หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1098

ตอนที่ 1098

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1098 แสดงอำนาจให้ประจักษ์
บนลานประลองขนาดใหญ่

เสียงหัวเราะสงบเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่ว ขณะเดียวกันก็ส่งเข้าโสตประสาทของเหล่าผู้ชมนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งเมื่อได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วย

ชายหนุ่มจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าจริง…

ทว่าด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเขามีคุณสมบัตินี้จริงหรือ? ไม่ต้องสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาทรงพลังที่ด้านหลังเซี่ยหงนั่น กระทั่งตัวเซี่ยหงเองก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า มิหนำซ้ำยังอยู่อันดับที่ยี่สิบในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเซี่ยหงจะอยู่ในระยะต้นของขั้นเก้า แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอก ตัวเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย

ซึ่งนี้เป็นความสำเร็จที่น่าตกใจมากแล้ว

ในทางตรงกันข้ามแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจที่มู่เฉินเกือบจะเข้าถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตอนนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน ณ ที่นี้ ซึ่งแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ดังนั้นขุมพลังเกือบบรรลุขั้นเก้าจึงไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจมากนัก

ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลินยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือลานประลอง พลางมองไปด้วยความสนใจเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าความอหังการที่ไม่เกรงกลัวของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกสนใจมาก

แต่แค่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจแท้จริงหรือแค่แกล้งทำออกมา…

“ยืมหัวข้ารึ?”

ขณะทุกคนชื่นชมในความกล้าหาญของมู่เฉิน เซี่ยหงก็หรี่ตามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเยาะเย้ย “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าเซี่ยหงถูกมองว่าเป็นหินรองเท้า”

เขาได้เห็นความตั้งใจของมู่เฉินเพียงปราดมอง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นหินเพื่อก้าวเดินขึ้นไป ตราบใดที่มู่เฉินสามารถเอาชนะเซี่ยหงได้ ชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในเวลานั้นแม้ว่าต้องการไป คนอื่น ๆ ก็ต้องคิดสองตลบว่าควรจะขัดขวางเส้นทางดีหรือไม่

“ในเมื่อแกมากำนัลถึงหน้าประตูบ้านข้า ทำไมข้าจะไม่รับ?” มู่เฉินแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นสายตาอันตรายของเซี่ยหงและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ด้วยแกเนี่ยนะ?”

เซี่ยหงยิ้มอ่อน รอยยิ้มโค้งเป็นมุมที่น่าขนลุก ก่อนที่จะยกมือขึ้นเบาๆ “หวังหวู่จัดการมันสิ”

ปัง!

เมื่อเซี่ยหงพูดจบ ร่างร่างหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็ทะยานออกมาพร้อมส่งคลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกราวกับพายุ

พิจารณาจากความผันผวนของคลื่นพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็อยู่ในระดับเกือบจื้อจุนขั้นเก้าเช่นกัน!

พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ร่างเงานั้นก็พุ่งมาหามู่เฉินพร้อมดาบยาวสีแดงเข้มที่อัดแน่นด้วยรัศมีสังหาร ท่าทางเด็ดขาดนั้นชัดว่าเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ในสนามรบ

ผู้ชมต่างร้องอุทานในใจ แคว้นเซี่ยสมเป็นผู้ปกครองเผด็จการในภูมิภาคทางตะวันตก ด้วยรากฐานที่หยั่งลึก พวกเขาสามารถส่งนักรบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าออกมา จอมยุทธ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีพลังการต่อสู้สูงยิ่งแม้ในหมู่ขั้วอำนาจระดับต้น

ร่างแสงพุ่งมาอย่างรวดเร็วมาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินในพริบตา พร้อมกับสายตาเย็นเยือกหวังหวู่ก็เฉือนดาบสีแดงเข้มลงมา ราวกับจันทร์เสี้ยวแสงสีแดงเข้มซัดลงบนศีรษะมู่เฉิน

นี่เป็นเพลงดาบเด็ดขาดของหวังหวู่ที่ผลักดันพลังของตัวเองไปสู่ขีดสุด แม้แต่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเหมือนกันก็ถูกสังหารได้ด้วยความประมาทเล็กน้อย

ภาพดาบสีแดงเลือดสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน แต่ที่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจคือเขายังคงท่าทางสงบไม่สะทกสะท้านราวกับไม่เห็นดาบที่พุ่งมาเบื้อบงหน้า

พรรคพวกที่ข้างหลังก็ต่างยืนนิ่ง ทุกคนฉายแววเย้ยหยันในดวงตา

หลินจิ้งเบิกตาโตมองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้น นางต้องการเห็นพัฒนาการของมู่เฉินเติบโตขึ้นมากแค่ไหนหลังจากไม่เจอกันมาหลายปี

ท่ามกลางความสนใจของทุกคน แสงก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉิน แต่ที่ทำให้เกิดความตกตะลึงคือมู่เฉินก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ กลับหลับตาช้าๆ ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้

“รนหาที่ตาย!”

เมื่อหวังหวู่เห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงเย็น

ใบดาบแสงพุ่งเข้าใกล้มู่เฉิน ทว่าทันทีที่จะสัมผัสร่าง แสงสีทองก็กระจายออกมาจากร่างกาย ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

แสงสีทองระเบิดออก ทันใดนั้นมังกรยักษ์สีม่วงทองก็ทะยานออกมาจากในร่างมู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งทำให้ใบดาบที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงักลง

โฮก!

มังกรยักษ์สีม่วงทองพันรอบร่างมู่เฉิน กรงเล็บงองุ้มแน่นกลายเป็นหมัดปะทะกับดาบแสงจังใหญ่

ปัง!

ระลอกคลื่นป่าเถื่อนไร้เทียมทานกวาดออกมา มิติถึงกับแปรปรวน เมื่อแสงสีทองพวยพุ่งออกมา สีหน้าหวังหวู่ก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่พล่านมาจากใบดาบ ซึ่งเป็นพลังทำลายล้างที่ต่อให้เขาเร้าคลื่นพลังออกมาทั้งหมดก็ต้องแตกสลาย

แคร็ก!

ใบดาบยาวสีแดงเข้มแตกออก หวังหวู่ก็ราวกับได้รับผลกระทบสาหัส ร่างกระเด็นออกไป เลือดสดสาดกระจายจากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นทิ้งรอยยาวพันจั้งเอาไว้

โห่!

ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ความโกลาหลตีกวน ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะถูกทำให้ตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ในพริบตา

ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็พ่ายแพ้ไปแล้ว!

วาบ!

ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึงในดวงตา จากนั้นก็มองมังกรสีม่วงทองที่ขดรอบร่างที่ส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มิติผันผวน บรรยากาศที่หายใจไม่ออกก็เล็ดลอดออกมาจากมังกร

ส่วนมู่เฉินยังคงทิ้งแขนแนบลำตัวไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า

“นั่นคือรัศมีมังกร…ที่หายากแม้แต่ในเผ่ามังกร!” ความปั่นป่วนดังขึ้นบนท้องฟ้า ชัดว่าบอกได้ถึงความพิเศษของมังกรตัวนี้

“หรือว่ามู่เฉินเป็นสมาชิกเผ่ามังกร?”

“เขาเป็นมนุษย์แน่นอน แต่น่าจะฝึกฝนทักษะที่เกี่ยวข้องกับเผ่ามังกร!” บางคนเอ่ยออกมาด้วยสายตาแหลมคม

“แม้ว่ามังกรตัวนี้จะดูเหมือนของจริงแต่ก็ยังมีร่องรอยภาพลวงตา ทว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากภายใน ก็เกินกว่าจอมยุทธ์ระยะอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าส่วนมากแล้ว”

“เขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกันได้โดยมังกรที่ควบแน่นออกมาเนี่ยนะ?” ผู้คนหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ วิชาทรงพลังนั่นคืออะไร? มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะถึงไม่กลัวแม้จะเผชิญหน้ากับเซี่ยหง ที่แท้ไพ่ตายที่เขามีก็ทรงพลังเช่นกัน

เมื่อบวกรากฐานของมังกรกับพลังของมู่เฉิน เขาสามารถจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้อย่างแท้จริง

หลินจิ้งกะพริบตาวิบวับมองมังกรสีม่วงทองซึ่งยังคงขดตัวรอบร่างมู่เฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางพึมพำกับตัวเอง “นี่คือรัศมีมังกรแท้จริง…”

จากประสบการณ์นางสามารถบอกที่มาของมังกรได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือความจริงที่รัศมีที่เปล่งออกมาจากมังกรแท้จริงนั้นเป็นของดั้งเดิม

มังกรแท้จริงเผ่ามังกรเคยมาเยี่ยมบิดานางที่แคว้นหวูครั้งหนึ่ง รัศมีมังกรแท้จริงยิ่งใหญ่มากกระทั่งครองเหนือสวรรค์ได้

แต่ตอนนี้รัศมีมังกรรอบตัวมู่เฉินก็ให้ความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสคนนั้นเช่นกัน

ภายใต้ความโกลาหลเซี่ยหงมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่พ่ายแพ้ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีสีหน้าใดๆ สายตาเย็นชาราวกับใบมีดที่ทำให้คนอื่นกลัว

แต่มู่เฉินไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับสายตานั่น เขามองไปที่วิญญาณมังกรแท้จริงที่ขดรอบตัวแล้วหันไปหาเซี่ยหงพูดอย่างใจเย็น “ได้ของมาไม่ให้กลับเป็นเรื่องไม่มีมารยาท”

พูดจบฝ่าเท้าก็ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว สีหน้าสงบนิ่ง หมัดกำแน่นก่อนที่แสงสีทองพร่างพราวจะพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าขณะที่เขาเหวี่ยงหมัดออกไป

โฮก!

ขณะที่มู่เฉินเหวี่ยงหมัด มังกรก็แผดเสียงคำรามเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงทองพุ่งลงมารวมเข้ากับฝ่ามือของมู่เฉิน

ตู้ม!

ภาพหมัดขนาดพันจั้งพุ่งออกไปราวกับมังกร ขณะที่กรงเล็บมังกรกวัดแกว่งไปมา ความผันผวนที่น่ากลัวสร้างความหายนะ ทำให้เกิดรอยแตกบนพื้น

เมื่อเทียบกับดาบแล้วหมัดของเขามีพลังมากกว่าไม่รู้กี่เท่า!

เผชิญหน้ากับหมัดนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับความหวาดเกรงในสายตา

ตู้ม!

หมัดมังกรพุ่งลงเร็วปานสายฟ้า พริบตาก็ไปอยู่ตรงหน้าเซี่ยหงห่อหุ้มตัวเขาไว้

สีหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มลง แสงเย็นกะพริบในดวงตา เมื่อเผชิญหน้ากับพลังหมัดของมู่เฉิน เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงการโจมตีกลับเค้นเสียงเย็นชาออกมาแทน “ให้ข้าคนนี้ทดสอบถึงพลังที่แกมี มาดูสิว่าแกมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวดต่อหน้าข้าหรือไม่!”

พูดจบเขาก็งอนิ้วเป็นกรงเล็บพลางซัดออกไป ปลายนิ้ววูบไหวด้วยแสงสีดำทิ้งรอยลึกไว้ในมิติ

แสงหลิงพริบพราวในกรงเล็บเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปมังกรดำและขยายปากอำมหิต

“ร่างเก้าเทพอสูร กรงเล็บมังกรปีศาจกลืนฟ้า!”

ตู้ม!

หมัดมังกรทองพุ่งเข้าใส่ พริบตาถัดมาก็เข้าปะทะกับกรงเล็บมังกรดำของเซี่ยหง!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท