หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1107

ตอนที่ 1107

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1107 ตำนาน
แสงกะพริบวิบวับต่อเนื่องบนม้วนหนัง

ข้อความปรากฏที่เบื้องหน้าสายตามู่เฉิน

“อันดับสองซูชิงหยิง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ศิษย์เอกผู้เฒ่าหมื่นแมลง สถานะหลิงฉงซือ”

แม้ว่าข้อมูลจะดูธรรมดา แต่หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวเมื่อได้เห็น จอมยุทธ์อันดับสองบนทำเนียบเป็นหลิงฉงซือเหรอ?

ในมหาพันโลกมีเส้นทางฝึกฝนมากมาย ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์ได้ว่าใครแข็งแกร่งที่สุด เพราะเมื่อไปถึงจุดสูงสุดทุกเส้นทางก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดนี้ได้

เช่นหลิงเจิ้นซือ จั้นเจิ้นซือที่มู่เฉินฝึก รวมถึงหลิงฉงซือนี้ด้วย

มู่เฉินยังจำได้ว่าในอดีตเคยพบศพของหลิงฉงซือที่มณฑลเป่ยหลิงและได้รับขลุ่ยควบคุมแมลงซึ่งช่วยเขาไว้ได้มากในตอนนั้น ไม่คิดว่าสองสามปีต่อมาเขาจะได้พบกับหลิงฉงซือตัวจริง

ว่ากันว่าหลิงฉงซือสามารถเลี้ยงดูแมลงวิญญาณที่ทรงพลังได้ โดยที่แมลงทุกตัวจะดุร้ายมาก บางตัวอาจสามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว

หลิงฉงซืออาศัยแมลงวิญญาณในการต่อสู้ ซึ่งมีหลากหลายชนิดทำให้ยากที่จะป้องกันตัว

ทว่าจำนวนผู้ฝึกศาสตร์นี้มีน้อยมากจึงทำให้กลายเป็นศาสตร์ลึกลับแขนงหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้เห็นอะไรเกี่ยวกับหลิงฉงซือตัวจริง

“แต่จอมยุทธ์คนนี้เป็นศิษย์เอกของเฒ่าหมื่นแมลงเชียว…” เมื่อมู่เฉินเหลือบมองไปที่ชื่อนี้ สายตาก็เคร่งเครียดลง แม้แต่เขาที่อยู่แต่ในภูมิภาคทางเหนือมานานยังเคยได้ยินชื่อนี้

นี่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวที่ได้รับการพิจารณาว่าอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ความจริงที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้เฒ่าหมื่นแมลงได้เลี้ยงดูแมลงเทพตัวหนึ่งที่ทรงพลังมาก กระทั่งสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้แต่ผู้นำขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ในทวีปก็หวาดกลัวเขา เพราะถ้าต่อสู้กับเขาก็เทียบเท่ากับปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงสองคน

ผู้เฒ่าหมื่นแมลงมีคุณสมบัติที่จะสร้างขั้วอำนาจของตัวเองด้วยพลังที่มี แต่เขาชอบความสันโดษและรับศิษย์เพียงไม่กี่คน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้วซูชิงหยิงคนนี้ดูเหมือนจะเก่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเขา

แม้ว่าซูชิงหยิงจะไม่มีสำนักสนับสนุน แต่เพียงผู้เฒ่าหมื่นแมลงคนเดียวผลักดันเบื้องหลังก็เกินกว่าอะไรแล้ว

“จอมยุทธ์ในทำเนียบไม่มีใครอ่อนแอเลยจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจวางเรื่องซูชิงหยิงไว้ในจุดสูงขึ้น คนที่สามารถเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าหมื่นแมลงจะธรรมดาได้อย่างไร?

“แล้วใครเป็นอันดับหนึ่ง?”

แม้แต่คนอย่างซูชิงหยิงยังอยู่ในอันดับสอง ทำให้มู่เฉินยิ่งอยากรู้ถึงอันดับหนึ่งอย่างมาก เขาเลื่อนสายตาไปข้อความล่างสุด

“อันดับหนึ่ง จู้เยี่ยนประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคี ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ฝึกฝนร่างเทพอัคคีซึ่งอยู่ในอันดับสามสิบสี่หนึ่งในคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ชั้นยอดของเผ่าเทพอัคคี หลายปีที่ท่องยุทธภพในทวีปเทียนหลัว ไม่เคยแพ้ใคร”

มู่เฉินมองไปที่ข้อความเหล่านั้นเป็นเวลานานก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่คิดว่าจอมยุท์อันดับหนึ่งจะเป็นประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงทรงพลังมาก

เผ่าเทพอัคคีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทรงพลังในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้งและมีผู้เชี่ยวชาญมากพอๆ กับกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า ฐานกำลังเกินกว่าทุกขั้วอำนาจในทวีปเทียนหลัว

“ร่างเทพอัคคี…” มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่อาจเป็นร่างเทห์สวรรค์สูงสุดที่เขาเคยเห็นมา จากการคาดการณ์ที่น่าตกใจหากร่างเทพสุริยะได้รับการจัดอันดับในทำเนียบคัมภีน์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ก็น่าจะอยู่ในอันดับประมาณสามสิบซึ่งพอๆ กับร่างเทพอัคคีนี้

“ไม่คิดว่าประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคีจะท่องยุทธ์และฝึกฝนในทวีปเทียนหลัว” จิ่วโยวถอนหายใจเช่นกัน จู้เยี่ยนทรงพลังอย่างแท้จริง

“จู้เยี่ยนเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” หลินจิ้งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้ารู้จักเขา?” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย

หลินจิ้งเบะปากขณะพูดต่อ “เผ่าเทพอัคคีเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าเทพน้ำแข็งซึ่งเป็นของท่านน้าปิงข้า ดังนั้นข้าจึงรู้บางอย่างเกี่ยวกับเขา แต่พูดให้ถูกต้องจู้เยี่ยนเป็นแค่หนึ่งในตัวสำรองที่จะเป็นประมุขน้อยไม่ใช่ตัวจริง ตอนนี้ที่ท่องยุทธภพก็คงเพราะต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุนเพื่อกลับไปแข่งขันที่เผ่า”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มีข่าวลือว่าเทพจักรพรรดิสงครามมีฮูหยินสองคน มารดาของหลินจิ้งเป็นหญิงสะคราญโฉมที่เขาเคยพบมาก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขเผ่าเทพน้ำแข็ง ท่านน่าปิงที่หลินจิ้งพูดถึง

“เผ่าเทพอัคคีมีความสามารถค่อนข้างมากแต่นั่นก็เท่านั้น ไม่งั้นในอดีตพวกเขาคงไม่แพ้จนสูญเสียเพลิงจักรพรรดิในการเดิมพันกับเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่ผู้อาวุโสที่เข้าฌาณก็ยังไม่สามารถหยุดเทพจักรพรรดิอัคคีได้” หลินจิ้งอธิบาย ในฐานะที่นางเป็นอยู่ นางจึงไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับเผ่าเทพอัคคีมากนัก

“เจ้ากำลังพูดถึงเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วใช่ไหม?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เซียวเซียวที่เขาเคยพบมาก่อนในมิติหลงเฟิ่งเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี

“ใช่แล้ว” หลินจิ้งพยักหน้าพูดต่อด้วยความสดใส “เทพจักรพรรดิอัคคีน่าเกรงขามจริงๆ แม้แต่ท่านพ่อข้าก็ประเมินว่าเขาไม่สามารถหยั่งรู้ได้”

“พวกเขาเคยต่อสู้กันมาก่อนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่บนสุดของพีระมิดแห่งมหาพันภพ ทั้งสองคนมาจากพิภพเขตล่าง แต่ประสบความสำเร็จที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพยังต้องอับอาย

ไม่มีใครรู้ว่ายอดยุทธ์ทั้งสองใครทรงพลังมากกว่ากัน

หลินจิงยักไหล่ “ตามที่ฟังมาจากท่านพ่อในบางครั้งนะ พวกเขาน่าจะเคยสู้กัน แต่ไม่ได้บอกว่าใครเหนือกว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นหวูตั้งอยู่ทางชายแดนใต้สุด ส่วนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วตั้งอยู่ชายแดนเหนือสุด เนื่องจากสถานที่ตั้งทั้งสองมีความสำคัญอย่างยิ่ง ปกติท่านพ่อข้าและเทพจักรพรรดิอัคคีไม่สามารถออกจากแคว้นไปได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กันเท่าไร”

“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินถามด้วยความสงสัย

หลินจิ้งเหลือบมองมู่เฉินตอบว่า “เป็นเพราะที่นั่นเป็นชายแดนติดกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นเคร่งขรึมจากนั้นจึงตระหนักว่าทำไมเทพจักรพรรดิทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะไม่สร้างฐานมั่นที่ใจกลางมหาพันภพ ที่แท้พวกเขามีความตั้งใจที่จะทำหน้าที่เป็นปราการป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจ

“พิภพเขตล่างที่ท่านพ่อข้าถือกำเนิดถูกรุกรานโดยเผ่าปีศาจหนึ่งเมื่อในอดีต เพื่อช่วยท่านพ่อ ท่านน้าปิงจุดชนวนเผาตัวเองช่วยให้ท่านพ่อเอาชนะเผ่าปีศาจได้ หลังจากที่พวกท่านมาถึงมหาพันภพ ท่านพ่อก็ใช้พิภพเขตล่างเป็นรากฐานในการสร้างแคว้นหวูและปกป้องบ้านไว้ในเวลาเดียวกัน เขาพยายามหยุดการรุกรานของเผ่าปีศาจด้วยเหตุนี้ จึงสร้างปราการกั้นระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ” หลินจิ้งอธิบาย

“เทพจักรพรรดิสงครามสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข้อมูลบางอย่างมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากเท่ากับตอนที่หลินจิ้งเล่า ซึ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น

ศึกกับเผ่าปีศาจเป็นอะไรที่ทำให้เกิดสงครามทุกหัวระแหงและเกิดการเสียสละมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อรักษาโลกของเรา ทว่าเทพจักรพรรดิสงครามกลับสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้ขณะที่อยู่ในพิภพเขตล่าง จากนั้นก็ทะลุผ่านระนาบมิติเดินทางมายังมหาพันภพ ความสำเร็จของเขาถือได้ว่าเป็นตำนาน

“แน่นอนสิ” หลินจิ้งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ชัดว่านางเคารพนับถือต่อบิดาอย่างมาก

มู่เฉินยิ้มบาง บิดาเช่นนี้ก็สมควรที่หลินจิ้งจะภูมิใจ ที่พวกเขาสามารถฝึกฝนได้อย่างสงบในมหาพันภพก็ต้องขอบคุณยอดยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีที่ดูแลชายแดน ทำให้เผ่าปีศาจต่างๆ อยู่ในสายตาพวกเขาตลอดเวลา

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพ

นอกจากนี้ข้อมูลที่หลินจิ้งให้เพิ่ม มู่เฉินก็สามารถเข้าใจได้อย่างคลุมเครือว่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพทั้งหลายรวมตัวกันเป็นเกราะป้องกันทรงพลัง เหมือนกับเทพจักรพรรดิทั้งสอง

ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่จอมยุทธ์ทั่วไปก็ไม่สามารถรู้ได้ กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่มีคุณสมบัตินั้นในตอนนี้

แต่เขาเชื่อว่าวันหนึ่งจะสามารถสัมผัสไปถึงขั้นนั้นได้ อย่างไรก็ตามเขาต้องการเวลา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกระงับความคิดพลุ่งพล่านก่อนที่จะละสายตาจากม้วนหนัง หากเขาต้องการที่จะเดินบนเส้นทางของยอดยุทธ์ เขาก็ต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะให้ได้

เขาลูบไล้ม้วนหนังหยาบกร้านไล่มองชื่อจอมยุทธ์ที่อยู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนหลัวพลางแตะนิ้วเบาๆ

เส้นทางของยอดยุทธ์ต้องก้าวข้ามคู่แข่ง ในอดีตเขาเอาชนะอุปสรรคที่เผชิญโดยไม่พ่ายแพ้และครั้งนี้ก็เช่นกัน

มู่เฉินหลุบตาลงส่วนลึกของดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้

ให้โลกได้รู้กันว่าจอมยุทธ์อย่างข้าที่เดินทางจากมณฑลเป่ยหลิง สำนักศึกษาเป่ยชางจนเข้าสู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีคุณสมบัติต่อสู้กับพวกเจ้าหรือไม่

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท