หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1070

ตอนที่ 1070

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1070 ปิดฉาก
ครืน!

มหาสมุทรสีแดงฉานปกคลุมมิติทั้งหมด พลังงานหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งไม่หยุดกลั่นตัวเป็นหมอก บางครั้งกลุ่มหมอกจะควบแน่นกันกลายเป็นเมฆที่มีสายฝนหลิงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ยกระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมหาสมุทรขึ้นลง

แม้ว่ามหาสมุทรนี้จะสร้างจากแก่นเลือดเทพอสูรระดับต้นนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลยสักนิด ความบริสุทธิ์ของพลังงานนั้นเกินทุกสถานที่ที่มู่เฉินเคยเจอมา

จากการคาดการณ์ของเขาแม้ว่าค่ายกลบรรจบจิตทรงพลังหลากหลายค่ายกลรวมตัวกัน ก็คงไม่สามารถปรับแต่งพลังงานหลิงจำนวนมหาศาลเช่นนี้…

พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนหลิง มู่เฉินนั่งอยู่บนพื้นมหาสมุทรปล่อยให้ฝนหลิงเย็นยะเยือกตกลงบนร่างกาย ขณะที่แสงสีทองไหลเวียนอยู่บนผิวกายดูดซับสายฝนหลิงอย่างตะกละตะกลาม นำพาคลื่นพลังเข้ามารวมในจุดจื้อจุนไห่หลังจากการปรับแต่ง ซึ่งทำให้คลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ครืน!

มหาสมุทรที่อยู่เบื้องหลังกระเพื่อมเป็นลอนคลื่น เทพอสูรขนาดใหญ่ดูราวกับวาฬทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะดำดิ่งลงทะลุผ่านร่างของมู่เฉินกลับไปที่มหาสมุทร

ร่างของมู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ปล่อยให้เงาเทพอสูรเหล่านี้ผ่านร่างกายไปตามสบาย ดวงตาปิดสนิท ไม่มีคลื่นรบกวนใดบนใบหน้า

โดยไม่รู้ตัวเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับมหาสมุทรนี้ แต่เขาก็ไม่เร่งรีบกลืนกินคลื่นหลิงที่นี่เพื่อพยายามบรรลุ

นั่นเป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้ใช้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรเพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นถ้าเขาต้องการบรรลุอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ บางทีอาจเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ แต่นั่นจะไปเขย่ารากฐานที่มั่นคงของเขาจนผิดเพี้ยนไปและส่งผลเสียต่อการฝึกในอนาคต

มู่เฉินไม่ได้เป็นคนโง่ที่ตาบอดเพื่อจะเสริมพลังตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงมีสติในการระงับความอยากที่จะบรรลุและเลือกที่จะฝึกฝนอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนและดูดซับคลื่นหลิงจากโลกภายนอก

เขาต้องการพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ

แม้ว่าพัฒนาการเช่นนี้จะช้าที่สุด แต่ก็ทนทานที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ในเมื่อกฎเวลาในมิตินี้แตกต่าง มู่เฉินก็ไม่ขาดแคลนเวลา

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบเร่งและเลือกใช้วิธีที่ช้าที่สุด

แม้แต่ราชันทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับการเลือกของเขาในใจ หากมีคนอื่นสามารถเข้ามาที่พื้นที่เพาะบ่มที่มีค่าเช่นนี้ พวกเขาอาจจะตาบอดจากชิ้นปลามันนี้และเลือกกลืนพลังงานให้มากที่สุด

แต่สุดท้ายวิธีนั้นก็เป็นได้แค่ดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำ ถือว่าเป็นเรื่องโง่ในระยะยาว

แม้ว่าประสิทธิภาพของวิธีมู่เฉินจะช้า แต่ก็รับประกันความมั่นคงในแต่ละก้าวของเขา ทำให้อนาคตต่อไปในเส้นทางของการเพาะบ่มเขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่า

ทว่าแม้มู่เฉินจะไม่ได้ยึดติดกับการฝึกฝนขุมพลังหลิงในเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็มีผลการเก็บเกี่ยวเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ได้รับการพัฒนาที่น่าทึ่งในเส้นทางการฝึกฝนอีกทางหนึ่ง

มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนมหาสมุทรก่อนที่จะลืมตาจากนั้นก็ยกมือ มหาสมุทรที่เบื้องหน้าเขากระเพื่อมไหวรุนแรง อึดใจต่อมาพื้นผิวมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน แสงสองดวงพวยพุ่งออกมา

แสงทั้งสองคลอเคลียรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับกำจายแสงสีทอง นี่คือจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง

แต่ในเวลานี้พวกมันได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภาพพร่ามัวควบแน่นมากขึ้นหลังจากกลืนกินเลือดเทพอสูรมากมายในเวลาหนึ่งเดือน แม้ว่าจะยังห่างไกลจากรูปลักษณ์เดิม แต่ก็ดูสมจริงกว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกลวงตาที่มีมาก่อนหน้า

ยิ่งกว่านั้นร่างสีทองของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นสีทองที่เข้มข้นกว่า ซึ่งดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าที่แท้จริงพัวพันอยู่รอบมู่เฉิน ความแปรปรวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากพวกมันตลอดเวลา

มู่เฉินมองจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนการเติบโตของมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นมากหลายขุม

ตอนนี้เนื่องจากคลื่นหลิงควบแน่นในร่างจิตวิญญาณของมังกรและหงส์ฟ้าเพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงสามารถออกจากร่างมู่เฉินและต่อสู้ในระยะหนึ่งได้

จากการประเมินของมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวกระบวนท่า จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยตัวเองได้

นั่นจะเทียบเท่ากับการมีผู้ช่วยที่ทรงพลังเคียงข้างเขา นอกจากนี้ผู้ช่วยทั้งสองก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างทรงพลัง มู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าเมื่อพวกมันเติบโตอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่มีจะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัว

ดังนั้นเมื่อมองจากแง่มุมหนึ่ง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงถึงเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคัมภีร์หลงเฟิ่ง

แน่นอนว่าขั้นตอนนั้นยังห่างไกล มู่เฉินก็ไม่เคยคิดจะบรรลุเป็นเซียนได้ในวันเดียว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเลี้ยงดูมังกรและหงส์ฟ้าอย่างดี เพื่อวันหนึ่งในอนาคตพวกมันจะกลายเป็นองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

สำหรับตอนนี้…

มู่เฉินจ้องมองจิตวิญญาณทั้งสองก็ยิ้มบาง ตอนนี้ก็พยายามดูแลการเติบโตของพวกมันให้ดีเถอะ…

เมื่อความคิดตกผลึก มู่เฉินก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอีกต่อไป เขามองไปที่เกาะเล็กที่ลอยอยู่บนมหาสมุทรโลหิต จิ่วโยวนั่งอยู่ที่นั่นโดยที่ทั่วร่างกำจายไปด้วยเปลวเพลิง

นั่นคือเพลิงอมตะ ในอดีตเพลิงอมตะของจิ่วโยวมีสีม่วงเข้ม แต่ในตอนนี้สีนั้นได้ค่อยๆ จางลงมีแนวโน้มไปสู่วิวัฒนาการของผลึกเพลิงอมตะ

มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ ในฐานะที่เป็นวิหคอมตะ นางรู้วิธีที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นคำแนะนำของนางสำหรับจิ่วโยวจึงมีค่าอย่างยิ่งทำให้ลดการเดินออกนอกเส้นทางไปมาก วิวัฒนาการก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

มู่เฉินมองเห็นอนาคตแล้วว่าเมื่อมีคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ หลังจากสิ้นสุดการฝึกยุทธ์ครั้งนี้ พลังของจิ่วโยวจะต้องพัฒนาไปไกลยิ่งอย่างแน่นอน

ถึงเวลานั้นนางอาจจะแซงหน้าเขาไปไกลอีกครั้งก็ได้ หลังจากที่เขากระดึบตามนางมาอย่างขมขื่น

“สามปีแล้วที่ข้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…”

ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพรูลมหายใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเด็กหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์จนขึ้นตำแหน่งหนึ่งในสิบผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าหลังจากที่กลับไปในครั้งนี้อาจจะมีตำแหน่งเพิ่มเติมในหมู่จอมพลก็เป็นได้

หลายปีในการฝึกฝน ทำให้ความไร้ประสบการณ์ของชายหนุ่มหายไปหมดสิ้น การทำงานหนักนี้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยมารดาและสัญญาที่เขาให้ไว้กับหญิงคนรัก

คำมั่นสัญญาที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ให้ได้

“ลั่วหลี…เจ้าสบายดีไหม?”

มู่เฉินมองสายหมอกที่พรั่งพรูบนท้องฟ้า ภาพเรือนผมยาวสลวยสีเงินยวงและใบหน้างดงามที่มีม่านตาคล้ายกับผลึกแก้วปรากฏขึ้น กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในหัวใจเขา

มู่เฉินเม้มปากใบหน้าฉายความแน่วแน่ แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็รู้ว่าลั่วหลีซึ่งกลับไปที่ตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ภายใต้ท่าทางละมุนละไมนั้นนางดื้อดึงกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า

นางต้องแบกภาระทั้งหมดของตระกูลลั่วเสินที่นับวันก็เสื่อมถอย ซึ่งที่นั่นยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ บางทีในเวลานี้นางก็กำลังใช้ไหล่บอบบางรับภาระเอาไว้

“ลั่วหลี…รอข้าเถอะ…รอวันที่ข้าไปหาเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า…”

มู่เฉินกำมือแน่นและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาระงับความคิดฟุ้งซ่านในหัวใจค่อยๆ หลับตาลง พลังงานหลิงรอบตัวก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน กลืนกินคลื่นพลังงานที่ไม่มีขอบเขตในบริเวณนี้เข้าไปไม่สิ้นสุด

ในช่วงเวลาต่อไป เขาจะอยู่ในสมาธิลึก

เวลาเงียบงันผ่านไปรวดเร็ว

ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวเริ่มฝึกฝนอยู่ในสมาธิลึก

การท่องยุทธในดินแดนเสินโซ่ได้สิ้นสุดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนตั้งแต่ทั้งสองเข้าไปในมหาสมุทรเทพสร้าง กลุ่มต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเมื่อได้รับโอกาสยิ่งใหญ่กลับไปยังเผ่าของตัวเอง

ทว่าเมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดลง ทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ในสุสานสักการะเทพ ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปในเวลาเดียวกัน

เมื่อจงเถิงพบกับจงชิงเฟิง ก่อนที่เขาจะได้สอบถามเกี่ยวกับมู่เฉิน จงชิงเฟิงก็ใช้น้ำเสียงลึกซึ้งเตือนสติไม่ให้เขายั่วยุมู่เฉินต่อไปในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับการกระทำของตัวเองที่จะเกิดขึ้น

คำพูดของจงชิงเฟิงทำให้จงเถิงเหงื่อเย็นแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อที่รู้ว่ามู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไปได้ เขาถึงกับพูดไม่ออก สุดท้ายก็บ่ายหน้าออกจากดินแดนเสินโซ่ด้วยสภาพคอตก เขาไม่กล้าคิดบัญชีกับมู่เฉินอีกต่อไป คนประเภทนี้ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาในอนาคตแน่นอน หากเขายังสร้างเรื่องขุ่นเคืองให้กับคนเช่นนี้ เขาก็จะสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับ

กลุ่มที่เคยปะทะกับมู่เฉินก็ต่างรู้สึกหวาดกลัว รีบถอยกลับไปที่เผ่าอย่างเงียบๆ

ภายใต้สถานการณ์นี้มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็ออกจากดินแดนเสินโซ่มุ่งหน้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ ทันทีที่กลับมาถึงพวกเขาก็ถูกเรียกเข้าพบโดยท่านประมุขและสภาผู้อาวุโสเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้…

**สำนวนดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำแปลว่าได้แค่ประโยชน์ตรงหน้า อนาคตจบ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท