หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที ่1105

ตอนที ่1105

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1105 การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์
ลานประลองตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร

ตึกรามบ้านช่องโดยรอบถูกทำลายยับเยิน รอยแตกลึกมากมายกระจายบนพื้น แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่

บนท้องฟ้ามู่เฉินมองตรงทิศที่เซี่ยหงหลบหนีไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเซี่ยหงก็คือองค์ชายแคว้นเซี่ยดังนั้นต้องมีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองไว้อยู่แล้ว ความเร็วก่อนหน้าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีหลบหนีนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวง ในอนาดตเซี่ยหงคงต้องทนทุกข์ทรมานแน่

ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินเฉือนแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงไปแล้ว แม้ว่าจะสามารถงอกใหม่ได้ด้วยยาอายุวัฒนะและยา แต่ก็ต้องใช้เวลารักษานานพอควร

มู่เฉินจึงไม่ใส่ใจเรื่องเซี่ยหงอีกต่อไป แม้ว่าวันนี้เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักหน่วง เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร เนื่องจากนี่ถือว่าเป็นการประลองระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ถึงแม้จะทำให้ฮ่องเต้เซี่ยโกรธขึ้น ทว่าถ้าแคว้นเซี่ยคิดจะเป็นศัตรูกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วยเหตุนี้ก็ต้องจ่ายในราคามหาศาลเช่นกัน

ด้วยตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นแล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจ ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยคงไม่เต็มใจที่จะเปิดศึกกับขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างแท้จริง

“อาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น ช่างเป็นคนใจกว้างเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองจริงๆ”

เมื่อระงับความคิดที่พลุ่งพล่านในใจ มู่เฉินก็มองไปที่ก้อนแสงสามกลุ่มในฝ่ามือยิ่งใหญ่ของร่างเทพสุริยะ เกลียวแสงสีทองก่อร่างเป็นม่านกั้นห่อหุ้มกลุ่มแสงทั้งสามเอาไว้

ทั้งสามชิ้นเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เซี่ยหงโยนออกมาก่อนหน้านี้ สองในสามก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงที่เป็นอาวุธครบชุด พลังไม่ธรรมดา ด้วยความช่วยเหลือจากชุดอาวุธนี่ทำให้เซี่ยหงสามารถสู้กับมู่เฉินในระดับที่เท่าเทียมกัน มู่เฉินจึงรู้สึกสนใจอาวุธชุดนี้มากทีเดียว

จากการประเมินมูลค่าของชุดอาวุธนี่สูงกว่าไข่มุกทะเลเดือดมาก

และเป็นเพราะมีค่าสูงนี่เองจึงทำให้มู่เฉินถูกขัดขวางและให้โอกาสเซี่ยหงหนีไปได้ สุดท้ายกระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังถูกล่อลวงจากอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามชิ้น

ถ้าเขาไม่ได้คว้าอาวุธทั้งสามชิ้นนี้ไว้ พวกมันก็คงพุ่งไปที่ผู้ชมรอบด้านแน่ ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ มิหนำซ้ำเขาอาจก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชน หากต้องการที่เข้าไปยึดครองในเวลานั้น

ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคว้าไว้ให้ทัน

“ข้าโดนมันเล่นกลซะได้” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นคนฉลาดมากเพราะรู้ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไรถึงจะหยุดมู่เฉินชั่วครู่

แม้ว่าจะถูกเล่นกล แต่มู่เฉินก็ไม่โกรธ การเล่นกลที่ทำให้เขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น เขาหวังว่ายิ่งเยอะยิ่งดี

ขณะที่มู่เฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็มองไปที่อาวุธทั้งสามด้วยความโลภในดวงตา ราคารวมของอาวุธเหล่านั้น ตีเป็นราคาของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยสี่สิบล้านหยดได้

ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดถึงพลังที่มู่เฉินแสดงจนประจักษ์แก่สายตา แค่หลินจิ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ก็เพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาแล้ว

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้น เขาสะบัดแขนเสื้อกลุ่มแสงเข้ามาหา หมุนคว้างรอบตัวตกลงในฝ่ามือ

เคล้าคลึงไว้ในมือได้ก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะก็ราวกับภาพมายาจางหายเป็นประกายแสงสีทอง

ภายใต้การจับตามองมากมาย มู่เฉินก็กลับไปหาจิ่วโยวกับหลินจิ้งก่อนจะยื่นมือออกไป “รางวัลผู้ชนะ ถ้าชอบชิ้นไหนก็หยิบไปได้เลย”

หลินจิ้งยิ้มพลางเหลือบมองอาวุธทั้งหมดแวบหนึ่งแล้วก็หมดความสนใจ ด้วยฐานะของนางไม่ต้องพูดถึงอาวุธเสมือนมหสรรค์ ขนาดอาวุธมหสวรรค์ก็ยังมีได้ ดังนั้นอาวุธเหล่านี้ที่สามารถล่อใจจอมยุทธ์ทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตานางเลย

ดังนั้นนางจึงส่ายหัวโบกมือเรียกม้วนกระดาษมา

“นี่ต่างหากอาหารจานหลัก” หลินจิ้งโบกม้วนกระดาษทองคำในมือพร้อมกับยิ้มตาหยี “ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าเก็บหนี้ได้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแน่นอน!”

มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่งความเสียใจไปยังแคว้นเซี่ยเงียบๆ ด้วยสถานะของหลินของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจยากที่จะล่อลวงนาง แต่นางกลับรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเก็บหนี้

ตราบใดที่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูจริงจังขึ้นมา แคว้นเซี่ยก็ถึงคราวซวยแล้ว

นอกจากนี้มู่เฉินก็คาดไว้แล้วว่าหลิงจิ้งคงไม่สนใจอาวุธทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงหันไปมองจิ่วโยวแทน

จิ่วโยวที่คุ้นเคยกับเขาดีเลือกหยิบไข่มุกทะเลเดือดไปแล้วยิ้มให้ “หอกและเกราะสงครามมังกรแดงเป็นชุดอาวุธ หากแยกออกจากกันพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นเจ้าเก็บไว้เองเถอะ”

ตอนนี้ที่ดินแดนสุดขอบตะวันตกเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว เซี่ยหงที่พ่ายแพ้อยู่ในลำดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่เท่านั้น มู่เฉินจะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับลำดับสาม…จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจด้วย

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เหล่านี้ แม้แต่มู่เฉินก็คงยากที่จะจัดการ ดังนั้นจิ่วโยวจะไม่แตะต้องอะไรที่ช่วยเสริมความสามารถให้กับมู่เฉิน

เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากเขาสนใจอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ ถ้าได้ครอบครองก็ช่วยเพิ่มพลังให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

มู่เฉินพลิกมือเก็บอาวุธไป และตั้งใจจะหาเวลาที่จะชำระให้เร็วที่สุด

จากนั้นก็เงยหน้ามองผู้คนรอบตัวอย่างใจเย็น ตั้งแต่มารวมตัวกันที่นี่ คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่ดี ถ้าวันนี้เขาแสดงให้เห็นว่าอ่อนแอก็คงถูกขย้ำไปแล้ว

เมื่อมู่เฉินกวาดสายตา แต่ละคนก็เบนหลบอย่างรู้สึกขยาด หลังจากได้เห็นว่ามู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวล้นเอ่อในหัวใจ

“ยังมีใครสนใจป้ายโบราณในมือข้าอีกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ารับคำท้าได้” มู่เฉินยิ้มอ่อนมองไปที่ทุกคน

พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักพลางเอ่ยต่อ “แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา หวังว่าจะจ่ายในราคาได้เหมือนองค์ชายสี่นะ”

ทุกคนใบหน้าบิดเบ้กับประโยคดังกล่าว เซี่ยหงพยายามใช้ประโยชน์จากความเหนือกว่า แต่กลับสิ้นท่า ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับป้ายโบราณไปเขายังกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินและสูญเสียสมบัติล้ำค่าอีกด้วย

นั่นไม่ใช่ราคาเล็กน้อยเลย

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าทายต่อคำพูดของมู่เฉิน

“ฮ่าๆ ป้ายวังสวรรค์บรรพกาลซื้อไปโดยจอมพลมู่แล้ว คนอื่นจะมีความคิดแย่งชิงไปได้อย่างไร? แต่ข้าคิดว่าชื่อเสียงของจอมพลมู่คงจะขจรขจายไปทั่วดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้ในอีกไม่นาน เดี๋ยวเจ้าคงได้ก้าวไปอยู่ในอันดับบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แล้ว” ชิ้งหย่ายิ้มอ่อนโยนทำลายความเงียบลง

มู่เฉินมองไปที่ชิ้งหย่า ตึกฟ้าเหวสมกับการเป็นตัวแทนขายข่าวกรองยิ่งใหญ่ รู้กระทั่งตัวตนของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์

“งั้นข้าขอขอบคุณทุกคน” มู่เฉินประสานมือยิ้มให้

ผลลัพธ์การต่อสู้วันนี้เป็นสิ่งที่บรรลุความต้องการของมู่เฉิน หลังจากสู้กันครั้งนี้แม้ว่าจะมีบางคนอยากเป็นเจ้าของป้ายโบราณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีอย่างง่ายดายอีก ซึ่งช่วยลดปัญหาไปมาก

ชิ้งหย่ายิ้มบาง “ปิดศึกนี้แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มู่ยินดีที่จะไปพูดคุยกับพวกเราหน่อยไหม?”

คำว่าเราของนางหมายรวมถึงมู่ซันและเจียงหลิงด้วย พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยหงเลย

เมื่อได้ยินมิตรภาพที่นางมอบให้ มู่เฉินก็ประหลาดใจก่อนที่จะยิ้ม “ข้ากำลังต้องการเช่นกัน”

ตึกฟ้าเหว สำนักมังกรซ่อนและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ มู่เฉินจะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ได้โง่และไม่สนุกกับการท้าทายผู้คนทั่วสารทิศ ปัญหาครั้งนี้เซี่ยหงเป็นคนแกว่งเท้าหาปัญหาก่อน

เมื่อชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงเห็นว่ามู่เฉินมีน้ำใจไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน สายตาที่มองมาจึงเป็นมิตรมากขึ้น

อย่างน้อยมู่เฉินก็ดูจะพูดคุยง่ายกว่าเซี่ยหง

พวกมู่เฉินจัดการเรื่องราวเรียบร้อยก็ออกไปพร้อมกับพวกชิ้งหย่า มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของชิ้งหย่า

มู่เฉินรู้สึกได้ว่าชิ้งหย่าและคนอื่นๆ พยายามตรวจสอบที่มาที่ไปของหลินจิ้ง แต่ทั้งหมดก็ต้องหน้าหงายกลับไปจากฝีมือตอกนิ่มๆ ของหลินจิ้ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูกับพวกเขา

แม้ว่าหญิงสาวดูเหมือนเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะปฏิบัติต่อใครสักคนในฐานะเพื่อน

เมื่อเห็นว่าการหยั่งเชิงไม่เป็นผล พวกชิ้งหย่าก็ล้มเลิกความตั้งใจ หันไปพูดคุยกับพวกมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในดินแดนสุดขอบตะวันตก ซึ่งมู่เฉินให้ความสนใจข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล

การรวมตัวของพวกเขาดำเนินไปจนถึงค่ำมืดก่อนที่จะอำลากัน

ระหว่างการอำลา ชิ้งหย่าก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเตือนมู่เฉินว่า “พี่มู่ เจ้าต้องระวังคนคนหนึ่งหลังจากทำให้เซี่ยหงบาดเจ็บหนักในวันนี้”

“โอ้? ใครรึ?” มู่เฉินหดตาลง

ชิ้งหย่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เซี่ยหยู่”

หัวใจของมู่เฉินโลดขึ้น เขาระบุตัวตนของชายคนนี้ได้ทันที

องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย

อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว เป็นรองจาโหลหลัวลำดับหนึ่ง!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท