หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1087 จาโหลหลัว
“จาโหลหลัว…”
ในสวนเงียบสงบ ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดฉายขึ้น ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมั่นถัวหลัวถามว่า “เขาคือใคร?”
ภูมิภาคทางเหนือมีความขัดแย้งตลอด ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญมากในทวีปเทียนหลัว ในขณะเดียวกันทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้รับข่าวสารเกี่ยวกับภูมิภาคอื่นๆ มากนัก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเคยได้ยินชื่อนี้
“เขาเป็นคนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจในภูมิภาคทางใต้ เฮ้ ชื่อเสียงของจาโหลหลัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าในทวีปเทียนหลัวมากเลยนะ”
มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยอาการหยอกล้อก่อนที่จะพูดต่อ “ภูมิภาคทางใต้มีขนาดใหญ่กว่าภูมิภาคทางเหนือ จาโหลหลัวคนนี้ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการรวบรวมเขตแดน สำนักและกองทัพนับไม่ถ้วนตายตกตามกันด้วยน้ำมือของเขา ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนในภูมิภาคทางใต้จะสั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อ แม้แต่ขั้วอำนาจในภูมิภาครอบข้างก็หวาดกลัวต่อเขาอย่างยิ่ง”
“ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ว่ากันว่าเมื่อเขาบรรลุขั้นนี้ เขาก็ไม่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ความแข็งแกร่งน่าทึ่งมาก”
“ในทวีปเทียนหลัวเขายังได้รับการจัดอันดับสามบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ด้วย”
ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจที่ได้ครอบครองอันดับสาม เพราะยังไงทวีปเทียนหลัวก็เป็นมหาทวีปในมหาพันภพซึ่งเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะโดดเด่นท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะ
“มู่เฉินอยู่อันดับเท่าไร?” จิ่วโยวกลั้วหัวเราะจากด้านข้าง
มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนจะตอบว่า “ไม่มีใครจัดอันดับให้เขาเลย”
ความอับอายฉาบบนใบหน้าของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่มีนัยสำคัญในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากมีความขัดแย้งตลอดเวลาทำให้ไม่มีผู้ปกครองแท้จริง ดังนั้นมีคนไม่มากที่ให้ความสนใจกับภูมิภาคนี้ มิหนำซ้ำเขาก็หายตัวบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่เขาจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นและได้รับการจัดอันดับ
ทว่าจิ่วโยวกับมั่นถัวหลัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ที่พวกนางส่งมุกกันก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแซวเขา มู่เฉินจึงทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เท่านั้น
ทว่าขนาดจาโหลหลัวที่ทรงพลังเช่นนี้ยังอยู่อันดับสามในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเทียบกันแล้วก็บอกได้ว่าจอมยุทธ์ที่พบในดินแดนเสินโซ่ไม่มีอะไรเลย
แน่นอนมู่เฉินก็รู้ว่าแม้พวกที่เจอในดินแดนเสินโซ่จะเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงในเผ่าเทพอสูร แต่ก็ยังไม่ใช่จอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างไป๋หมิง เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยซ้ำ
“แล้วที่มาตำหนักเทพปีศาจคืออะไรล่ะ?” มู่เฉินส่ายหัวไม่คิดมากต่อไปเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวค่อยๆ จางหายไป ประกายเย็นยะเยือกฉายในม่านตาสีทองคำ น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยว่า “ตำหนักเทพปีศาจเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคทางใต้ เจ้าตำหนักชื่อลู่หยวน ทุกคนตั้งฉายาเขาว่าจักรพรรดิปีศาจ เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาหลายปีแล้ว”
“จักรพรรดิปีศาจลู่หยวน? เจ้ามีความขุ่นเคืองอะไรกับเขาหรือเปล่า?” มู่เฉินอึ้งไป ช่างเป็นฉายาที่ครอบงำจริงๆ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในคำพูดของมั่นถัวหลัว ซึ่งปลุกเร้าคำถามนี้ในตัวเขา
ภูมิภาคทางใต้และทางเหนือห่างกันเป็นพันล้านลี้ โดยมีดินแดนคั่นระหว่างนั้นอีกมากมาย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องใช้เวลานานในการเดินทางไกล แล้วทั้งสองเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ยังไง?
“คนรู้จัก…” มั่นถัวหลัวตอบอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ “คำสาปในร่างข้า โดนฝังเพราะมันนี่แหละ”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้คำสาปในร่างมั่นถัวหลัว ครั้งหนึ่งสิ่งนี้สร้างความทรมานให้นางไม่จบสิ้น ทำให้นางต้องอยู่ในห้วงนิทราเป็นเวลานาน หากนางไม่ได้พบกับมู่เฉิน นางอาจยังติดอยู่ในห้วงนิทราอยู่
ทว่ามู่เฉินไม่คิดเลยว่าการสาปแช่งนั้นเกี่ยวข้องกับลู่หยวนคนนี้
“ดูเหมือนว่าเราจะมีโชคชะตากันจริงๆ คนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจเป็นศัตรูของข้า ขณะที่เจ้าและจักรพรรดิปีศาจก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน” เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พูดอย่างช่วยไม่ได้
“ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ อย่าให้ตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!” มั่นถัวหลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีดำฉายแววแน่วแน่ เขาเข้าใจถึงความสำคัญของวิธีวิวัฒนาการสำหรับตนเอง เขาวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่าชื่อเสียงจาโหลหลัวในทวีปเทียนหลัวจะโด่งดังแค่ไหน คนอย่างมู่เฉินก็จะสู้จนถึงที่สุดแน่
“จาโหลหลัวอาจรู้เกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์จากลู่หยวนเช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”
มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่ส่งเสียงสงสัย “วังสวรรค์บรรพกาลหายไปนานหลายพันปี ข่าวคราวเรื่องนี้น่าจะถูกปกปิด ทำไมเจ้ากับลู่หยวนถึงรู้ล่ะ?”
สีหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เพราะมันกับข้ามาจากวังสวรรค์บรรพกาล”
“อะไรนะ?” ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะมองมั่นถัวหลัว นางมาจากวังสวรรค์บรรพกาลรึ? วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้พินาศพร้อมกับการตายของจักรพรรดิฟ้าหลังสงครามใหญ่รึ? มั่นถัวหลัวกับลู่หยวนออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?
ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอด กระทั่งในทวีปเทียนหลัวก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวและลู่หยวนคงไม่ได้รับความสงบสุขเช่นนี้
“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่สามารถอธิบายได้ ความทรงจำของข้าช่วงนั้นคลุมเครือมาก ข้าได้ข้อมูลมาจากชิ้นส่วนความทรงจำที่เหลืออยู่น่ะ” มั่นถั่วหลัวโบกมือ ไม่ได้ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม
เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวไม่ต้องการจะพูดต่อ มู่เฉินและจิ่วโยวก็ระงับความอยากรู้ไว้ในใจ ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้เรื่องวังสวรรค์บรรพกาลละเอียดขนาดนี้ นั่นเพราะนางมาจากที่นั่น
“มีขั้วอำนาจทรงพลังไหนอีกมั่งที่ละโมบอยากได้วังสวรรค์บรรพกาล?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ
“ขั้วอำนาจที่อยากได้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?” มั่นถัวหลัวเบะปากขณะพูดต่อ “จากข้อมูลปัจจุบันที่ข้าได้รับผู้เข้าร่วมอย่างแน่นอนก็มีตำหนักเทพปีศาจจากภูมิภาคใต้ แคว้นเซี่ยจากภูมิภาคตะวันออก สำนักหงหวางจากภูมิภาคตะวันตก ราชาหมื่นอสูรจากภูเขาไป่วั้น และเจ้าวิญญาณแห่งเวิ้งโลกันตร์”
“ประมุขขั้วอำนาจเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายโดยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงนอกทวีปที่เข้ามาเพราะข่าวนี้ด้วย”
มู่เฉินผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง การรวมตัวที่ทรงพลังเช่นนี้อาจเป็นสุดยอดจอมยุทธ์เกือบทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ก็จะเป็นการทำลายอย่างแท้จริง
“พวกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่?” มู่เฉินถามเสียงเบา แม้ว่าจะยากที่จอมยุทธ์ระดับนั้นจะถูกดึงดูดโดยซากโบราณธรรมดา แต่วังสวรรค์บรรพกาลแตกต่างออกไป ที่นั่นคือสุสานของจักรพรรดิฟ้า ซึ่งในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้าผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดยุทธ์แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน วิชาสามพิสุทธิ์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทางขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูดเข้ามาด้วยสิ่งล่อลวงนี้
“ว่ากันว่าวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในมิติแตกสลาย ส่งผลทำให้พื้นที่มิติไหลเคลื่อนอย่างวุ่นวาย นอกจากนี้วังสวรรค์บรรพกาลยังเป็นดินแดนไร้เมตตา เนื่องจากที่นั่นเป็นสมรภูมิรบของจักรพรรดิฟ้าและจอมพลปีศาจซึ่งมีกับดักนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่เบื้องหลัง กับดักเหล่านั้นคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยิ่งนัก ดังนั้นข้าคิดว่าแม้จะถูกล่อลวงพวกเขาก็จะไม่มาเสี่ยง” มั่นถัวหลัวคิดสักพักแล้วเอ่ยออกมา
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อได้ยิน หากแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่ได้รับอะไรเลย แม้จะมีการรวมตัวที่ทรงพลังพวกเขาก็ยังอ่อนแอเหมือนมดแมลงต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้
กระนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดุเดือดที่สุดในรอบหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัวแน่นอน
“แม้แต่ข้าก็จะถูกยับยั้งโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากต้องแย่งชิงวิธีวิวัฒนาการร่างเทพ เจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินขณะเอ่ยเตือน
“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือกันลู่หยวนไม่ให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”
“นั่นก็เพียงพอแล้ว!”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์และทำงานอย่างหนักเพิ่มสถานะของตัวเองก็เพื่อคำพูดเหล่านี้จากมั่นถัวหลัว นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่มีภูมิหลัง ต่อให้เขาได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะมา เขาก็ไม่สามารถนำออกมาได้อย่างราบรื่นหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
มั่นถัวหลัวพยักหน้าแล้วสะบัดนิ้ว แสงสีทองบินไปทางมู่เฉิน
มู่เฉินคว้าแสงเอาไว้ในมือ ก่อนจะกลายเป็นม้วนคัมภีร์ทองคำโบราณ เมื่อมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยที่เกิดขึ้น นี่คือค่ายกล
“นี่เป็นค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงรึ?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ
“ความสามารถของเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพค่ายกลชั้นสูงก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ช่วงนี้ข้าตามหามานานก็ได้รับมาแค่ม้วนเดียว” มั่นถัวหลัวตอบ
“ถึงเจ้าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เจ้าจะเผชิญคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของทวีปเทียนหลัว ไม่ใช่คนที่มาจากภูมิภาคทางเหนือจะเทียบได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้มากขึ้น”
มู่เฉินกำคัมภีร์สีทองอย่างช้าๆ จากนั้นก็มองดูมั่นถัวหลัวพยักหน้าหนักแน่น “ขอบคุณ”
เขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของมั่นถัวหลัว เพื่อช่วยเขา นางพยายามค้นหาภาพค่ายกล หากไม่ใช่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งมั่นแบบในปัจจุบัน คงยากสำหรับนางที่จะได้รับสิ่งนี้
มั่นถัวหลัวโบกมือแบบไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะเยื้องย่างนุ่มนวลจากไป เสียงของนางพลิ้วมาตามสายลม
“เตรียมตัวให้ดี เราจะเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน!”
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของมั่นถัวหลัวก็กำมือแน่นพร้อมกับดวงตาสีดำสนิทลุกโชติช่วงด้วยไฟการต่อสู้ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์รุ่นใหม่หัวกะทิของทวีปเทียนหลัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมรับความพ่ายแพ้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาสู้กันสักตั้งแล้วดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
มู่เฉินเลียริมฝีปากเกิดความคาดหวังในศึกวังสวรรค์บรรพกาลที่กำลังจะมาถึงแล้ว