หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1097 ยืมหัว
ป้ายทองคำโบราณลอยเงียบที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
โดยไม่มีอะไรสะท้อนออกมาราวกับว่าเป็นหลุมดำที่ดูลึกลับ
มู่เฉินจ้องเขม็งที่ป้ายทองคำพลางเหยียดแขนออกไปปล่อยให้ป้ายตกลงบนฝ่ามือ นิ้วมือลูบไล้ไปตามพื้นผิว แม้คำว่า ‘สอง’ ที่เขียนไว้บนนั้นจะเลือนราง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะคลื่นหลิงไหลเวียนพยายามเทลงไปในป้ายโบราณ แต่ก็ไม่มีผลสะท้อนใดๆ ป้ายโบราณยังคงเงียบสงบดูราวกับว่าเป็นแค่วัตถุธรรมดา
“มาดูกันว่าข้าจะชำระได้ไหม…”
เมื่อเห็นว่าการตรวจสอบไม่ได้ผล มู่เฉินก็หยดเลือดสองสามหยดลงไปหลังจากลังเลชั่วครู่ ทำให้คลื่นหลิงกลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มพยายามชำระให้จงได้
แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากป้าย มีเพียงหยดเลือดกลิ้งไปมาบนพื้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้
ดูเหมือนจะมีการปกป้องที่ทรงพลังที่ไม่สามารถตรวจจับได้ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามา
หลังจากใช้เพลิงอมตะแผดเผาอยู่นานแล้วไม่ได้ผล มู่เฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ป้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแงะความลับออกมา แต่มู่เฉินก็ไม่ได้รู้สึกปวดใจมากกับราคาที่จ่ายไปมากมายมหาศาล เนื่องจากยิ่งแงะความลับยากก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความลึกซึ้งและนัยสำคัญ
เมื่อไรที่เขาสามารถวิเคราะห์ความลึกลับออกมาได้ละก็ มูลค่าก็คุ้มยิ่งกว่าราคาที่จ่ายไปแน่นอน
เมื่อเพลิงอมตะจางหายไป ป้ายทองคำก็ตกลงบนมืออีกครั้ง มู่เฉินกำมือจับเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งที่ละเอียดอ่อน แต่การรับรู้นั้นอ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถติดตามไปยังแหล่งที่มาได้
แต่ด้วยเหตุนี้มู่เฉินก็มั่นใจว่าวัตถุชิ้นนี้จะต้องเป็นของจอมพลสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นเพราะมีแรงกดดันโบราณทรงพลังเล็ดลอดออกมา ซึ่งแม้จะเป็นเศษเสี้ยวที่หลงเหลือไว้จากหลายหมื่นปี ก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ
คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้จะต้องอยู่ในระดับจอมพลผู้นำหอเท่านั้น
“ดูเหมือนข้าต้องค่อยๆ วิเคราะห์ไป…” มู่เฉินตัดสินใจหยุดลงก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน บางทีนี่อาจใช้ได้หลังจากเข้าสู่ซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาล เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ตอนนี้มุ่งเน้นที่การฝึกค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนเถอะ”
มู่เฉินเก็บป้ายทองคำไปแล้วนำม้วนภาพค่ายกลออกมาโดยหวังว่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ตนเองสร้างค่ายกลสุดยอดนี้ได้สำเร็จ
ในเวลาหนึ่งวันต่อมา
มู่เฉินก็ยังอยู่ในสวนโดยมุ่งไปที่การฝึกฝนฝนค่ายกล เขาไม่ได้พาพรรคพวกแอบรีบออกจากเมืองซี เนื่องจากรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบสายตาจากการเฝ้ามองจำนวนมากไป นอกจากนี้คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้น
นอกจากผู้เฒ่าไป๋และหลินจิ้งก็ไม่มีคนอื่นออกไป ผู้เฒ่าไป๋ได้รับคำสั่งจากมู่เฉินจัดหากระดูกมังกรทั่วเมือง ส่วนหลินจิ้งไม่ชอบอยู่เฉย นางเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าตนเองเป็นหีบทองคำเคลื่อนที่ได้ในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นนางยังคงเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ แต่น่าประหลาดใจแม้ว่าจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากแอบซุ่มมองนาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวชัดเจนว่าพวกเขาระแวงภูมิหลังลึกลับของนาง
ความสงบสุขดำเนินไปจนถึงวันที่สอง
เมื่อพลบค่ำวันที่สอง มู่เฉินนั่งอยู่ในเก๋งจีนนั่งประจันหน้าประลองหมากรุกกับจิ่วโยว
“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจของทั่วเมืองแล้ว” จิ่วโยวกวาดสายตาออกไปนอกสวน แม้สองวันที่ผ่านมาจะเงียบสงบ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่และสายตาจับจ้องเหยื่อที่เพิ่มขึ้น
มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะชะลอก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ข้าจะได้มีเวลาศึกษาค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รอกำลังสบันสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงด้วย!”
จิ่วโยวพยักหน้าตอบรับ
“ลูกน้องของเจ้าคนนั้นเหมือนจะยังไม่กลับมานะ” หลินจิ้งนั่งเล่นกับกระต่ายน้อยที่มาจากไหนไม่รู้ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
จิ่วโยวอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปนางเพิ่งนึกได้ว่าปกติเวลานี้ผู้เฒ่าไป๋ควรจะกลับมานานแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนชักช้า
นางมองไปที่มู่เฉินก็เห็นสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับแววอันตรายวูบวาบไปมา
“ดูเหมือนจะมีคนไม่สามารถระงับใจได้อีกต่อไป” เขาพึมพำกับตัวเองว่า
จังหวะนั้นเสียงหัวเราะที่ห่อหุ่มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็เจาะผ่านมิติดังขึ้นกะทันหัน สะท้อนไปทั่วเมือง และดังเข้าในสวนที่ถูกปิดกั้นด้วยค่ายกล
“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลูกน้องเจ้ามาเป็นแขกขององค์ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าเรามาพบปะสังสรรค์กันหน่อยได้ไหม?” เสียงอวดตัวนี้ชัดว่าเป็นเสียงของเซี่ยหงแห่งแคว้นเซี่ยนั่นเอง
เสียงเขาไม่ได้ทำการปิดบังอะไร คนทั้งเมืองจึงได้ยินชัดเจน ทันใดนั้นหัวใจผู้คนก็สั่นสะท้าน ในที่สุดเซี่ยหงก็หมดความอดทนและคิดจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วรึ?
“ไอ้บ้านั่นน่ารังเกียจจริงๆ!” ใบหน้าจิ่วโยวบูดบึ้ง
“ระวังตัวมากจริง” มู่เฉินพูดเสียงเบา ตอนแรกเขาคิดว่าเซี่ยหงจะมาพบกันตรงๆ ที่นี่ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้กลอุบายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะกังวลว่าเขาจะวางค่ายกลไว้รอบๆ เพื่อชิงความได้เปรียบสินะ
“นายท่าน…เราควรทำอย่างไร?” ถานชิวมองไปที่มู่เฉินรอความคิดเห็นของเขา
มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งตั้งตรงราวกับหอก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นกำเนิดเสียงพร้อมกับรอยยิ้มคลี่ออก “ไก่ที่ข้ารอมาสองวันในที่สุดก็มา ถ้าไม่ได้ไก่ตัวนี้เราจะทำให้คนอื่นกลัวได้ยังไง?”
“ให้ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เริ่มต้นจากเจ้านี่ที่จะเป็นหินรองเท้าเถอะ…”
เมื่อพูดจบร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งไปที่ท้องฟ้า จิ่วโยว และคนอื่นๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิดพร้อมกับรังสีสังหารเดือดพล่าน
“ว้าว น่าสนใจ! มาดูกันว่าขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสู้กับขั้นเก้าได้ยังไง!” หลินจิ้งยิ้มกริ่มกับภาพตรงหน้า แววความคาดหวังเปล่งประกายในดวงตา ก่อนจะกลายเป็นร่างแสงติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลุ่มมู่เฉินออกไปจากสวน
ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นจากเมืองซีเช่นกัน ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเซี่ยหง
ใครๆ ก็มองออกว่าคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่มาสองวันกำลังปะทุขึ้นในวันนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถรักษาป้ายลึกลับไว้ได้หลังจากวันนี้หรือไม่?
ในสถานที่อีกสามแห่งในเมือง ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงก็มอง ร่างแสงนับที่ทะยานที่แสดงถึงกลุ่มมู่เฉิน แสงเปล่งประกายในดวงตาพวกเขา
“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้าบิ่นแท้จริง กล้าไปหาเซี่ยหงด้วยตัวเอง ถึงแม้เซี่ยหงจะน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ศึกวันนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว”
ทั้งสามยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อทะยานขึ้นไปในท้องฟ้าพร้อมกับร่างแสงติดตามมา ร่างแสงเหล่านี้ล้วนทรงพลังอัน ไม่มีใครอ่อนแอเลย
ทั่วทั้งเมืองซีระเบิดขึ้นแล้วในตอนนี้
ที่ใจกลางเมืองซี
มีลานประลองขนาดใหญ่บนลานกว้าง เซี่ยหงนั่งอยู่บนบัลลังก์โดยมีสาวงามสองคนคอยรับใช้ที่ด้านข้าง
ส่วนด้านหลังมีคนสิบกว่าคนพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนกำจายไปรอบตัว ทำให้ชั้นบรรยากาศสะเทือนเบาๆ
ที่สะดุดตาที่สุดเป็นร่างชายสูงวัยสวมชุดสีเทา ทั่วร่างเอิบอาบด้วยไอเย็นชาย้อมคลื่นหลิงจนหนาวเหน็บสุดขั้ว
บนเสามีร่างเงาถูกโซ่โยงไว้ นี่ก็คือผู้เฒ่าไป๋ ลวดลายคลื่นหลิงที่ปรากฏรอบตัว ประทับลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเขาเอาไว้จนหมด
“หวังกง เจ้าคิดว่าไอ้นั่นจะมาไหม?” เซี่ยหงคลึงจอกสุราเล่นไปมา
ที่ด้านหลังชายสูงวัยชุดเทาก็ยิ้มน่าขนลุก “ไม่ว่าจะมาหรือไม่ ตอนจบถูกตัดสินไปแล้ว ป้ายนั่นไม่ใช่สิ่งที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถเก็บไว้ได้”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เซี่ยหงก็คลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะยกจอกดื่มรวดเดียว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่คึกคักขึ้น ตอนนี้มีคนมากมายมาที่นี่รอคอยการแสดงที่กำลังจะเปิดโรง
“พวกเขามาที่นี่จริง… กล้าหาญกันมาก” เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นพลางยกมือ
สิ้นเสียงเขา ท้องฟ้าในลานประลองก็สั่นไหว ร่างแสงหลายร่างปรากฏขึ้น โดยมีมู่เฉินเป็นผู้นำ
มู่เฉินมองไปที่เซี่ยหงก่อนจะสะบัดนิ้ว แสงหลิงพุ่งออกไปหาผู้เฒ่าไป๋ตัดโซ่ช่วยให้เป็นอิสระคว้าตัวเขากลับมา
เมื่อเห็นอย่างนี้เซี่ยหงก็ไม่ได้ขัดขวาง เขาพูดด้วยดวงตายิ้มหยีไปทางมู่เฉินที่ช่วยผู้เฒ่าไป๋ไปได้ “ทิ้งป้ายโบราณและสาวงามทั้งสองไว้ที่นี่ซะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะออกจากเมืองซีไปอย่างปลอดภัย”
พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ พลางมองเซี่ยหง
“ขอยืมหัวไก่แกหน่อยได้ไหม?”