หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1109

ตอนที่ 1109

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1109 ป้ายทางทหาร
“ข้าเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้”

มู่เฉินมองไปที่รอยยิ้มของมั่นถัวหลัวก็ตัวแข็งทื่อขึ้นอย่างช้าๆ กับคำพูดของนาง ซึ่งดูตลกมาก

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น กระทั่งหัวใจของมู่เฉินก็กลิ้งเป็นลอนคลื่นขณะมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยความไม่เชื่อ แม้ว่าเขาจะงงงวยว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้ข้อมูลของวังสวรรค์บรรพกาลมากนัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่านางจะเป็นดอกไม้ที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้

ดอกไม้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

“ยากที่จะเชื่อหรือ?” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะที่ม่านตาสีทองคำมองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางก็พูดต่อ “ในอดีตความทรงจำของข้าถูกปิดกั้นไว้ แต่เมื่อเข้าใกล้วังสวรรค์บรรพกาลมากขึ้นความทรงจำก็เริ่มกลับมาและตอนนี้เกือบทั้งหมดได้รับการฟื้นฟู”

“แล้วร่างหลักของเจ้าคืออะไร?” หลังจากเงียบไปนานในที่สุดมู่เฉินก็หายจากอาการตื่นตะลึงขณะกลืนน้ำลายเอ่ยถามอย่างยากลำบาก

มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยความลึกซึ้งในดวงตาพูดช้าๆ “เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับมันดี ดูจากชื่อข้าเจ้ายังเดาไม่ได้อีกเหรอ?”

ซี้ด!

มู่เฉินสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ร่างหลักของเจ้าคือดอกแมนดาลาโบราณ?!”

มีดอกไม้เทพในมหาพันภพที่ชื่อว่าแมนดาลา ซึ่งเป็นดอกไม้ที่วิเศษและมีสติปัญญาโดยกำเนิด หากเติบโตเต็มที่จะไม่ด้อยไปกว่าเทพอสูร บางทีอาจมีพลังมากกว่าในบางแง่มุม

เพียงแค่จำนวนดอกแมนดาลามีน้อยแสนน้อย ดังนั้นเมื่อปรากฏตัวก็จะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วน หากดอกไม้เหล่านี้ถูกนำกลับมาได้รับการเลี้ยงดูก็อาจจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เลย

ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมสายตาของมั่นถัวหลัวจึงดูแปลกๆ นั่นเป็นเพราะมีหน้ารายการนิรันดร์อยู่ในร่างกายของเขาซึ่งเป็นบันทึกทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะพร้อมกับลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของดอกแมนดาลา

ในอดีตถ้าไม่ใช่เพราะลวดลายเหล่านั้น มู่เฉินคงถูกจิ่วโยวเขมือบไปแล้ว ร่างเขาจะถูกครอบครองโดยนาง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็มีความสัมพันธ์กับดอกแมนดาลาหลายส่วน

“ร่างนี้ของข้าเป็นดอกตูม เมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่งข้าไม่ใช่ร่างดวงจิตอย่างที่เจ้าคิดไว้หรอก แต่ว่ามีอยู่จริง” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะพูดต่อ “นี่คือส่วนที่น่าอัศจรรย์ของดอกแมนดาลาโบราณ ตราบใดที่ไม่ถูกทำลายจนหมดก็สามารถอยู่รอดได้ในอีกลักษณะอื่น”

มู่เฉินเดาะลิ้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้

“แค่ร่างรองของเจ้าก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว แบบนี้ร่างหลักจะทรงพลังแค่ไหน?” มู่เฉินถามคำถามสำคัญทันที สำหรับมนุษย์ถ้าร่างดวงจิตอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ร่างจริงก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนแล้วมั้ง!?

หรือว่าร่างหลักของมั่นถัวหลัวอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน?

มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ก็ส่ายหัว “ที่จุดสูงสุดร่างหลักของข้าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ร่างหลักข้าอ่อนแอลงแน่นอน ทว่าโชคดีที่ข้าไม่ได้ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นก็น่าจะชดเชยความสูญเสียและรักษาขุมพลังไว้ได้”

“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเรอะ…” มู่เฉินถอนหายใจ แค่นั้นก็ทรงพลังในตัวเองมากพอแล้ว เพราะกระทั่งปัจจุบันจอมยุทธ์ระดับนี้ในทวีปเทียนหลัวก็มีน้อยยิ่ง

“ตอนนั้นที่ข้าเพิ่งแยกออกจากร่างหลักก็อยู่ในสภาพอ่อนแอมากบวกกับคำสาป ดังนั้นขุมพลังจึงอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นห้าถึงขั้นหกเท่านั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าตอนนี้ข้าก็ยังคงนิทราเพื่อระงับคำสาปในร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งถ้าข้าไม่สามารถมาถึงพลังระดับนี้ ข้าก็ไม่กล้ามานี่แม้ว่าวังสรรค์บรรพกาลจะปรากฏขึ้นก็ตาม” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณในสายตา

มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เขิน เนื่องจากไม่รู้ว่าได้ช่วยเหลือมั่นถัวหลัวไว้มากแต่เมื่อคิดลึกซึ้งลงไปก็ถามว่า “ทำไมถึงไม่กล้ามา ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับตี้จือจุนขั้นปลาย?”

เขาสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมในคำพูดของมั่นถัวหลัว

“เจ้าลืมศัตรูข้าไปแล้วหรือ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยขึ้น

หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน “เจ้าห่วงเรื่องลู่หยวนจากตำหนักเทพปีศาจเรอะ?”

เพราะเหตุนี้นี่เอง ลู่หยวนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหากมั่นถัวหลัวไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเผชิญหน้าก็จะดึงดูดปัญหาอย่างแน่นอน

“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่?” มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตามที่มั่นถัวหลัวเคยบอก นางและลู่หยวนมาจากวังสวรรค์บรรพกาล แล้วทำไมต่างฝ่ายถึงมองต่างคนเป็นศัตรูกันจนถึงขั้นสาปแช่ง?

มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพร้อมกับแววอันตรายวูบไหวตอบว่า “มันเป็นเจียวโลหิตโบราณที่เป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านและตกตะลึง ลู่หยวนเป็นพาหนะจักรพรรดิฟ้ารึ?

แล้วทำไมมั่นถัวหลัวที่เป็นดอกไม้น้อยถึงได้สู้กับพาหนะจนไม่สนเรื่องความเป็นตายกันแล้ว?

มู่เฉินฉงนไปเลยทีเดียว ไม่ว่าจะยังไงทั้งคู่ก็มาจากวังสวรรค์บรรพกาลไม่ใช่เหรอ?

“ตอนที่จักรพรรดิฟ้าต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจ สุดท้ายก็ได้ปิดผนึกสุสานจักรพรรดิฟ้าและวังทั้งหมดถูกทำลายล้างราบเรียบ ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดแต่ตอนที่คืนสติวังก็ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นข้ากับลู่หยวนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหลือที่ยังมีสติปัญญาอยู่”

“แต่ตอนที่กำลังตรวจสอบวัง จู่ๆ ลู่หยวนก็โจมตีข้าด้วยคำสาปแช่ง ท้ายที่สุดข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปิดผนึกตัวเองโดยให้ร่างรองหนีออกมา”

“ทำไมมันถึงทำอย่างนั้น?” สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป

มั่นถัวหลัวขมวดคิ้วตอบว่า “จอมพลทั้งหมดสิ้นชีพอยู่ในวังโบราณ หากมันได้รับสมบัติและมรดกจักรพรรดิฟ้าก็มีโอกาสที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ข้าว่ามันคงต้องการครอบครองมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว”

มู่เฉินผงกศีรษะเนื่องจากประโยคนี่สมเหตุสมผลดี เพราะมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ความทะเยอทะยานของลู่หยวนไม่น้อยจริงๆ

“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าเก็บรายละเอียดระหว่างการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มู่เฉินกล่าว ไม่ว่ามั่นถัวหลัวในปัจจุบันจะเป็นเพียงร่างรองหรือร่างหลักก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาช่วยนางฟื้นร่างหลัก ความแข็งแกร่งของนางก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขา

มั่นถัวหลัวพยักหน้า นางไม่แปลกใจกับคำพูดของมู่เฉิน เพราะยังไงก็รู้จักกันหลายปีแล้ว นางไว้วางใจเขามาก มิฉะนั้นนางคงไม่คิดบอกความลับนี้หรอก

“ใช่แล้ว… ช่วยข้าดูหน่อยว่านี่มาจากไหน” ทันใดนั้นมู่เฉินก็นึกถึงป้ายลึกลับที่ได้จากการประมูล เขาหยิบออกมาส่งให้มั่นถัวหลัว ไม่ว่ายังไงมั่นถัวหลัวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นนางน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างล่ะมั้ง?

ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองไปที่ป้ายลึกลับพร้อมกับความคิดวูบไหวในดวงตา จากนั้นครู่หนึ่งดวงตานางก็เปล่งประกาย

“เจ้ารู้สิ่งนี้หรือ?” เมื่อเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อึ้งไปพลางถามด้วยความดีใจ

มั่นถัวหลัวยังไม่ตอบอะไร นางหยิบป้ายดูปราดหนึ่งก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาประหลาด “เจ้าไปเอาสิ่งนี้มาจากไหน?”

“เพราะป้ายนี่แหละที่ทำให้เกิดเรื่องกับเซี่ยหงน่ะ” มู่เฉินกล่าว

“ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก” มั่นถัวหลัวพูดช้าๆ พูดต่อว่า “เจ้าโชคดีจนข้ายังอิจฉาเลย”

“แล้วนี่คืออะไร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวจากคำพูดของนาง รีบเอ่ยถาม

มั่นถัวหลัวลูบป้ายโบราณอยู่นานก่อนจะพูด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นป้ายทางทหาร”

“ป้ายทางทหาร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน

“พูดให้ถูกต้องก็คือป้ายบัญชาการกองทัพสังหารวิญญาณภายใต้สังกัดจอมพลสอง ซึ่งเป็นกองทัพชั้นยอดที่เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาแล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าว

“กองทัพสังหารวิญญาณ? เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน?” หัวใจของมู่เฉินกระเด้งขึ้นเมื่อได้ยินจากนั้นความปีติดีใจก็ปะทุในดวงตา มิน่าล่ะเขาถึงสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ถูกปกคลุมอย่างคุ้นเคย เมื่อสัมผัสให้ละเอียดก็จะพบว่านี่คือรัศมีจั้นยี่!

แต่ความสุขก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะขมวดคิ้วอีกครั้ง แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะทรงพลัง แต่เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ไม่ว่ากองทัพจะน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็อาจจะเป็นขี้เถ้า ดังนั้นจะใช้อะไรได้?

มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรก็ไตร่ตรองชั่วครู่ “นั่นก็ไม่ถูกซะทีเดียว กองทัพวังสวรรค์บรรพกาลได้รับการฝึกฝนทักษะลับที่พิเศษ หลังจากการตายคลื่นหลิงของพวกเขาจะรวมเข้ากับร่างกายกลายเป็นนักรบหุ่นเงาที่ไม่มีสติปัญญาใดๆ หุ่นพวกนั้นฟังคำสั่งของผู้ที่ครอบครองป้ายบัญชาการเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาอาจจะยังดำรงอยู่ในหอสองก็ได้”

สายตาของมู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า จำคำพูดของมั่นถัวหลัวไว้ในใจ ดูเหมือนว่าถ้าเขาสามารถไปที่หอสองได้ เขาก็ควรให้ความสนใจกับสิ่งนี้ ตราบใดที่เขาสามารถสั่งการกองทัพสังหารวิญญาณได้ แม้ว่าเขาจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน เขาก็ยังมีพลังที่จะต่อสู้

พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ

“เมื่อไรเราจะเข้าไปได้?”

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปยังมิติแตกร้าวก่อนจะยิ้ม “อีกห้าวัน มิติจะคงที่ขึ้นและเป็นเวลาที่จะส่งพวกเจ้าเข้าไป”

มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางในมิติแตกร้าวด้วยสายตาเร่าร้อน

รอมาหลายปีในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท