หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1075

ตอนที่ 1075

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1075 หวนกลับ
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเป็นสาย ก่อร่างเป็นสายเมฆยาวแต้มไล่สี มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เนื่องจากเพิ่งบรรลุขุมพลังทำให้มีปัญหาในการควบคุมคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย เวลานี้เสื้อผ้าถึงกับสั่นกระพือ เสียงพายุดังกึกก้อง เกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโดยรอบจนถึงจุดที่ระเบิดเสียงครางกระหึ่มออกมาเลยทีเดียว

ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้นช้าๆ แสงหลิงมืดดำส่องประกายในนัยน์ตา รอยปริแตกเลือดบนผิวหนังก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะนี้

“ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”

มู่เฉินก้มหน้าลงมองมือตัวเองแล้วก็อึ้งไป รู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย ยามนี้กระทั่งคนแบบเขายังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ตอนที่เขาจากสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ได้ฝึกกระทั่งร่างเทห์สวรรค์ ตอนที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เขาก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าเวลาผ่านมาหลายปีในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับขั้นสูงสุดของระดับจื้อจุนเสียที

ตราบใดที่เขาสามารถปลดตรวนระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ เขาก็จะผงาดขึ้นเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอด!

ระดับตี้จื้อจุน!

เมื่อใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนั้น เขาก็จะมีคุณสมบัติอันน่ายกย่องในมหาพันภพ ถึงเวลานั้นเขาจะถูกจัดอันดับให้อยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่

ในเวลานั้นเขาก็จะมีความสามารถและความมั่นใจในการเดินทางไปยังตระกูลลั่วเสิน

หนทางที่เคยเหมือนยาวไกล กลับลอยมาอยู่เหนืออุ้งมือของเขาแล้วในวันนี้ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจ การฝึกฝนที่ขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่า

มู่เฉินยิ้มบางขณะที่ดำดิ่งสำรวจร่างกายก่อนที่จะสังเกตเห็นจุดจื้อจุนไห่ ขนาดของจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า คลื่นหลิงก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เคยเป็นมานับไม่ถ้วน

มิหนำซ้ำคลื่นหลิงก็ถูกขัดเกลาอย่างมาก หากมองลงไปอย่างละเอียดก็จะพบว่ามีเปลวเพลิงโปร่งใสลอยฟุ้งอยู่ในสายคลื่นพลัง อัดแน่นด้วยพลังที่มีชีวิตชีวา

“นี่คือเพลิงอมตะที่ข้าเคยดูดซับมาก่อน…”

เมื่อมองภาพนี้ มู่เฉินก็ดีใจในหัวใจ ดูเหมือนว่าการฝึกฝนตลอดสองปีที่ผ่านมาทำให้เพลิงอมตะที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ผสานเข้ากับคลื่นหลิงของเขาแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมนัก

เพลิงอมตะเหล่านั้นอาจดูไม่น่าทึ่ง แต่มู่เฉินทราบดีว่าหลังจากที่เพลิงอมตะหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขาสมบูรณ์ พวกมันจะมอบพลังชีวิตให้คลื่นของเขาไม่หยุด ดังนั้นแม้ความจริงมู่เฉินจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงก็ไม่สามารถได้เปรียบในมือเขา

มู่เฉินยิ้มพุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่แล้วมองไปที่ท่อนแขน เห็นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาด แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเกี่ยวกับสี สีเหลืองทองที่ส่องประกายกลายเป็นสีทองเข้มอย่างสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังมีจุดแสงสีม่วงอยู่เล็กน้อย

เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน มังกรและหงส์ฟ้าจึงเบิกตา เวลานี่เองพลังกดดันของเทพอสูรแท้จริงก็ล้อมรอบไปทั่ว ทำให้ระดับคลื่นโดยรอบชั้นทะเลพลังลดลง

รับรู้ถึงแรงกดทรงพลัง ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังถูกยับยั้งจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โจมตีกลับไม่ได้เลย

ชัดว่าช่วงสองปีในการฝึกฝน มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มหาศาล ซึ่งทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์

ตอนนี้ถ้ามู่เฉินปะทะกับไป๋หมิงอีกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ต้องลงมือเอง แค่การรั่วไหลของแรงกดดันของเทพอสูรแท้จริง ชายคนนั้นก็หมอบราบคาบแก้วลงกับพื้นแล้ว

“ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ยิ่งใหญ่แท้จริง”

มู่เฉินออกจากห้วงจิต สัมผัสถึงพัฒนาการ ความพึงพอใจก็ผุดขึ้นในดวงตา ตามกฎเวลาของที่นี่เขาน่าจะฝึกฝนเป็นเวลาสองปี แต่ภายนอกก็ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น

ในเวลาเพียงครึ่งปี พัฒนาการเช่นนี้ของเขาเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึง

เขายิ้มบาง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เงาร่างไปปรากฏบนเกาะอย่างน่าพิศวง

“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการของเจ้า”

เมื่อร่างของเขาเพิ่งปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะร่าของจิ่วโยวก็สะท้อนเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเพรียวบางฉายในดวงตาของเขา อาการตกตะลึงวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา

“เจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเรอะ?” มู่เฉินถามด้วยความตื่นตะลึง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการคุกคามแผ่วเบาที่เกิดจากจิ่วโยว ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกิดจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แท้จริง

“ต้องขอบคุณแก่นมรดกโลหิตของผู้อาวุโส” จิ่วโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้มาก ซึ่งจะทำให้นางสามารถช่วยมู่เฉินได้ ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงให้เขาต้องคอยพยุงต่อไป

มู่เฉินเบ้ปาก เขาฝึกฝนอย่างขมขื่นสองปี ถึงได้ก้าวไปถึงระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ปรากฏว่าโชคของจิ่วโยวกลับแซงหน้าไปอีก นางทะยานตรงไปยังขั้นเก้าได้เลย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

“หลักการของการฝึกฝนระหว่างเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน แต่ละคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง” ราชินีวิหคอมตะแย้มยิ้มบางจากด้านข้าง

มู่เฉินพยักหน้ามองดูร่างสะคราญโฉมที่เกือบจะโปร่งใส ดวงตาก็มืดมัวลง เขารู้ว่าอีกไม่ช้าราชินีวิหคอมตะจะหายตัวไปจากโลกชั่วนิรันดร์

ผู้อาวุโสท่านนี้ให้โอกาสเขาเข้าสู่มิตินี้ มิฉะนั้นถ้าเขาต้องการจะไปให้ถึงขุมพลังในปัจจุบัน เขาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกเป็นปี นอกจากนี้รากฐานก็จะไม่มั่นคงเท่านี้

เมื่อราชินีวิหคอมตะมองเห็นสายตาของเขาก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าตายไปนานแล้ว ที่เหลือร่างดวงจิตไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาปนเปื้อนในดินแดนเสินโซ่เท่านั้น ตอนนี้ได้พบผู้สืบทอดด้วย ทุกอย่างเป็นที่พอใจแล้ว”

“ในอนาคตถ้าข้ามีความแข็งแกร่งในการสืบทอดสถานที่นี้ ข้าจะปกป้องมหาพันภพสุดกำลัง” มู่เฉินประสานมือโค้งคำนับด้วยคำสัตย์สาบาน

ราชินีวิหคอมตะรู้สึกพึงใจพลางพยักหน้าให้ ก่อนที่ร่างจะโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจางหายไป นางชี้นิ้ว มิติเบื้องหน้าก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสคลื่นวน

“ประตูเคลื่อนย้ายมิตินี้จะนำพวกเจ้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ เมื่อข้าจากไป เจ้าสองคนก็กลับไปเถอะ”

ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้แก่ราชินีวิหคอมตะอีกครั้ง

ราชินีวิหคอมตะกวาดมองดินแดนแห่งนี้โดยไม่มีความอาลัยหลงเหลือ จากนั้นนางก็ค่อยๆ หลับตา ร่างกายโปร่งใสยิ่งขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วจางหายไป

ตู้ม! ตู้ม!

มหาสมุทรขนาดใหญ่กลิ้งตัว ส่งเสียงร้องครวญครางดังก้องราวกับว่ากำลังเอ่ยร่ำลาผู้เป็นใหญ่ที่สุดซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองดินแดนเสินโซ่

มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปยังจุดที่ราชินีวิหคอมตะหายไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองไม่มีความลังเลก้าวเข้าไปในประตูมิติ

ระลอกแปรปรวนจากกระแสคลื่นมิติกลืนกินพวกเขา สุดท้ายความผันผวนระเบิดออก จากนั้นกระแสคลื่นก็ค่อยๆ หายไป

พร้อมกับการจากไปของพวกเขา มิติที่เต็มไปด้วยมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เงียบสงบอีกครั้ง รอเวลาที่จะเผยโฉมใหม่ในอนาคต บางทีเมื่อถึงเวลานั้นมู่เฉินก็ได้กลายเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว

ความผันผวนของมิติโกลาหลไปหมด รบกวนประสาทสัมผัสของมู่เฉินและจิ่วโยว แต่การขนส่งข้ามมิตินี้ก็ไม่ได้อยู่นาน ลำแสงกระจายที่เบื้องหน้า ทั้งสองก้าวออกมาทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ทิวทัศน์คุ้นตาฉายในดวงตาของทั้งคู่ ร่างแสงนับไม่ถ้วยทะยานมาจากระยะไกล ชัดว่ารู้สึกถึงความผันผวนมิติของที่นี่

มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปที่ทิวทัศน์คุ้นเคยในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับชีวิตใหม่ การฝึกฝนเป็นเวลาสองปีในมิตินั้นช่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงามาก

ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวกำลังอึ้งไป ร่างแสงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นจิ่วโยว ความหวาดระแวงในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

“พาเราไปพบท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโส” จิ่วโยวยกมือพูดขึ้นเบาๆ

ร่างแสงเหล่านี้ก็คือผู้คุมกฎของเผ่าวิหหคโลกันตร์ที่ทรงพลัง สถานะของพวกเขายิ่งใหญ่มาก ในอดีตพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิ่วโยว แต่วันนี้เมื่อพวกเขาพบจิ่วโยวอีกครั้ง พวกเขาก็อึ้งไปกับความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากนาง แต่ละคนได้แต่ตื่นตะลึงในใจ เนื่องจากพวกเขาเคยสัมผัสแรงกดดันแบบนี้จากผู้อาวุโสของเผ่าเท่านั้น

ในเวลาเพียงครึ่งปีความแข็งแกร่งของจิ่วโยวทำไมถึงเติบโตได้มากเช่นนี้?

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความสงสัยอัดแน่นใจหัวใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาหันหลังกลับนำทางทันที

สภาผู้อาวุโส

เมื่อเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าเห็นจิ่วโยวและมู่เฉินมาถึง แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา

“จิ่วโยว เจ้าสองคน…” เทียนฮวงอดที่จะถามไม่ได้ ในเวลาเพียงครึ่งปีจิ่วโยวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดก็บรรลุขั้นเก้า?

แม้แต่มู่เฉินก็ยังก้าวเข้าระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจากขั้นหก

การพัฒนาครั้งใหญ่นี้ ทำให้แม้แต่เทียนฮวงที่มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกตกใจ

จิ่วโยวยิ้มบาง “ข้าได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นพลังถึงได้พัฒนาไปมาก”

นางไม่ได้พูดถึงมหาสมุทรเทพสร้างเพราะเป็นสิ่งล่อใจยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังต้องตาแดงก่ำ ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนไขในมือมู่เฉินเพียงข้อเดียว ถ้าถูกเปิดเผยจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างแน่นอน

“ราชินีวิหคอมตะจริงสินะ…”

เทียนฮวงและคนอื่นก็เข้าใจได้ในทันที พวกเขาได้แต่ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด แต่ในเมื่อจิ่วโยวไม่ต้องการเปิดเผย พวกเขาก็ไม่สามารถถามอะไรได้มาก ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์

เทียนฮวงและผู้อาวุโสแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองมู่เฉิน สายตาดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น ครั้งนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ช่วยให้จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตเท่านั้น เขายังช่วยให้นางเพิ่มพูนพละกำลัง ซึ่งนับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง

“มู่เฉินตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่พูดถึงพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยว ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าสองคนจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น” เทียนฮวงกล่าวอย่างช้าๆ

“ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส” มู่เฉินประสานมือ หัวใจคลายการบีบรัดลง ในที่สุดเขาก็แก้ไขปัญหานี้ได้เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเผ่าวิหคโลกันตร์น่าอึดอัดใจ โดยที่จิ่วโยวจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง

“นอกจากนี้…”

เทียนฮวงหยุดพูดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “จากการประชุม ทางเผ่าได้ตัดสินใจจะแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไป การจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สุดในเผ่า ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินในอดีต กระทั่งตอนนี้เขาก็อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ชัดว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ นอกจากนี้ที่สำคัญเขาไม่ใช่สมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์

ตำแหน่งของผู้อาวุโสในเผ่านั้นสำคัญมาก หากจัดการได้ดี เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเป็นพื้นหลังให้เขาในอนาคต

นี่คือขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก!

นอกจากนี้มู่เฉินก็ต้องการพลังดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงลังเลชั่วครู่เมื่อได้ยินข้อเสนอจากเทียนฮวง จากนั้นก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”

เมื่อได้ยินการตอบสนองของมู่เฉิน เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจ สายตาของพวกเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน

“อีกเรื่องเมื่อไม่นานประมุขมั่นถัวหลัวแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ฝากข้อความมาถึงเจ้า” เทียนฮวงยกมือขึ้น แผ่นหยกก็บินไปหามู่เฉิน

มู่เฉินรับมาแล้วบีบแผ่นหยกให้แตก ก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง

มีเพียงประโยคเดียวที่อยู่ในแผ่นหยกนี้ แต่ก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเพื่อมเป็นลอนคลื่นเลยทีเดียว

“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏแล้ว กลับมาให้เร็วที่สุด!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท