หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1088

ตอนที่ 1088

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1088 เมืองซี
ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา

ในครึ่งเดือนที่เตรียมการ มั่นถัวหลัวก็ตัดสินรายชื่อจอมยุทธ์ที่จะติดตามนางไปด้วย แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกคนได้รับการคัดสรรอย่างดี แทบจะเลือกจอมยุทธ์ทรงพลังทุกคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปหมด

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มั่นถัวหลัวจะมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเอง จอมพลทั้งห้าก็ออกโรงกันหมด กระทั่งเจ้าเมืองที่มีพลังโดดเด่นก็ถูกอนุญาติให้ติดตามไปด้วย จำนวนจอมยุทธ์ทั้งหมดมีประมาณห้าสิบคนเท่านั้น แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า

การเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าอันตรายแบบไหนที่รออยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เป็นเรื่องฉลาดแน่ที่จะใช้กองทัพใหญ่ ดังนั้นการเลือกจึงมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ

ทว่าครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้ไปสำนักเดียว พวกเขาจะรวมกับขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือจัดตั้งกองทัพพันธมิตร เนื่องจากการไปรวมตัวอาจจะล่าช้าไป มั่นถัวหลัวจึงสั่งการให้จิ่วโยวและมู่เฉินนำเหล่าผู้บัญชาการบางคนมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลก่อนเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่จะกองทัพใหญ่จะไปถึง

มู่เฉินเต็มใจที่จะนำคนไปก่อน เนื่องจากในหัวใจของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลจนไม่อาจสงบลงได้จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงอยากออกเดินทางไปยังหน้างานเพื่อค้นหาข่าวสาร สถานที่แห่งนั้นอยู่ไกลจากภูมิภาคทางเหนือมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถทราบถึงข่าวสารข้อมูลที่นั่นได้ทุกอย่าง…

นอกรัศมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเขตต้าหลัวเทียน

จิ่วโยวยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน โดยมีคนสามคนยืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพนับถือ ซึ่งประกอบไปด้วยชายชราชุดขาว ชายวัยกลางคนและหญิงสาว ชายชราชุดขาวปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมารอบตัวด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด เขาเป็นหนึ่งในคนที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ รู้จักกันในนามผู้เฒ่าไป๋

แม้กระทั่งในบรรดาผู้บัญชาการ ความแข็งแกร่งของเขาก็ถูกจัดในอันดับต้นๆ นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ยอดเยี่ยม เนื่องจากเขาเคยออกท่องยุทธภพไปทั่วทวีปเทียนหลัว ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ให้เขาติดตามไปด้วย

สำหรับชายวัยกลางคนและหญิงสาวพลังก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ช่วงนี้พวกเขาสองคนเข้ามาสานสัมพันธ์ที่หอวิหคโลกันตร์บ่อยมาก ในอดีตพวกเขาฝึกยุทธ์เป็นการส่วนตัว พึ่งพาตัวเองและโอกาสมาไกลถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงต้องการการคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดและแสวงหาทรัพยากรที่ดีกว่าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์ที่มีจอมพลสองคนจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะสวามิภักดิ์

มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจที่พวกเขาเข้าร่วม แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับการทดสอบจากถังปิง ก่อนที่นางจะรายงานมู่เฉินและจิ่วโยว คนคู่นี้ใช้ความสามารถของตัวเองในการฝึกฝนและมีนิสัยอดทน ถือว่ามีศักยภาพและปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีความภักดีไม่ใช่ประเภทที่จะแทงข้างหลัง

ถังปิงดูแลจัดการหอวิหคโลกันตร์มานานหลายปี ดังนั้นจึงมีสายตาเฉียบแหลม ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวก็ไว้วางใจนาง ซึ่งทำให้ทั้งสองคนได้เข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์และได้ร่วมการเดินทางมายังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

“นายท่านมู่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะนำไปสู่เมืองที่อยู่นอกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นพวกเราก็ต้องเปลี่ยนอีกสองสามครั้งเพื่อจะออกจากภูมิภาคทางเหนือได้อย่างรวดเร็ว” คนที่พูดขึ้นเป็นหญิงสาวสวมชุดยาวสีแดงที่เน้นรูปร่างยั่วยวน นางชื่อถานชิวเป็นผู้บัญชาการหญิงที่กำลังโดนรุมจีบจากพวกผู้บัญชาการชายหลายคน

“อืม”

มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวพูดว่า “ไปกันเถอะ”

จิ่วโยวไม่มีข้อคัดค้าน ดังนั้นทั้งสองจึงก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ประกายแสงกะพริบวูบไหวก่อนที่เงาจะหายไป

หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ชายชราก็มองไปที่หญิงสาวและชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่รีบร้อน “ท่านประมุขส่งข้อความมา แม้ว่าจอมพลทั้งสองจะโดดเด่นแต่ก็ยังเด็กมาก พวกเราสามคนท่องยุทธภพมาหลายปีมีประสบการณ์ต่อโลกภายนอกช่ำชอง ดังนั้นจงระวังหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เราจะไม่มีจุดจบที่ดีในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่”

“ผู้เฒ่าไป๋พูดเรื่องอะไรกัน…ในเมื่อเจ้านายทั้งสองยินดีที่จะรับข้าไว้ ข้าก็จะตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตนี้” ถานชิวยิ้ม

“หากใครต้องการทำร้ายพวกเขา ก็ต้องข้ามศพของข้าไปก่อน” ชายวัยกลางคนร่างกำยำตบแผ่นอกผาง แม้จะดูไม่ค่อยฉลาด แต่ท่าทางแน่วแน่จริงจังมาก

การกระทำของชายคนนี้ราวกับก้อนหิน แข็งกร้าวยิ่ง ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงรู้จักกันในชื่อผู้บัญชาการสือ

ผู้เฒ่าไป๋พยักหน้าจากนั้นทั้งสามคนก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลหายตัวไปในแสงที่วาบขึ้น มีเพียงความผันผวนเชิงมิติที่กระเพื่อมออก

สุดขอบทางตะวันตกของทวีปเทียนหลัว

ที่นี่เป็นดินแดนแห้งแล้งซึ่งมีภัยพิบัตินานัปการ ผืนดินเต็มไปด้วยสายลมดวงดาวที่สามารถแยกภูเขาออกจากกัน พายุหิมะเย็นสุดขั้วกวาดรัศมีนับแสนลี้ มีสัตว์อสูรประหลาดปรากฏตัว แม้จะมีสติปัญญาต่ำแต่ก็ยากที่จะรับมือ…

ภัยคุกคามหลากหลายที่นี่ ทำให้น้อยคนที่จะก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้ที่ตั้งใจมาล่าสัตว์อสูรและนักล่าขุมทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วไม่มีจอมยุทธ์คนไหนอยากแหย่เท้าเข้าไปที่นี่หรอก

แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เนื่องจากในส่วนลึกของดินแดนนี้ มิติแตกร้าวสามารถมองเห็นภาพวังโบราณได้อย่างเลือนราง…

นั่นคือวังสวรรค์บรรพกาล!

ข่าวนี้ระเบิดตูมตามทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในเวลาเดียวกันดินแดนแห้งแล้งนี้ก็กลับกลายเป็นที่นิยม มีเหล่าจอมยุทธ์จับกลุ่มมาที่นี่ราวกับฝูงตั๊กแตนบุก ทำให้สถานที่แห่งนี้คึกคักจนเทียบได้กับเมืองเฟื่องฟูที่สุดในศูนย์กลางของทวีปเทียนหลัว

กระทั่งจำนวนและประสิทธิภาพของจอมยุทธ์ยังยอดเยี่ยมกว่าเสียอีก

อาจกล่าวได้ว่าดินแดนสุดขอบตะวันตกได้กลายเป็นแกนกลางทวีปเทียนหลัวไปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการปรากฏตัวของเจ้าทวีปอย่างวังสวรรค์บรรพกาล…

ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นเป้าหมายของกลุ่มมู่เฉิน…

ระยะทางของดินแดนสุดขอบตะวันตกกับภูมิภาคทางเหนือห่างกันครึ่งทวีป

ระยะทางที่ไกลเช่นนี้ ถ้ามู่เฉินเดินทางโดยการเหาะเหินมาเอง เขาอาจจะใช้เวลามากกว่าครึ่งปี

โชคดีที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้ใช้ แต่ถึงกระนั้นครึ่งเดือนก็ผ่านไปเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก

ในเมืองที่อยู่ใกล้กับดินแดนสุดขอบตะวันตก กลุ่มของมู่เฉินนั่งอยู่ในโรงน้ำชา ตอนแรกเมืองนี้อยู่ห่างไกลผู้คนมาก แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มากเสียจนมีร่างแสงมากบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ซึ่งชัดว่ามุ่งหน้าไปยังดินแดนสุดขอบตะวันตก

โรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนกำจายคลื่นหลิงรอบตัว ซึ่งบอกให้เห็นถึงพลังของพวกเขา

“นายท่านมู่ นายหญิงจิ่วโยว เรามาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดกับดินแดนสุดขอบตะวันตกแล้ว ซึ่งสิ้นสุดระยะค่ายกลเคลื่อนย้าย ต่อจากนี้ก็คงต้องเดินทางกันเองแล้ว” ถานชิวนั่งข้างมู่เฉินพูดด้วยเสียงนุ่มนวล

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดินแดนสุดขอบตะวันตกทุรกันดารมาก ดังนั้นจึงไม่มีขั้วอำนาจใดมาโปรยเงินเพื่อตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่สถานที่นี้ใกล้มากแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเขาน่าจะสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่วัน

“จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาที่ชายแดนตะวันตกมีเมืองใหญ่ที่เรียกว่าเมืองซี นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ใกล้ของดินแดนสุดขอบตะวันตก ขั้วอำนาจต่างๆ ก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น มิหนำซ้ำยังมีผู้ออกสำรวจโดยรอบแล้ว ดังนั้นเราน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลได้ที่นั่น” ผู้เฒ่าไป๋ตอบด้วยเสียงให้เกียรติ

“มีแม้แต่คนที่กล้าเสี่ยงจะเข้าไปในมิติแตกสลายรอบวังสวรรค์บรรพกาลจนได้รับสมบัติมาแล้วเปิดประมูลขายต่อในเมืองซี ทำให้ดึงดูดคนกันมาก”

“โอ้?” การแสดงออกของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน คนเหล่านั้นช่างไม่รักตัวกลัวตาย รอยร้าวมิติที่ปั่นป่วนรอบวังสวรรค์บรรพกาลนั้นความประมาทเพียงเล็กน้อยก็จะถูกดูดเข้าไปในมิติ ซึ่งเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะเข้าไปในตอนนี้

แต่ถ้าพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง ก็อาจได้รับเบาะแสบางอย่างเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้ทันทีหลังจากเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล โอกาสยอดเยี่ยมนี้ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน

“ดูเหมือนว่าเราต้องเดินทางไปที่เมืองซีสินะ” จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ

มู่เฉินพยักหน้าตอบ นอกเหนือจากนั้นยังมีจอมยุทธ์จากทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นั่น ไม่รู้ว่าเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมารวมอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ เขาชักจะอยากรู้จักซะแล้ว

“ไปที่เมืองซีกันเถอะ”

เมื่อระงับความว้าวุ่นในใจลง มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนออกจากโรงน้ำชาไป เขาทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นร่างแสง ตามด้วยจิ่วโยวและคนที่เหลือที่ด้านข้างพุ่งหายไปในเส้นขอบฟ้า

ขณะที่กลุ่มของของมู่เฉินกำลังเดินทางไปเมืองซี ในเมืองที่ไกลออกไป หญิงสาวสวมชุดขาวก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ความงามของนางปานล่มเมือง ดวงตายิ่งเป็นที่ดึงดูดใจทำให้นางดูเหมือนกับภาพวาดเทพธิดา

ทว่านางเหมือนไม่ได้สนใจรัศมีราวเทพธิดาของตน กลับหยิบผลไม้หายากออกมาซึ่งเปล่งไปด้วยคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์จากนั้นก็กลืนลงคอภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา ก่อนที่จะปัดมือพร้อมกับบ่นกับตัวเอง “เจ้านั่นก็อยู่ในทวีปเทียนหลัวนี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้ายังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่เลย…”

นางเอียงศีรษะเบาๆ อดไม่ได้ที่จะจือปากแล้วก้าวเดินออกไปอย่างสบาย ละทิ้งเมืองไว้ที่เบื้องหลัง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท