หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1111

ตอนที่ 1111

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1111 แอบสู้กันในอุโมงค์
ทันทีที่เข้าสู่อุโมงค์มิติ

พวกมู่เฉินก็รู้สึกเหมือนถูกกลืนกินโดยความมืดมิดที่รุนแรง ซึ่งทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายลุกชัน ราวกับพายุที่สร้างหายนะ ซึ่งประหนึ่งต้องการจะทำลายอุโมงค์ให้ราพณาสูร

พวกเขามองไปที่อุโมงค์อย่างกังวล หากอุโมงค์นี้พังทลายลงพวกเขาก็คงโบกมือลาโลกนี้แล้ว

แต่โชคดีที่อุโมงค์ค่อนข้างเสถียรเนื่องจากถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคน แม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ยังทรงตัวและไม่อับปางลง

พวกมู่เฉินรีบเคลื่อนไหวผ่านอุโมงค์ไปอย่างรวดเร็ว

มีรอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว พวกเขาสามารถเห็นภาพดินแดนโบราณและขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง

มิตินี้ราวกับว่ามีการปิดผนึกพื้นที่ไว้ในนั้น

“ระวังด้วย” มู่เฉินมองทุกคนขณะที่เอ่ยเตือน

“เมื่อเราเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล ทุกคนจงติดตามข้าให้ดี มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถดูแลทุกคนได้” ทันทีที่มู่เฉินพูดจบเสียงเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ซึ่งก็คือเฉวียนหมิงแห่งตำหนักสุดนภา

เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจน แพะแก่ตัวนี้กำลังบอกมู่เฉินว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ

แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่พอใจกับความหยิ่งยโสของเฉวียนหมิง แต่เขาก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นที่พึ่งพาได้มากกว่า

สำหรับมู่เฉินแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นจึงน่าจะยังอ่อนแอกว่าเฉวียนหมิง

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจบางคนก็ขยับเข้าใกล้เฉวียนหมิงมากขึ้น

ใบหน้าของมู่เฉินกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นภาพนี้ แพะแก่ตัวนี้โบราณคร่ำครึแท้จริง ช่างเป็นผู้นำที่เส็งเคร็ง เขาคิดว่าตนต้องการตำแหน่งนั้นจริงๆ หรือ?

มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว นางยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญหน้ากับตาแก่ดื้อรั้นและหยิ่งยโสก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากนี้เฉวียนหมิงยังใช้อายุข่มได้ดี เขาไม่ได้มองพวกเขาในสายตาสักนิด

มู่เฉินเบ้ปากไม่คิดจะโต้เถียงกับชายชราในเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ เพราะยังไงหลังเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล หากมีโอกาสเขาก็จะนำจิ่วโยวและหลินจิ้งออกจากกลุ่มนี้ไป

เมื่อเฉวียนหมิงเห็นมู่เฉินเงียบลงก็คิดว่าชายหนุ่มเห็นด้วย เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ผ่านสถานการณ์เล็กน้อยไปได้ คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

มู่เฉินกวาดสายตามอง จากนั้นดวงตาก็หดลง เนื่องจากเขาพบว่ามิติรอบตัวผันผวน มีอุโมงค์คล้ายกันกับของพวกเขาปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวพร้อมกับคนอยู่ภายในนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากขั้วอำนาจอื่นที่มุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาลเช่นกัน

ในสถานการณ์ที่อุโมงค์ไขว้ทับกัน แต่ละฝ่ายต่างตั้งระวังรักษาระยะห่างจนกว่าจะออกห่างกันถึงจะรู้สึกโล่งใจได้

มู่เฉินมองอุโมงค์เหล่านั้นตัดเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่รู้สึกโล่งใจทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านลงไปที่กระดูกสันหลัง

เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันตรายอย่างยิ่ง

เขาหันหน้าไปทางขวา ก็เห็นอุโมงค์หนึ่งที่มีเงาร่างสิบกว่าร่างอยู่ในนั้น

ท่ามกลางคนเหล่านั้นมู่เฉินเห็นคนรู้จัก องค์ชายสี่แห่งแคงว้นเซี่ย—เซี่ยหง!

เวลานี้อีกฝ่ายดูค่อนข้างน่าอนาถ แขนข้างหนึ่งกุด ใบหน้าซีดขาว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินสายตาจึงเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวก่อนจะหันหัวไปพูดอะไรบางอย่างกับคนด้านข้าง

มู่เฉินเลื่อนสายตาไปที่คนข้างๆ เซี่ยหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

นั่นเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีทองท่าทางสุขุมนุ่มลึก ทุกการเคลื่อนไหวและคำพูดที่เปล่งออกมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกถูกกดขี่

เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่เขาดูหม่นหมองลงเมื่อเทียบกับชายด้านข้าง

สายตาอันตรายที่มู่เฉินรู้สึกก็มาจากบุคคลนั้น

“ศัตรูนี่เจอกันบ่อยจริงๆ” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้พบกับพวกแคว้นเซี่ยก่อนที่จะเข้าไปในวังโบราณ นอกจากนี้หากเขาเดาไม่ผิด ชายคนนั้นน่าจะเป็นองค์ชายใหญ่เซี่ยหยู่อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่

มู่เฉินมองไปที่ชายชุดคลุมสีทองก็เห็นว่าเมื่อฟังคำพูดของเซี่ยหงจบ เขาก็กวาดสายตาประหนึ่งจักรพรรดิสูงส่งโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ

เขาเหลือบไปที่มู่เฉินก่อนจะหลุบตาลงโดยไม่สนใจ ทว่าก็ยังคงพยักหน้าเบาๆ

การพยักหน้าของเขาไม่ได้พุ่งไปที่มู่เฉิน เพราะเมื่อเขาทำลงไป ชายสูงวัยสามคนก็เดินหน้าขึ้นมา ทั้งสามมีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหมิงเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสามคนก้าวออกมาแล้วซัดกำปั้นออกไปโดยไม่ลังเล

ครืน!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปแล้วม้วนตัวพุ่งไปยังกลุ่มของมู่เฉิน เมื่อเห็นการกระทำนั่นก็บ่งบอกชัดว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำลายอุโมงค์เดินทางของพวกมู่เฉิน

“บ้าเอ้ย!”

“ไอ้สารเลว!”

เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงเนื่องจากไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะใจเหี้ยมขนาดนี้ สีหน้าเฉวียนหมิงก็ไม่น่าดู เขาวาดกระบวนท่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงสีฟ้าน้ำแข็งหลั่งออกมารุนแรงกลายเป็นโล่ปกป้องอุโมงค์ไว้

เนื่องจากเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดคนเดียว คลื่นหลิงระดับขั้นเก้าทั่วไปจะถูกทำลายโดยพายุมิติรุนแรงทันทีที่ออกจากอุโมงค์

ตู้ม!

การโจมตีจากจอมยุทธ์สามคนซัดลงบนโล่หนักหน่วง คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออกไปพร้อมกับเศษน้ำแข็งกระเซ็นไปทุกทิศทางก่อนที่โล่จะพังทลาย

เมื่อโล่แตกออกใบหน้าของเฉวียนหมิงก็เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์สามคนที่มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองได้พร้อมกัน

โล่แตกสลาย คลื่นกระแทกก็ซัดเข้ามาพยายามโยกคลอนอุโมงค์ของพวกเขา

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปด้วยความตื่นตระหนก หากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาตายแน่นอน

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ มู่เฉินก็ก้าวออกมาพร้อมสะบัดแขนเสื้อ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนควบแน่นเป็นสายผนึกบินฉวัดเฉวียนออกมารวมเข้ากับมิติโดยรอบอุโมงค์กลายเป็นชั้นค่ายกล

ตอนที่เขาเห็นพวกแคว้นเซี่ย ก็เริ่มกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตอนนี้ใช้ได้พอดี

ปัง! ปัง!

แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็เป็นในแง่ปริมาณมากกว่าคุณภาพซึ่งทั้งหมดใช้เพื่อการป้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันจำนวนมากก็กลายเป็นโล่ป้องกันชั้นดี

ดังนั้นหลังจากระลอกคลื่นเข้าทำลายค่ายกลไปสิบกว่าค่ายกล พลังงานที่เหลือก็สลายไป

เฮ้อ!

ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากกับภาพเบื้องหน้า

เซี่ยหยู่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลว เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจมองไปที่มู่เฉิน เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุขั้นเก้าจะสามารถรับการโจมตีจากขั้นเก้าระยะปลายสุดถึงสามคนได้

“หลิงเจิ้นซือเรอะ…”

เซี่ยหยู่พึมพำกับตัวเองก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนให้มู่เฉิน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงของตนเองผ่านอุโมงค์ทะลุเข้าโสตประสาทของพวกมู่เฉิน “พี่มู่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ หากเราพบกันในวังสวรรค์บรรพกาล ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของเจ้า”

รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเป็นมิตรราวกับว่าคำสั่งโจมตีชั่วร้ายเมื่อครู่ไม่เคยมีมาก่อน

มู่เฉินรักษาสีหน้าไว้โดยไม่ได้แสดงออกอะไร ชายคนนั้นอันตรายกว่าเซี่ยหงหลายเท่า ถ้าเซี่ยหงเป็นหมาป่าที่ดุร้าย เซี่ยหยู่ก็จะเป็นอสรพิษที่ไม่เผยอะไรง่ายๆ แต่ถ้าลงมือก็ถึงชีวิตทันที

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหากต้องเจอกัน

เมื่อเซี่ยหยู่พูดจบก็โบกแขนเสื้อพาพรรคพวกออกไปโดยมีเซี่ยหงท่าทางไม่พอใจติดตามไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากครรลองสายตาในพริบตา

เซี่ยหยู่จากไปอย่างสง่างาม เพราะการไขว้กันของมิติแบบนี้มีเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้าเขามั่นใจมากเกินไปจึงไม่ได้ขยับตัว แม้ว่าตอนนี้ต้องการที่จะจัดการเป็นการส่วนตัวแต่ก็สายเกินไป ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างเด็ดขาด

เมื่ออีกฝ่ายไปแล้วพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็สาปส่ง ก่อนจะประสานมือคารวะไปให้มู่เฉิน

“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเฉวียนหมิงทำให้การโจมตีของพวกมันอ่อนแอ ข้าก็คงสกัดไม่ได้เช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบแทนความขอบคุณของพวกเขา

เมื่อเฉวียนหมิงได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าเขาไม่คิดที่มู่เฉินยกย่องตนเองเช่นนี้

“คลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่าจริงๆ ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือจะมาถึงระดับนี้” สายตาของเฉวียนหมิงดูอ่อนโยนมากขึ้น ความเย่อหยิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน

นั่นเป็นเพราะเขารู้ชัดว่าแม้ตนจะทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายอ่อนแอลง แต่คลื่นกระแทกก็ยังไม่สามารถประเมินได้ต่ำ กระทั่งว่าเขาเทหมดหน้าตักก็อาจเสียเปรียบเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกค่ายกลจำนวนมากที่มู่เฉินสร้างไว้ก่อนขัดขวางไว้

มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉวียนหมิงจะไม่มาก แต่พวกเขายืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดเกินไป

“อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว”

มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าอุโมงค์ บริเวณนั้นความผันผวนเริ่มสงบลงแล้ว เขามองเห็นรัศมีสีขาวที่ปลายทาง

“จงระวังเมื่อเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล”

ทุกคนพยักหน้า

ภายใต้การตั้งระวังของทุกคน เส้นทางอุโมงค์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกลียวแสงสีขาวพวยพุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาก็เดินผ่านทาง

ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมที่มืดมิดก็สว่างวาบ พวกเขาหรี่ตาลงก่อนที่ดวงตาพร่าจะกลับเป็นปกติแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ

พวกเขายืนอยู่บนเนินเขา ทั้งภูมิภาคเงียบสงบโดยไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่มีกลิ่นอายโบราณผันผวนระหว่างสวรรค์และโลก

มู่เฉินมองไปที่ฉากโบราณเบื้องหน้าก็ไม่สามารถหยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้

ในที่สุดเขาก็เข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วเรอะ?

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท