หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1087

ตอนที่ 1087

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1087 จาโหลหลัว
“จาโหลหลัว…”

ในสวนเงียบสงบ ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดฉายขึ้น ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมั่นถัวหลัวถามว่า “เขาคือใคร?”

ภูมิภาคทางเหนือมีความขัดแย้งตลอด ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญมากในทวีปเทียนหลัว ในขณะเดียวกันทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้รับข่าวสารเกี่ยวกับภูมิภาคอื่นๆ มากนัก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเคยได้ยินชื่อนี้

“เขาเป็นคนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจในภูมิภาคทางใต้ เฮ้ ชื่อเสียงของจาโหลหลัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าในทวีปเทียนหลัวมากเลยนะ”

มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยอาการหยอกล้อก่อนที่จะพูดต่อ “ภูมิภาคทางใต้มีขนาดใหญ่กว่าภูมิภาคทางเหนือ จาโหลหลัวคนนี้ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการรวบรวมเขตแดน สำนักและกองทัพนับไม่ถ้วนตายตกตามกันด้วยน้ำมือของเขา ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนในภูมิภาคทางใต้จะสั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อ แม้แต่ขั้วอำนาจในภูมิภาครอบข้างก็หวาดกลัวต่อเขาอย่างยิ่ง”

“ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ว่ากันว่าเมื่อเขาบรรลุขั้นนี้ เขาก็ไม่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ความแข็งแกร่งน่าทึ่งมาก”

“ในทวีปเทียนหลัวเขายังได้รับการจัดอันดับสามบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ด้วย”

ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจที่ได้ครอบครองอันดับสาม เพราะยังไงทวีปเทียนหลัวก็เป็นมหาทวีปในมหาพันภพซึ่งเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะโดดเด่นท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะ

“มู่เฉินอยู่อันดับเท่าไร?” จิ่วโยวกลั้วหัวเราะจากด้านข้าง

มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนจะตอบว่า “ไม่มีใครจัดอันดับให้เขาเลย”

ความอับอายฉาบบนใบหน้าของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่มีนัยสำคัญในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากมีความขัดแย้งตลอดเวลาทำให้ไม่มีผู้ปกครองแท้จริง ดังนั้นมีคนไม่มากที่ให้ความสนใจกับภูมิภาคนี้ มิหนำซ้ำเขาก็หายตัวบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่เขาจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นและได้รับการจัดอันดับ

ทว่าจิ่วโยวกับมั่นถัวหลัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ที่พวกนางส่งมุกกันก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแซวเขา มู่เฉินจึงทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เท่านั้น

ทว่าขนาดจาโหลหลัวที่ทรงพลังเช่นนี้ยังอยู่อันดับสามในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเทียบกันแล้วก็บอกได้ว่าจอมยุทธ์ที่พบในดินแดนเสินโซ่ไม่มีอะไรเลย

แน่นอนมู่เฉินก็รู้ว่าแม้พวกที่เจอในดินแดนเสินโซ่จะเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงในเผ่าเทพอสูร แต่ก็ยังไม่ใช่จอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างไป๋หมิง เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยซ้ำ

“แล้วที่มาตำหนักเทพปีศาจคืออะไรล่ะ?” มู่เฉินส่ายหัวไม่คิดมากต่อไปเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวค่อยๆ จางหายไป ประกายเย็นยะเยือกฉายในม่านตาสีทองคำ น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยว่า “ตำหนักเทพปีศาจเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคทางใต้ เจ้าตำหนักชื่อลู่หยวน ทุกคนตั้งฉายาเขาว่าจักรพรรดิปีศาจ เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาหลายปีแล้ว”

“จักรพรรดิปีศาจลู่หยวน? เจ้ามีความขุ่นเคืองอะไรกับเขาหรือเปล่า?” มู่เฉินอึ้งไป ช่างเป็นฉายาที่ครอบงำจริงๆ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในคำพูดของมั่นถัวหลัว ซึ่งปลุกเร้าคำถามนี้ในตัวเขา

ภูมิภาคทางใต้และทางเหนือห่างกันเป็นพันล้านลี้ โดยมีดินแดนคั่นระหว่างนั้นอีกมากมาย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องใช้เวลานานในการเดินทางไกล แล้วทั้งสองเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ยังไง?

“คนรู้จัก…” มั่นถัวหลัวตอบอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ “คำสาปในร่างข้า โดนฝังเพราะมันนี่แหละ”

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้คำสาปในร่างมั่นถัวหลัว ครั้งหนึ่งสิ่งนี้สร้างความทรมานให้นางไม่จบสิ้น ทำให้นางต้องอยู่ในห้วงนิทราเป็นเวลานาน หากนางไม่ได้พบกับมู่เฉิน นางอาจยังติดอยู่ในห้วงนิทราอยู่

ทว่ามู่เฉินไม่คิดเลยว่าการสาปแช่งนั้นเกี่ยวข้องกับลู่หยวนคนนี้

“ดูเหมือนว่าเราจะมีโชคชะตากันจริงๆ คนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจเป็นศัตรูของข้า ขณะที่เจ้าและจักรพรรดิปีศาจก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน” เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พูดอย่างช่วยไม่ได้

“ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ อย่าให้ตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!” มั่นถัวหลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีดำฉายแววแน่วแน่ เขาเข้าใจถึงความสำคัญของวิธีวิวัฒนาการสำหรับตนเอง เขาวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่าชื่อเสียงจาโหลหลัวในทวีปเทียนหลัวจะโด่งดังแค่ไหน คนอย่างมู่เฉินก็จะสู้จนถึงที่สุดแน่

“จาโหลหลัวอาจรู้เกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์จากลู่หยวนเช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”

มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่ส่งเสียงสงสัย “วังสวรรค์บรรพกาลหายไปนานหลายพันปี ข่าวคราวเรื่องนี้น่าจะถูกปกปิด ทำไมเจ้ากับลู่หยวนถึงรู้ล่ะ?”

สีหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เพราะมันกับข้ามาจากวังสวรรค์บรรพกาล”

“อะไรนะ?” ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะมองมั่นถัวหลัว นางมาจากวังสวรรค์บรรพกาลรึ? วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้พินาศพร้อมกับการตายของจักรพรรดิฟ้าหลังสงครามใหญ่รึ? มั่นถัวหลัวกับลู่หยวนออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?

ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอด กระทั่งในทวีปเทียนหลัวก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวและลู่หยวนคงไม่ได้รับความสงบสุขเช่นนี้

“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่สามารถอธิบายได้ ความทรงจำของข้าช่วงนั้นคลุมเครือมาก ข้าได้ข้อมูลมาจากชิ้นส่วนความทรงจำที่เหลืออยู่น่ะ” มั่นถั่วหลัวโบกมือ ไม่ได้ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม

เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวไม่ต้องการจะพูดต่อ มู่เฉินและจิ่วโยวก็ระงับความอยากรู้ไว้ในใจ ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้เรื่องวังสวรรค์บรรพกาลละเอียดขนาดนี้ นั่นเพราะนางมาจากที่นั่น

“มีขั้วอำนาจทรงพลังไหนอีกมั่งที่ละโมบอยากได้วังสวรรค์บรรพกาล?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ

“ขั้วอำนาจที่อยากได้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?” มั่นถัวหลัวเบะปากขณะพูดต่อ “จากข้อมูลปัจจุบันที่ข้าได้รับผู้เข้าร่วมอย่างแน่นอนก็มีตำหนักเทพปีศาจจากภูมิภาคใต้ แคว้นเซี่ยจากภูมิภาคตะวันออก สำนักหงหวางจากภูมิภาคตะวันตก ราชาหมื่นอสูรจากภูเขาไป่วั้น และเจ้าวิญญาณแห่งเวิ้งโลกันตร์”

“ประมุขขั้วอำนาจเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายโดยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงนอกทวีปที่เข้ามาเพราะข่าวนี้ด้วย”

มู่เฉินผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง การรวมตัวที่ทรงพลังเช่นนี้อาจเป็นสุดยอดจอมยุทธ์เกือบทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ก็จะเป็นการทำลายอย่างแท้จริง

“พวกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่?” มู่เฉินถามเสียงเบา แม้ว่าจะยากที่จอมยุทธ์ระดับนั้นจะถูกดึงดูดโดยซากโบราณธรรมดา แต่วังสวรรค์บรรพกาลแตกต่างออกไป ที่นั่นคือสุสานของจักรพรรดิฟ้า ซึ่งในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้าผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดยุทธ์แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน วิชาสามพิสุทธิ์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทางขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูดเข้ามาด้วยสิ่งล่อลวงนี้

“ว่ากันว่าวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในมิติแตกสลาย ส่งผลทำให้พื้นที่มิติไหลเคลื่อนอย่างวุ่นวาย นอกจากนี้วังสวรรค์บรรพกาลยังเป็นดินแดนไร้เมตตา เนื่องจากที่นั่นเป็นสมรภูมิรบของจักรพรรดิฟ้าและจอมพลปีศาจซึ่งมีกับดักนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่เบื้องหลัง กับดักเหล่านั้นคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยิ่งนัก ดังนั้นข้าคิดว่าแม้จะถูกล่อลวงพวกเขาก็จะไม่มาเสี่ยง” มั่นถัวหลัวคิดสักพักแล้วเอ่ยออกมา

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อได้ยิน หากแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่ได้รับอะไรเลย แม้จะมีการรวมตัวที่ทรงพลังพวกเขาก็ยังอ่อนแอเหมือนมดแมลงต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้

กระนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดุเดือดที่สุดในรอบหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัวแน่นอน

“แม้แต่ข้าก็จะถูกยับยั้งโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากต้องแย่งชิงวิธีวิวัฒนาการร่างเทพ เจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินขณะเอ่ยเตือน

“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือกันลู่หยวนไม่ให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”

“นั่นก็เพียงพอแล้ว!”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์และทำงานอย่างหนักเพิ่มสถานะของตัวเองก็เพื่อคำพูดเหล่านี้จากมั่นถัวหลัว นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่มีภูมิหลัง ต่อให้เขาได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะมา เขาก็ไม่สามารถนำออกมาได้อย่างราบรื่นหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย

มั่นถัวหลัวพยักหน้าแล้วสะบัดนิ้ว แสงสีทองบินไปทางมู่เฉิน

มู่เฉินคว้าแสงเอาไว้ในมือ ก่อนจะกลายเป็นม้วนคัมภีร์ทองคำโบราณ เมื่อมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยที่เกิดขึ้น นี่คือค่ายกล

“นี่เป็นค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงรึ?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ

“ความสามารถของเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพค่ายกลชั้นสูงก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ช่วงนี้ข้าตามหามานานก็ได้รับมาแค่ม้วนเดียว” มั่นถัวหลัวตอบ

“ถึงเจ้าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เจ้าจะเผชิญคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของทวีปเทียนหลัว ไม่ใช่คนที่มาจากภูมิภาคทางเหนือจะเทียบได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้มากขึ้น”

มู่เฉินกำคัมภีร์สีทองอย่างช้าๆ จากนั้นก็มองดูมั่นถัวหลัวพยักหน้าหนักแน่น “ขอบคุณ”

เขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของมั่นถัวหลัว เพื่อช่วยเขา นางพยายามค้นหาภาพค่ายกล หากไม่ใช่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งมั่นแบบในปัจจุบัน คงยากสำหรับนางที่จะได้รับสิ่งนี้

มั่นถัวหลัวโบกมือแบบไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะเยื้องย่างนุ่มนวลจากไป เสียงของนางพลิ้วมาตามสายลม

“เตรียมตัวให้ดี เราจะเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน!”

มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของมั่นถัวหลัวก็กำมือแน่นพร้อมกับดวงตาสีดำสนิทลุกโชติช่วงด้วยไฟการต่อสู้ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์รุ่นใหม่หัวกะทิของทวีปเทียนหลัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมรับความพ่ายแพ้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาสู้กันสักตั้งแล้วดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

มู่เฉินเลียริมฝีปากเกิดความคาดหวังในศึกวังสวรรค์บรรพกาลที่กำลังจะมาถึงแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท