หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1091

ตอนที่ 1091

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1091 ประมูล
เช้าวันถัดมา

ในเมืองซีกำลังเดือดพล่านจากการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ที่มาเมื่อวานนี้และข่าวเกี่ยวกับป้ายวังสวรรค์บรรพกาลที่ขยายออกไปไกล ซึ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นจำนวนมาก

จอมยุทธ์ทุกคนที่มารวมตัวกันในเมืองซีก็เพื่อวังสวรรค์บรรพกาล ตอนนี้มิติในดินแดนสุดขอบตะวันตกปั่นป่วน คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปบุ่มบ่าม ดังนั้นจึงต่างรอโอกาส ทว่าจู่ๆ ก็มีข่าวป้ายหลุดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะดึงดูความสนใจผู้คน

แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าป้ายลึกลับนั้นเป็นที่จับตามองของเหล่าขั้วอำนาจทรงพลังแล้ว ตามปกติไม่มีทางที่พวกเขาจะลงสู้ราคาแย่งชิงไหว แต่ใครๆ ก็ต่างมุ่งหวังที่จะให้มันตกอยู่ในมือจากโชคชะตา ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่ดีและในอนาคตพวกเขาอาจจะสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัว จนเรียกลมสั่งฟ้าได้

ดังนั้นเมื่อเช้าวันที่สองมาถึง เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ร่างแสงจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง

มีโรงประมูลขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ทว่าที่นั่นก็ร้างมาเป็นเวลาหลายปี แต่วันนี้กลับถูกเปิดใช้ใหม่ ความคึกคักนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงประมูลใหญ่ๆ ในทวีปเทียนหลัวเลย

พื้นที่การประมูลส่วนใหญ่เป็นเก๋งจีน ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งระดับธรรมดา ขณะที่คุณภาพจะเพิ่มขึ้นในชั้นที่สูงขึ้นไป การตกแต่งหรูหราสามารถมองการประมูลทั้งหมดได้

ตอนนี้กลุ่มของมู่เฉินเข้ามานั่งในพื้นที่ชั้นสามของโรงประมูลแล้ว เขาปัดเบาะที่ทำจากขนของเสือดาวไฟน้ำแข็งเบาๆ เมื่อนั่งบนนั้นก็ราวกับจะจมลงไป ให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง

พวกนี้เป็นสิ่งที่ถานชิวเตรียมมา ซึ่งทำให้มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้ มีผู้ติดตามอยู่ใกล้ชิดนี่ดีจริงๆ ถ้าเขามาคนเดียวจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้ได้อย่างไร

“ใครเป็นผู้จัดประมูล? กลุ่มเมื่อวานนี้เหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสนใจ หากการประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดยคนที่กล่าวอ้างเมื่อวาน พวกเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น

เมื่อได้ยินคำถามผู้เฒ่าไป๋ก็ตอบทันที “การประมูลจะจัดขึ้นโดยกลุ่มท้องถิ่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร ฮ่าๆ ไม่มีใครยอมให้คู่ต่อสู้เป็นเจ้าภาพประมูลเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวง ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำให้กลุ่มท้องถิ่นจัดการประมูลแทน”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ

ขณะที่มู่เฉินกำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าไป๋ บรรยากาศในโรงประมูลก็ถูกยกระดับขึ้นทันที มู่เฉินเบนสายตาก็มองเห็นคนหลายกลุ่มเดินเข้ามา

กลุ่มคนพวกนี้ไม่ธรรมดา ด้านหน้าสุดร่างสี่คนเดินนำช้าๆ ซึ่งพวกเขาก็คือเซี่ยหง มู่ซัน เจียงหลิงและชิ้งหย่า…

พวกเขาล้วนถูกจัดอยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาจึงทำให้เกิดเสียงอุทานดังก้อง

“ฮ่าๆ แคว้นเซี่ยต้องการป้ายนี้ หากพวกเจ้ายอมถอยเพื่อประโยชน์แคว้นเซี่ยของข้า ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไม่ลืม” เซี่ยหงจ้องมองฝูงชนในโรงประมูล จากนั้นก็หันหลังกลับมายิ้มให้อีกสามคน

ทว่ามู่ซันกลับยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ข้าให้ของเหลวจื้อจุนแก่เจ้าห้าล้านหยดเป็นการส่วนตัว แล้วเจ้าก็อย่ามาแย่งกับพวกเราเลย สำนักมังกรซ่อนของข้าไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน”

เขาไม่ได้ปกปิดคำเยาะเย้ยในคำพูด แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะเป็นเจ้าเขตตะวันออก แต่ก็อยู่ห่างจากสำนักมังกรซ่อนของเขาไปหลายสิบล้านลี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ชิ้งหย่าป้องปากหัวเราะเบาๆ นางมองทั้งสองข่มใส่กัน ขณะที่พวกเขาสู้กันในศึกน้ำลาย เจียงหลิงก็ไม่ได้แสดงออกใดๆ เขายืนกอดกระบี่ยาวไว้ ท่าทางราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงกระทบกระเทียบของเซี่ยหงกับมู่ซัน

เซี่ยหงยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงขณะมองมู่ซัน “ในเมื่อเป็นแบบนั้นข้าก็หวังว่าประมุขน้อยมู่ซันจะนำของเหลวจื้อจุนมาเพียงพอนะ”

พูดจบเขาก็ขี้เกียจสนใจมู่ซันอีก เบนสายตาไปยังชิ้งหย่าที่งดงาม ยิ้มเอ่ยขึ้น “แม่นางชิ้งหย่า สนใจไปนั่งชมการประมูลครั้งนี้กับข้าไหม?”

“คิกๆ พวกเราต่างเป็นคู่ต่อสู้กัน คงจะทำให้อึดอัดใจกันซะเปล่าถ้านั่งด้วยกันนะ” ชิ้งหย่าหัวเราะเบาๆ ปฏิเสธคำเชิญของเซี่ยหงก่อนที่จะเดินขึ้นชั้นบนอย่างสง่างาม

เซี่ยหงไม่ได้ใส่ใจเรื่องการปฏิเสธ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสะคราญโฉมของชิ้งหย่าด้วยดวงตาร้อนแรง ก่อนจะฉายทำท่าทางปกติเดินตามหลังนางไป

เมื่อเดินไปได้สักครึ่งทางเซี่ยหงก็รู้สึกว่าชิ้งหย่าหยุดฝีเท้าลง นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มุมหนึ่งแววประหลาดใจก็วาบผ่านนัยน์ตา

กวาดตามองตามนาง ดวงตาเขาก็หรี่ลงเพราะเขาเห็นมู่เฉินและจิ่วโยวที่ได้พบกันเมื่อวานนี้

“ทำไม? แม่นางชิ้งหย่ารู้จักพวกเขาหรือ?” เซี่ยหงถามเสียงต่ำ ด้วยข้อมูลมหาศาลของตึกฟ้าเหว นางน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคนแปลกหน้าเหล่านั้นดี

ชิ้งหย่าหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะมาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ว่ากันว่าช่วงนี้มีสองคนขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพลใหม่ จอมพลมู่และจอมพลจิ่วโยว ข้าว่าน่าจะเป็นทั้งสองนี่แหละ”

“ภูมิภาคทางเหนือ? อาณาเขตกงเวทสวรรค์? พวกเขาประเมินความสามารถของตนเองมากเกินไปแล้ว” เซี่ยหงอึ้งไปจากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดที่มุมปาก ภูมิภาคทางเหนือถูกมองว่าเป็นสถานที่ห่างไกลของทวีปเทียนหลัว มิหนำซ้ำที่นั่นยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งโดยไม่มีเจ้าเขตแท้จริงแบบแคว้นเซี่ย สำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชื่อเสียงก็ไม่สลักสำคัญอะไรเลย

ตอนแรกเขาคิดว่าไอ้บ้านั่นต้องมีภูมิหลังที่ทรงพลังโดยดูจากท่าทางไม่แสดงความเคารพใดๆ ต่อเขา แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าแค่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เล็กๆ เท่านั้น

ชิ้งหย่าเหลือบเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของเซี่ยหง สายตานางกะพริบวูบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะมีปัญหากับจอมพลคนใหม่ทั้งสองเสียแล้ว

แต่ชัดว่าเซี่ยหงยังไม่รู้ว่าแม้จะยังไม่มีเจ้าเขตเหนือ แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีความโดดเด่นมากกว่าจากขั้วอำนาจชั้นสุงสุดอื่นๆ ที่นั่น แม้ว่ารากฐานของอาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจยังอ่อนแอกว่าแคว้นเซี่ย แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเลย

ถ้าเซี่ยหงทำอะไรกับจอมพลทั้งสอง ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายอย่างแน่นอน ในเวลานั้นแม้แต่ฮ่องเต้เซี่ยก็คงต้องปวดหัวหนักน่าดูเลยมั้ง?

แบบนี้ก็ดี…ให้แคว้นเซี่ยมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก

ความคิดนี้วาบผ่านในใจ ชิ้งหย่าก็เดินไปยังเก๋งจีนอีกมุมหนึ่ง เซี่ยหง มู่ซันและคนอื่นๆ ก็นั่งลงบนที่ที่จัดให้โดยมีคนมาคอยบริการ

มู่เฉินให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้ตลอด ดังนั้นจึงเห็นการสนทนาระหว่างเซี่ยหงและชิ้งหย่าและเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเซี่ยหง เมื่อคิดไตร่ตรองก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ดูเหมือนว่าเราจะถูกประเมินต่ำไปนะ” มู่เฉินยิ้ม เอ่ยขึ้น

“ที่นี่ไม่ใช่ภูมิภาคทางเหนือ ไม่มีใครรู้จักเจ้าหรอก” จิ่วโยวล้อเลียน

“ข้าจะมีชื่อเสียงอะไรได้…” มู่เฉินส่ายหัวอย่างไม่ช่วยไม่ได้ เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แต่ถ้าใครคิดว่าข้าเป็นคนยอมคน กลัวว่ามือจะโดนหักแทนน่ะสิ”

แม้จะเป็นการพูดสบายๆ แต่ก็มีความภาคภูมิใจแฝงอยู่ เขาเดินมาทีละก้าว…ละก้าวตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพิ่งเริ่มชำระร่างเทพสุริยะ จนกระทั่งบรรลุขุมพลังระดับนี้ เขาพบคู่ต่อสู้มากมาย แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่

ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าตนเองสามารถเผชิญหน้ากับคนรุ่นเดียวกันได้

ถ้าเซี่ยหงประพฤติตัวดีๆ ก็ช่างไป แต่ถ้าเขามีความคิดพิเรนทร์ มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจที่จะให้เซี่ยหงรู้ว่าราคาจากความอหังการของตัวเองต้องจ่ายมากเท่าไร

พูดจบมู่เฉินก็หันหน้ากลับเห็นว่าจิ่วโยวจ้องมองเขาเงียบๆ จึงยกมือแตะหน้าตัวเองด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ?”

จิ่วโยวอึ้งไปกับร่องรอยความคมชัดที่มู่เฉินปล่อยออกมา ก่อนที่นางจะถอนหายใจ มู่เฉินไม่ได้เป็นน้องชายที่ยังไม่โตอีกแล้ว ความมั่นใจของเขาก้าวข้ามอดีตมาไกล

หลายปีผ่านมาเขาเติบโตอย่างแท้จริง

“ตึ้ง!”

ขณะที่จิ่วโยวยังอยู่ในภวังค์ เสียงระฆังก็ดังขึ้นในโถงซึ่งปกคลุมไปด้วยความโกลาหลที่มาจากด้านล่าง ทุกคนค่อยๆ เงียบเสียงลง ความร้อนแรงเพิ่มในดวงตาเมื่อจ้องมองไปยังแท่นยกสูง ซึ่งมีชายวัยกลางคนเดินขึ้นไปบนแท่น

“ข้าชื่อหานเฟยจากสำนักตะวันตกเย็นเยือกและเป็นพิธีกรของการประมูลครั้งนี้…”

เมื่อเสร็จสิ้นคำพูดเขาก็โบกมือ หญิงสาวหลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับถาดเงินในมือ

ถาดเงินถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังขัดขวางความผันผวนของพลังงานภายใน

สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปบนถาดเงิน ไอร้อนแรงวูบไหวในดวงตา

หานเฟยยิ้มเมื่อเห็นภาพนี้

“ในเมื่อทุกคนไม่คิดรออีกต่อไป ข้าขอประกาศเริ่มการประมูล ณ บัดนี้”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท