คิดว่าจะถูกใช้เป็นยานพาหนะเช่นนี้

“ใครกันทำตัวดูเด่นจริงๆ?” จิ่วโยวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยชอบใจกับคนที่ใช้เทพอสูรเป็นสัตว์เลี้ยง

มู่เฉินส่ายหัว ก่อนที่เสียงตื่นเต้นปนอิจฉาจะดังก้องออกมาจากโรงเตี๊ยม

“อลังการแบบนี้ ลวดลายบนรถแบบนี้ ท่าทางจะมาจากแคว้นเซี่ย…”

“จุ๊ๆ สมเป็นเจ้าเขตตะวันออกอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าพวกเขาก็มาเช่นกัน ในรถม้านั่นจะต้องมีองค์ชายแคว้นเซี่ยแน่นอน”

“เฮ้ มีเสียงหัวเราะพะเน้าพะนอของหญิงสาวมาจากในรถม้า ดูท่าคนนี้จะชื่นชอบเรื่องดังกล่าว ในแคว้นเซี่ยนอกจากองค์ชายสี่เซี่ยหงแล้วก็คงไม่มีใครอื่น”

“โอ้? องค์ชายสี่เซี่ยหง? คนที่อยู่อันดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวเหรอ?”

“ก็เขาคนนี้แหละ มีข่าวลือว่าเขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว ทว่าเส้นทางการเพาะบ่มกลับมุ่งไปทางกามารมณ์ ซึ่งส่งผลให้เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว”

เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินก็หรี่ตาลง ที่แท้ก็องค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย มิน่าล่ะถึงฟุ่มเฟือยแบบนี้ แคว้นเซี่ยทรงพลังและมีรากฐานหยั่งลึกในภูมิภาคทางตะวันออก

“แคว้นเซี่ยทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เทียบกับภูมิภาคทางเหนือที่มีความขัดแย้งไม่หยุด ภูมิภาคตะวันออกดูสงบกว่าเยอะ ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะมีแคว้นเซี่ยเป็นเจ้าเขตปกครองเอาไว้

จิ่วโยวพยักหน้ากำลังจะพูด แต่ความสนใจก็ถูกดึงดูดโดยเสียงในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง

“แม้ว่าเซี่ยหงจะใช้ได้ แต่เขาก็ยังจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับรัชทายาทเซี่ย”

“ฮ่าๆ แน่นอน ชื่อเสียงของรัชทายาทคนนี้กระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในฐานะอันดับสี่ของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซี่ยหง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนับถือและเคารพต่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ย

เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหัวใจของมู่เฉินและจิ่วโยวก็สั่นสะท้าน ท่าทางเคร่งเครียดลง รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยทรงพลังขนาดนั้นเชียว ถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบ ซึ่งแทบไม่ด้อยไปกว่าจาโหลหลัวเลย

แคว้นเซี่ยไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแท้จริง ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วน

ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับพลังของแคว้นเซี่ย ชายคนหนึ่งก็เดินออกจากรถม้าพร้อมกับหญิงงามขนาบทั้งสองข้าง

เมื่อเขาเดินออกมาก็ดึงดูดสายตาจ้องมองนับไม่ถ้วน เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง ความสูงศักดิ์ปลดปล่อยออกมาจากร่าง ใบหน้าค่อนข้างขาวและมีรอยยิ้มที่อยู่ข้างริมฝีปากซึ่งดูร้ายไม่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร

เขาคนนี้คือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย…เซี่ยหง

เซี่ยหงจ้องมองจากด้านบน กวาดสายตาอย่างไม่แยแสราวกับจักรพรรดิเดินทางเยี่ยมเยือนในดินแดนทุรกันดาร ก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวที่นั่งอยู่กับมู่เฉิน ด้วยสายตาอ่อนไหวต่อความงาม

วันนี้จิ่วโยวสวมชุดสีดำด้วยรูปร่างเพรียวบางและมีเสน่ห์จึงเน้นย้ำความประณีตหยดย้อย นางมีใบหน้าที่งดงามและนิสัยที่นิ่งสงบก็ทำให้ดูมีรัศมีเย็นชา นอกจากนี้หลังจากที่สายเลือดวิหคอมตะตื่นขึ้น รัศมีสูงส่งที่เปล่งออกมาจากสายเลือดก็ทำให้นางยิ่งพิเศษยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นเมื่อเซี่ยหงเห็นจิ่วโยวประกายแสงก็วูบวาบในดวงตาส่วนลึก

แต่ก่อนที่เขาจะมองได้นานอีกหน่อย จิ่วโยวที่รู้สึกถึง ใบหน้าสาดไอเย็นชาลง สายตาเยือกเย็นของนางกวาดออก ซึ่งทำให้สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไป ชัดว่ารู้สึกถูกคุกคาม

“น่าสนใจ…”

เซี่ยหงยิ้มสบายๆ ไม่คิดว่าหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนนี้จะมีพลังที่น่าทึ่งซึ่งไม่อ่อนแอกว่าตนเอง

สายตาเซี่ยหงกะพริบวูบไหวทว่าก็ไม่ได้พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า เขาพยักหน้ายิ้มให้จิ่วโยวจากระยะไกลช่างเป็นบุรุษเหลือเกิน โดยไม่สนใจมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างสักนิด

ทว่าตอบสนองต่อท่าทางนั่น จิ่วโยวยังคงแสดงความเย็นชา แสงเย็นเยือกกลั่นตัวในดวงตา เตรียมจะขยับเข้าซัดจอมอวดตัว

แต่ขณะที่นางกำลังจะออกตัวแรง มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาตบเบาๆ บนมือนางแล้วยิ้ม “ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของเจ้าจะไม่น้อย ดึงดูดคนได้เยอะเลย”

เมื่อได้ยินการหยอกล้อ จิ่วโยวก็อดกลอกตาไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงออกที่เย็นชานี่อ่อนโยนกว่าหลายเท่า ซึ่งเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่หายาก

เซี่ยหงก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉินและท่าทางของจิ่วโยว ทันใดนั้นดวงตาก็หรี่แคบลง ก่อนจ้องมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขามาก…

สัมผัสสายตาของเซี่ยหง มู่เฉินก็ยิ้มบางเงยหน้าขึ้นโดยไม่กลัวอีกฝ่าย

ในเมืองที่คึกคัก สายตาสองสายก็ฟาดฟันกันอย่างเยือกเย็นเงียบๆ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท