หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1097

ตอนที่ 1097

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1097 ยืมหัว
ป้ายทองคำโบราณลอยเงียบที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

โดยไม่มีอะไรสะท้อนออกมาราวกับว่าเป็นหลุมดำที่ดูลึกลับ

มู่เฉินจ้องเขม็งที่ป้ายทองคำพลางเหยียดแขนออกไปปล่อยให้ป้ายตกลงบนฝ่ามือ นิ้วมือลูบไล้ไปตามพื้นผิว แม้คำว่า ‘สอง’ ที่เขียนไว้บนนั้นจะเลือนราง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะคลื่นหลิงไหลเวียนพยายามเทลงไปในป้ายโบราณ แต่ก็ไม่มีผลสะท้อนใดๆ ป้ายโบราณยังคงเงียบสงบดูราวกับว่าเป็นแค่วัตถุธรรมดา

“มาดูกันว่าข้าจะชำระได้ไหม…”

เมื่อเห็นว่าการตรวจสอบไม่ได้ผล มู่เฉินก็หยดเลือดสองสามหยดลงไปหลังจากลังเลชั่วครู่ ทำให้คลื่นหลิงกลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มพยายามชำระให้จงได้

แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากป้าย มีเพียงหยดเลือดกลิ้งไปมาบนพื้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้

ดูเหมือนจะมีการปกป้องที่ทรงพลังที่ไม่สามารถตรวจจับได้ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามา

หลังจากใช้เพลิงอมตะแผดเผาอยู่นานแล้วไม่ได้ผล มู่เฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ป้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแงะความลับออกมา แต่มู่เฉินก็ไม่ได้รู้สึกปวดใจมากกับราคาที่จ่ายไปมากมายมหาศาล เนื่องจากยิ่งแงะความลับยากก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความลึกซึ้งและนัยสำคัญ

เมื่อไรที่เขาสามารถวิเคราะห์ความลึกลับออกมาได้ละก็ มูลค่าก็คุ้มยิ่งกว่าราคาที่จ่ายไปแน่นอน

เมื่อเพลิงอมตะจางหายไป ป้ายทองคำก็ตกลงบนมืออีกครั้ง มู่เฉินกำมือจับเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งที่ละเอียดอ่อน แต่การรับรู้นั้นอ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถติดตามไปยังแหล่งที่มาได้

แต่ด้วยเหตุนี้มู่เฉินก็มั่นใจว่าวัตถุชิ้นนี้จะต้องเป็นของจอมพลสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นเพราะมีแรงกดดันโบราณทรงพลังเล็ดลอดออกมา ซึ่งแม้จะเป็นเศษเสี้ยวที่หลงเหลือไว้จากหลายหมื่นปี ก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ

คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้จะต้องอยู่ในระดับจอมพลผู้นำหอเท่านั้น

“ดูเหมือนข้าต้องค่อยๆ วิเคราะห์ไป…” มู่เฉินตัดสินใจหยุดลงก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน บางทีนี่อาจใช้ได้หลังจากเข้าสู่ซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาล เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ทำให้เขาผิดหวัง

“ตอนนี้มุ่งเน้นที่การฝึกค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนเถอะ”

มู่เฉินเก็บป้ายทองคำไปแล้วนำม้วนภาพค่ายกลออกมาโดยหวังว่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ตนเองสร้างค่ายกลสุดยอดนี้ได้สำเร็จ

ในเวลาหนึ่งวันต่อมา

มู่เฉินก็ยังอยู่ในสวนโดยมุ่งไปที่การฝึกฝนฝนค่ายกล เขาไม่ได้พาพรรคพวกแอบรีบออกจากเมืองซี เนื่องจากรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบสายตาจากการเฝ้ามองจำนวนมากไป นอกจากนี้คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้น

นอกจากผู้เฒ่าไป๋และหลินจิ้งก็ไม่มีคนอื่นออกไป ผู้เฒ่าไป๋ได้รับคำสั่งจากมู่เฉินจัดหากระดูกมังกรทั่วเมือง ส่วนหลินจิ้งไม่ชอบอยู่เฉย นางเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าตนเองเป็นหีบทองคำเคลื่อนที่ได้ในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นนางยังคงเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ แต่น่าประหลาดใจแม้ว่าจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากแอบซุ่มมองนาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวชัดเจนว่าพวกเขาระแวงภูมิหลังลึกลับของนาง

ความสงบสุขดำเนินไปจนถึงวันที่สอง

เมื่อพลบค่ำวันที่สอง มู่เฉินนั่งอยู่ในเก๋งจีนนั่งประจันหน้าประลองหมากรุกกับจิ่วโยว

“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจของทั่วเมืองแล้ว” จิ่วโยวกวาดสายตาออกไปนอกสวน แม้สองวันที่ผ่านมาจะเงียบสงบ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่และสายตาจับจ้องเหยื่อที่เพิ่มขึ้น

มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะชะลอก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ข้าจะได้มีเวลาศึกษาค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รอกำลังสบันสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงด้วย!”

จิ่วโยวพยักหน้าตอบรับ

“ลูกน้องของเจ้าคนนั้นเหมือนจะยังไม่กลับมานะ” หลินจิ้งนั่งเล่นกับกระต่ายน้อยที่มาจากไหนไม่รู้ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

จิ่วโยวอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปนางเพิ่งนึกได้ว่าปกติเวลานี้ผู้เฒ่าไป๋ควรจะกลับมานานแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนชักช้า

นางมองไปที่มู่เฉินก็เห็นสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับแววอันตรายวูบวาบไปมา

“ดูเหมือนจะมีคนไม่สามารถระงับใจได้อีกต่อไป” เขาพึมพำกับตัวเองว่า

จังหวะนั้นเสียงหัวเราะที่ห่อหุ่มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็เจาะผ่านมิติดังขึ้นกะทันหัน สะท้อนไปทั่วเมือง และดังเข้าในสวนที่ถูกปิดกั้นด้วยค่ายกล

“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลูกน้องเจ้ามาเป็นแขกขององค์ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าเรามาพบปะสังสรรค์กันหน่อยได้ไหม?” เสียงอวดตัวนี้ชัดว่าเป็นเสียงของเซี่ยหงแห่งแคว้นเซี่ยนั่นเอง

เสียงเขาไม่ได้ทำการปิดบังอะไร คนทั้งเมืองจึงได้ยินชัดเจน ทันใดนั้นหัวใจผู้คนก็สั่นสะท้าน ในที่สุดเซี่ยหงก็หมดความอดทนและคิดจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วรึ?

“ไอ้บ้านั่นน่ารังเกียจจริงๆ!” ใบหน้าจิ่วโยวบูดบึ้ง

“ระวังตัวมากจริง” มู่เฉินพูดเสียงเบา ตอนแรกเขาคิดว่าเซี่ยหงจะมาพบกันตรงๆ ที่นี่ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้กลอุบายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะกังวลว่าเขาจะวางค่ายกลไว้รอบๆ เพื่อชิงความได้เปรียบสินะ

“นายท่าน…เราควรทำอย่างไร?” ถานชิวมองไปที่มู่เฉินรอความคิดเห็นของเขา

มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งตั้งตรงราวกับหอก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นกำเนิดเสียงพร้อมกับรอยยิ้มคลี่ออก “ไก่ที่ข้ารอมาสองวันในที่สุดก็มา ถ้าไม่ได้ไก่ตัวนี้เราจะทำให้คนอื่นกลัวได้ยังไง?”

“ให้ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เริ่มต้นจากเจ้านี่ที่จะเป็นหินรองเท้าเถอะ…”

เมื่อพูดจบร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งไปที่ท้องฟ้า จิ่วโยว และคนอื่นๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิดพร้อมกับรังสีสังหารเดือดพล่าน

“ว้าว น่าสนใจ! มาดูกันว่าขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสู้กับขั้นเก้าได้ยังไง!” หลินจิ้งยิ้มกริ่มกับภาพตรงหน้า แววความคาดหวังเปล่งประกายในดวงตา ก่อนจะกลายเป็นร่างแสงติดตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อกลุ่มมู่เฉินออกไปจากสวน

ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นจากเมืองซีเช่นกัน ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเซี่ยหง

ใครๆ ก็มองออกว่าคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่มาสองวันกำลังปะทุขึ้นในวันนี้

เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถรักษาป้ายลึกลับไว้ได้หลังจากวันนี้หรือไม่?

ในสถานที่อีกสามแห่งในเมือง ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงก็มอง ร่างแสงนับที่ทะยานที่แสดงถึงกลุ่มมู่เฉิน แสงเปล่งประกายในดวงตาพวกเขา

“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้าบิ่นแท้จริง กล้าไปหาเซี่ยหงด้วยตัวเอง ถึงแม้เซี่ยหงจะน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ศึกวันนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว”

ทั้งสามยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อทะยานขึ้นไปในท้องฟ้าพร้อมกับร่างแสงติดตามมา ร่างแสงเหล่านี้ล้วนทรงพลังอัน ไม่มีใครอ่อนแอเลย

ทั่วทั้งเมืองซีระเบิดขึ้นแล้วในตอนนี้

ที่ใจกลางเมืองซี

มีลานประลองขนาดใหญ่บนลานกว้าง เซี่ยหงนั่งอยู่บนบัลลังก์โดยมีสาวงามสองคนคอยรับใช้ที่ด้านข้าง

ส่วนด้านหลังมีคนสิบกว่าคนพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนกำจายไปรอบตัว ทำให้ชั้นบรรยากาศสะเทือนเบาๆ

ที่สะดุดตาที่สุดเป็นร่างชายสูงวัยสวมชุดสีเทา ทั่วร่างเอิบอาบด้วยไอเย็นชาย้อมคลื่นหลิงจนหนาวเหน็บสุดขั้ว

บนเสามีร่างเงาถูกโซ่โยงไว้ นี่ก็คือผู้เฒ่าไป๋ ลวดลายคลื่นหลิงที่ปรากฏรอบตัว ประทับลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเขาเอาไว้จนหมด

“หวังกง เจ้าคิดว่าไอ้นั่นจะมาไหม?” เซี่ยหงคลึงจอกสุราเล่นไปมา

ที่ด้านหลังชายสูงวัยชุดเทาก็ยิ้มน่าขนลุก “ไม่ว่าจะมาหรือไม่ ตอนจบถูกตัดสินไปแล้ว ป้ายนั่นไม่ใช่สิ่งที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถเก็บไว้ได้”

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เซี่ยหงก็คลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะยกจอกดื่มรวดเดียว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่คึกคักขึ้น ตอนนี้มีคนมากมายมาที่นี่รอคอยการแสดงที่กำลังจะเปิดโรง

“พวกเขามาที่นี่จริง… กล้าหาญกันมาก” เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นพลางยกมือ

สิ้นเสียงเขา ท้องฟ้าในลานประลองก็สั่นไหว ร่างแสงหลายร่างปรากฏขึ้น โดยมีมู่เฉินเป็นผู้นำ

มู่เฉินมองไปที่เซี่ยหงก่อนจะสะบัดนิ้ว แสงหลิงพุ่งออกไปหาผู้เฒ่าไป๋ตัดโซ่ช่วยให้เป็นอิสระคว้าตัวเขากลับมา

เมื่อเห็นอย่างนี้เซี่ยหงก็ไม่ได้ขัดขวาง เขาพูดด้วยดวงตายิ้มหยีไปทางมู่เฉินที่ช่วยผู้เฒ่าไป๋ไปได้ “ทิ้งป้ายโบราณและสาวงามทั้งสองไว้ที่นี่ซะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะออกจากเมืองซีไปอย่างปลอดภัย”

พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ พลางมองเซี่ยหง

“ขอยืมหัวไก่แกหน่อยได้ไหม?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท