หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1096

ตอนที่ 1096

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1096 ศึกษาค่ายกล
การประมูลในเมืองซีปิดฉากลง

หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งเมืองถึงกับแผ่นดินไหว ทุกคนต่างตกใจกับราคาสุดท้ายที่พุ่งไปสูงถึงสี่สิบหน้าล้านหยดของเหลวจื้อจุน ขณะเดียวกันก็คาดเดาตัวตนของหลินจิ้งไปต่างๆ นานา

แม้ว่าการประมูลจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ที่มีไหวพริบก็รู้ดีว่าเรื่องเกี่ยวกับป้ายนี้ยังไม่สิ้นสุด ด้วยความสนอกสนใจกันมากทำให้เหล่าจอมยุทธ์มารวมตัวกันในเมืองแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถชนะการประมูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของป้ายที่แท้จริง…

อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถูกกล่าวขวัญในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในทวีปเทียนหลัวไม่ได้เป็นแบบนั้น ชื่อเสียงของพวกเขาไม่มากนัก มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงไม่ต่างกันอยู่ในเมืองซีมากมาย ซึ่งเซี่ยหงและคนอื่นก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิในหมู่คนรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ตราบใดที่ผู้นำอัจฉริยะของขั้วอำนาจชั้นสูงต่างๆ ไม่เผยตัว พวกเขาก็นับว่าไม่มีใครสู้ได้

แม้ว่ามู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่ใช่ธรรมดา แต่ก็มีขุมพลังระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นหากต้องปะทะกับคนอย่างเซี่ยหงก็ยังมีช่องว่างอยู่ดี

ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจต่างๆ รู้ว่าป้ายตกอยู่ในมืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะไม่ผิดหวังพวกเขากลับวางแผนร้ายกันในใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าต้องมีขั้วออำนาจอื่นๆ คอยจับตาดูกลุ่มของมู่เฉินเช่นกัน เมื่อไรที่การต่อสู้ระเบิดออก พวกเขาก็อาจมีโอกาสขโมยป้ายมาได้…

สำหรับผลลัพธ์ของกลุ่มมู่เฉินไม่มีใครสนใจ ในมุมมองของคนอื่นคนธรรมดาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คนที่มีสมบัติเป็นอาชญากร คราวนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์คงจะต้องเสียหายอย่างหนักแล้ว

ดังนั้นคลื่นใต้น้ำและพายุคลั่งจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองซี

ที่สวนกว้างแห่งหนึ่งในเมืองซี

ประตูสวนถูกปิดอย่างแน่นหนาพร้อมกับค่ายกลบนท้องฟ้าป้องกันการสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก

มู่เฉินยืนอยู่ในสวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเราคงกลายเป็นเป้าของทุกคนในเมืองซีตอนนี้แล้วแหละ”

จิ่วโยวที่ด้านหลังก็พยักหน้าพูดเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะเอาป้ายออกไปจากที่นี่นะ”

“สุดท้ายก็เพราะเราอ่อนแอเกินไป” มู่เฉินส่ายหัว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เป็นที่รู้จักในทวีปเทียนหลัวเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มของเขามีเพียงจิ่วโยวเท่านั้นที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่มู่เฉินก็ยังถูกมองอยู่นอกสายตา

“ดูเหมือนว่าข้าซื้อของสร้างปัญหาให้พวกเจ้าซะแล้ว…”

ที่ด้านหลังหลินจิ้งกำลังเอื้อมมือเล่นกับนกตัวเล็กๆ ในสวน นางเงยหน้าขึ้นยิ้มน่ารัก “ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกมาเลยนะ”

มู่เฉินหันมามองนางพลางหรี่ตาแคบลง หลินจิ้งแทบไม่มีการรั่วไหลของคลื่นหลิง เห็นได้ชัดว่านางต้องมีสมบัติบางอย่างที่ปกปิดคลื่นพลังงานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจจับพลังได้

แต่เมื่อตอนที่พบกับครั้งแรก หลินจิ้งอยู่ในขุมพลังเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังตามหาวัตถุดิบในการชำระร่างเทห์สวรรค์เหมือนกัน หลายปีผ่านไปด้วยตัวตนของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม พร้อมกับการชี้แนะของบิดาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พลังของนางคงไม่อ่อนไปกว่าเขา

บวกกับรากฐานที่ลึกซึ้งของแคว้นหวู หลินจิ้งคงมีสมบัติมากมายที่ใช้ปกป้องตนเอง ตามการคาดเดาของมู่เฉิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถฆ่านางได้

ทว่าเผชิญกับผู้ช่วยอย่างนางที่สามารถสนับสนุนได้ดีเช่นนี้ มู่เฉินกลับยิ้มพร้อมส่ายหัว “ถ้าข้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องป้ายนี้ได้ ก็ควรมอบให้คนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซะจะดีกว่า”

เขาฉายสีหน้าสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสงบของเขายิ่งทำให้หลินจิ้งชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก

มิน่าล่ะมารดาของนางถึงประเมินมู่เฉินไว้สูง ในตอนนั้นหลินจิ้งยังไม่เห็นด้วยเลย แต่หลังจากหลายปีผ่านมา มู่เฉินก็แสดงศักยภาพเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาต่างจากคนทั่วไป

“งั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เราจะถูกล้อมทันทีที่ออกจากเมือง” จิ่วโยวถาม

เปลือกตาของของมู่เฉินหลุบลงก่อนจะตอบเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รอเถอะ…ในเมื่อคนอื่นๆ ดูถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็ให้พวกเขามาลองดู”

“ตอนนี้เราต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่พอดี!”

ทิวทัศน์ราตรีโอบล้อมผืนดิน

มู่เฉินนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในห้องพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัว เวลานี้คลื่นหลิงในฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยการสะบัดมือ วัตถุสองชิ้นก็ปรากฏที่เบื้องหน้า

หนึ่งภาพค่ายกล หนึ่งป้าย

นี่คือภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่ไม่สมบูรณ์และป้ายทองคำลึกลับซึ่งเขาได้รับจากการประมูล

เมื่อมองไปที่วัตถุทั้งสองมู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะหยิบภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าภาพค่ายกลนี้สมบูรณ์แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริงก็ยังมีปัญญาในการตั้งรับ

หลิงเจิ้นจงซือเป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลทุกคน ตราบใดที่ผู้ฝึกก้าวเข้าสู่ระดับนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว

แน่นอนว่าระดับสูงสุดแท้จริงในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลก็คือการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือ

ระดับนั้นเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ซึ่งหลิงเจิ้นต้าจงซือหาได้ยากแม้แต่ในมหาพันภพ แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกภาคภูมิใจก็คือมารดาของเขาคือหนึ่งในนั้น

“ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง… รวมทั้งพี่หลิงซีด้วย นับตั้งแต่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางก็ไม่มีข่าวอีกเลย นางบอกว่าจะไปหาท่านแม่ ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

มู่เฉินลูบภาพค่ายกลโบราณความคิดล่องลอยไป แต่สุดท้ายเขาก็หายใจลึกระงับอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเกือบบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะด้วยพัฒนาการที่มีทุกครั้ง เขาก็เริ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงเผ่าทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังมารดา ซึ่งเผ่านี้แม้แต่มารดาของเขาซึ่งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือในตำนานก็ยังครั่นคร้าม แม้ว่าจะส่วนเพื่อปกป้องเขาและบิดาให้ปลอดภัย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเผ่านั้นมีอำนาจมากเพียงใด

มู่เฉินเม้มริมฝีปากจดจ่ออยู่กับภาพค่ายกล เมื่อหลับตาลงคลื่นหลิงก็พวยพุ่งขึ้นในมือไหลเข้าไปในภาพค่ายกลรุ่งริ่ง

ตู้ม!

คลื่นหลิงแทรกซึม การรับรู้ก็ระเบิดดังก้องในห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน แสงงดงามพลุ่งพล่านเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ไปทันที

ภาพชายชราคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา ขณะที่แขนเสื้อโบกสะบัด สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ท่วมท้นขึ้นมาราวกับคลื่นยักษ์ในทุกทิศทางผสานเข้ากับความว่างเปล่า ก่อร่างเป็นลวดลายที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อลวดลายเหล่านั้นไขว้พันกัน ก็ทำให้พลังงานระหว่างสวรรค์และโลกแปรปรวน

ค่ายกลค่อยๆ ถักทอขึ้น ชายชราก็พลิกนิ้วแสงเก้าสายครางกระหึ่มออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรลึกลับ

เกลียวแสงทั้งเก้าสายวิ่งเข้าไปในค่ายกล เมื่อแสงจางลงก็เผยให้เห็นกระดูกมังกรโบราณถึงเก้าชิ้น!

กระดูกมังกรทั้งเก้าก่อตัวเป็นศูนย์กลางของค่ายกล เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ดูเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครอบงำ พลังไร้ขอบเขตรวมตัวกันรอบกระดูกมังกร สร้างเนื้อเลือดขึ้นจากกระดูกทั้งเก้าให้กลายเป็นมังกรจริงเก้าตัว!

ทว่ามังกรเหล่านี้ไม่ใช่ร่างเนื้อแท้จริง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิง

ถึงกระนั้นมังกรทั้งเก้าก็ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังและน่ากลัวออกมา

ฟิ้ว!

เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อร่างขึ้น แสงก็ส่องสว่าง ภาพเงาทะยานออกมาพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัว ซึ่งนั่นก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!

ชายชราสร้างค่ายกลอย่างนิ่งสงบจากนั้นก็สะบัดนิ้วอีกครั้ง มังกรเก้าตัวเริ่มแผดเสียงพร้อมกับลมหายใจมังกรเก้าสายพุ่งทะลุผ่านมิติกระแทกลงบนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน

ปัง!

การโจมตีครั้งเดียวก็ทำเอาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นออกไปในสภาพน่าสมเพช เลือดไหลออกมาจากทั่วทุกรูขุมขน คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดลงอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

ภาพเบื้องหน้าจบลง ตามด้วยข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สมองของมู่เฉิน

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและพึมพำกับตัวเอง “ช่างเป็นค่ายกลที่ซับซ้อนและทรงพลังอะไรอย่างนี้…”

เขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ พิจารณาจากข้อมูลที่ไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เขาสามารถสรุปได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารไม่เพียงแต่จะยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีของสำคัญอย่างกระดูกมังกรเป็นศูนย์กลางอีกด้วย

นอกจากนี้กระดูกมังกรยังเชื่อมต่อกันโดยผ่านรัศมีที่เหลืออยู่เพื่อสร้างมังกรและโดยการรวบรวมของของสองสิ่งนี้เท่านั้น ค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุน

“ทว่าเนื่องจากม้วนภาพไม่สมบูรณ์ ต่อให้ทำการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายก็น่าจะสามารถสร้างมังกรได้สี่ตัวเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากมังกรเก้าตัวมากเลยทีเดียว”

มู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่จากนั้นก็โล่งใจ ถ้าภาพค่ายกลอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดเรียงค่ายกล ด้วยความสามารถที่บรรลุในปัจจุบันของเขา

ในทางตรงกันข้ามภาพค่ายกลไม่สมบูรณ์นี้ อาจเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จหากศึกษาให้ดี

“ดูเหมือนว่าข้าต้องรวบรวมกระดูกมังกรเตรียมไว้ก่อน…” มู่เฉินพูดกับตัวเอง จากที่ค่ายกลเผยในห้วงแห่งจิต ยิ่งกระดูกมังกรแข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้น

แต่ตัวเขาตอนนี้ยังไม่ต้องการกระดูกมังกรที่มีคุณภาพสูงมาก ดังนั้นคงไม่ยากเกินไปที่จะจัดหามา

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เลื่อนสายตามาที่ป้ายทองคำโบราณ…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท