หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1111 แอบสู้กันในอุโมงค์
ทันทีที่เข้าสู่อุโมงค์มิติ
พวกมู่เฉินก็รู้สึกเหมือนถูกกลืนกินโดยความมืดมิดที่รุนแรง ซึ่งทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายลุกชัน ราวกับพายุที่สร้างหายนะ ซึ่งประหนึ่งต้องการจะทำลายอุโมงค์ให้ราพณาสูร
พวกเขามองไปที่อุโมงค์อย่างกังวล หากอุโมงค์นี้พังทลายลงพวกเขาก็คงโบกมือลาโลกนี้แล้ว
แต่โชคดีที่อุโมงค์ค่อนข้างเสถียรเนื่องจากถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคน แม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ยังทรงตัวและไม่อับปางลง
พวกมู่เฉินรีบเคลื่อนไหวผ่านอุโมงค์ไปอย่างรวดเร็ว
มีรอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว พวกเขาสามารถเห็นภาพดินแดนโบราณและขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
มิตินี้ราวกับว่ามีการปิดผนึกพื้นที่ไว้ในนั้น
“ระวังด้วย” มู่เฉินมองทุกคนขณะที่เอ่ยเตือน
“เมื่อเราเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล ทุกคนจงติดตามข้าให้ดี มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถดูแลทุกคนได้” ทันทีที่มู่เฉินพูดจบเสียงเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ซึ่งก็คือเฉวียนหมิงแห่งตำหนักสุดนภา
เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจน แพะแก่ตัวนี้กำลังบอกมู่เฉินว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ
แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่พอใจกับความหยิ่งยโสของเฉวียนหมิง แต่เขาก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นที่พึ่งพาได้มากกว่า
สำหรับมู่เฉินแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นจึงน่าจะยังอ่อนแอกว่าเฉวียนหมิง
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจบางคนก็ขยับเข้าใกล้เฉวียนหมิงมากขึ้น
ใบหน้าของมู่เฉินกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นภาพนี้ แพะแก่ตัวนี้โบราณคร่ำครึแท้จริง ช่างเป็นผู้นำที่เส็งเคร็ง เขาคิดว่าตนต้องการตำแหน่งนั้นจริงๆ หรือ?
มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว นางยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญหน้ากับตาแก่ดื้อรั้นและหยิ่งยโสก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากนี้เฉวียนหมิงยังใช้อายุข่มได้ดี เขาไม่ได้มองพวกเขาในสายตาสักนิด
มู่เฉินเบ้ปากไม่คิดจะโต้เถียงกับชายชราในเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ เพราะยังไงหลังเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล หากมีโอกาสเขาก็จะนำจิ่วโยวและหลินจิ้งออกจากกลุ่มนี้ไป
เมื่อเฉวียนหมิงเห็นมู่เฉินเงียบลงก็คิดว่าชายหนุ่มเห็นด้วย เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ผ่านสถานการณ์เล็กน้อยไปได้ คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
มู่เฉินกวาดสายตามอง จากนั้นดวงตาก็หดลง เนื่องจากเขาพบว่ามิติรอบตัวผันผวน มีอุโมงค์คล้ายกันกับของพวกเขาปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวพร้อมกับคนอยู่ภายในนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากขั้วอำนาจอื่นที่มุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาลเช่นกัน
ในสถานการณ์ที่อุโมงค์ไขว้ทับกัน แต่ละฝ่ายต่างตั้งระวังรักษาระยะห่างจนกว่าจะออกห่างกันถึงจะรู้สึกโล่งใจได้
มู่เฉินมองอุโมงค์เหล่านั้นตัดเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่รู้สึกโล่งใจทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านลงไปที่กระดูกสันหลัง
เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันตรายอย่างยิ่ง
เขาหันหน้าไปทางขวา ก็เห็นอุโมงค์หนึ่งที่มีเงาร่างสิบกว่าร่างอยู่ในนั้น
ท่ามกลางคนเหล่านั้นมู่เฉินเห็นคนรู้จัก องค์ชายสี่แห่งแคงว้นเซี่ย—เซี่ยหง!
เวลานี้อีกฝ่ายดูค่อนข้างน่าอนาถ แขนข้างหนึ่งกุด ใบหน้าซีดขาว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินสายตาจึงเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวก่อนจะหันหัวไปพูดอะไรบางอย่างกับคนด้านข้าง
มู่เฉินเลื่อนสายตาไปที่คนข้างๆ เซี่ยหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
นั่นเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีทองท่าทางสุขุมนุ่มลึก ทุกการเคลื่อนไหวและคำพูดที่เปล่งออกมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกถูกกดขี่
เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่เขาดูหม่นหมองลงเมื่อเทียบกับชายด้านข้าง
สายตาอันตรายที่มู่เฉินรู้สึกก็มาจากบุคคลนั้น
“ศัตรูนี่เจอกันบ่อยจริงๆ” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้พบกับพวกแคว้นเซี่ยก่อนที่จะเข้าไปในวังโบราณ นอกจากนี้หากเขาเดาไม่ผิด ชายคนนั้นน่าจะเป็นองค์ชายใหญ่เซี่ยหยู่อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่
มู่เฉินมองไปที่ชายชุดคลุมสีทองก็เห็นว่าเมื่อฟังคำพูดของเซี่ยหงจบ เขาก็กวาดสายตาประหนึ่งจักรพรรดิสูงส่งโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
เขาเหลือบไปที่มู่เฉินก่อนจะหลุบตาลงโดยไม่สนใจ ทว่าก็ยังคงพยักหน้าเบาๆ
การพยักหน้าของเขาไม่ได้พุ่งไปที่มู่เฉิน เพราะเมื่อเขาทำลงไป ชายสูงวัยสามคนก็เดินหน้าขึ้นมา ทั้งสามมีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหมิงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสามคนก้าวออกมาแล้วซัดกำปั้นออกไปโดยไม่ลังเล
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปแล้วม้วนตัวพุ่งไปยังกลุ่มของมู่เฉิน เมื่อเห็นการกระทำนั่นก็บ่งบอกชัดว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำลายอุโมงค์เดินทางของพวกมู่เฉิน
“บ้าเอ้ย!”
“ไอ้สารเลว!”
เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงเนื่องจากไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะใจเหี้ยมขนาดนี้ สีหน้าเฉวียนหมิงก็ไม่น่าดู เขาวาดกระบวนท่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงสีฟ้าน้ำแข็งหลั่งออกมารุนแรงกลายเป็นโล่ปกป้องอุโมงค์ไว้
เนื่องจากเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดคนเดียว คลื่นหลิงระดับขั้นเก้าทั่วไปจะถูกทำลายโดยพายุมิติรุนแรงทันทีที่ออกจากอุโมงค์
ตู้ม!
การโจมตีจากจอมยุทธ์สามคนซัดลงบนโล่หนักหน่วง คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออกไปพร้อมกับเศษน้ำแข็งกระเซ็นไปทุกทิศทางก่อนที่โล่จะพังทลาย
เมื่อโล่แตกออกใบหน้าของเฉวียนหมิงก็เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์สามคนที่มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองได้พร้อมกัน
โล่แตกสลาย คลื่นกระแทกก็ซัดเข้ามาพยายามโยกคลอนอุโมงค์ของพวกเขา
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปด้วยความตื่นตระหนก หากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาตายแน่นอน
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ มู่เฉินก็ก้าวออกมาพร้อมสะบัดแขนเสื้อ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนควบแน่นเป็นสายผนึกบินฉวัดเฉวียนออกมารวมเข้ากับมิติโดยรอบอุโมงค์กลายเป็นชั้นค่ายกล
ตอนที่เขาเห็นพวกแคว้นเซี่ย ก็เริ่มกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตอนนี้ใช้ได้พอดี
ปัง! ปัง!
แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็เป็นในแง่ปริมาณมากกว่าคุณภาพซึ่งทั้งหมดใช้เพื่อการป้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันจำนวนมากก็กลายเป็นโล่ป้องกันชั้นดี
ดังนั้นหลังจากระลอกคลื่นเข้าทำลายค่ายกลไปสิบกว่าค่ายกล พลังงานที่เหลือก็สลายไป
เฮ้อ!
ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากกับภาพเบื้องหน้า
เซี่ยหยู่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลว เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจมองไปที่มู่เฉิน เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุขั้นเก้าจะสามารถรับการโจมตีจากขั้นเก้าระยะปลายสุดถึงสามคนได้
“หลิงเจิ้นซือเรอะ…”
เซี่ยหยู่พึมพำกับตัวเองก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนให้มู่เฉิน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงของตนเองผ่านอุโมงค์ทะลุเข้าโสตประสาทของพวกมู่เฉิน “พี่มู่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ หากเราพบกันในวังสวรรค์บรรพกาล ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของเจ้า”
รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเป็นมิตรราวกับว่าคำสั่งโจมตีชั่วร้ายเมื่อครู่ไม่เคยมีมาก่อน
มู่เฉินรักษาสีหน้าไว้โดยไม่ได้แสดงออกอะไร ชายคนนั้นอันตรายกว่าเซี่ยหงหลายเท่า ถ้าเซี่ยหงเป็นหมาป่าที่ดุร้าย เซี่ยหยู่ก็จะเป็นอสรพิษที่ไม่เผยอะไรง่ายๆ แต่ถ้าลงมือก็ถึงชีวิตทันที
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหากต้องเจอกัน
เมื่อเซี่ยหยู่พูดจบก็โบกแขนเสื้อพาพรรคพวกออกไปโดยมีเซี่ยหงท่าทางไม่พอใจติดตามไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากครรลองสายตาในพริบตา
เซี่ยหยู่จากไปอย่างสง่างาม เพราะการไขว้กันของมิติแบบนี้มีเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้าเขามั่นใจมากเกินไปจึงไม่ได้ขยับตัว แม้ว่าตอนนี้ต้องการที่จะจัดการเป็นการส่วนตัวแต่ก็สายเกินไป ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างเด็ดขาด
เมื่ออีกฝ่ายไปแล้วพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็สาปส่ง ก่อนจะประสานมือคารวะไปให้มู่เฉิน
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเฉวียนหมิงทำให้การโจมตีของพวกมันอ่อนแอ ข้าก็คงสกัดไม่ได้เช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบแทนความขอบคุณของพวกเขา
เมื่อเฉวียนหมิงได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าเขาไม่คิดที่มู่เฉินยกย่องตนเองเช่นนี้
“คลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่าจริงๆ ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือจะมาถึงระดับนี้” สายตาของเฉวียนหมิงดูอ่อนโยนมากขึ้น ความเย่อหยิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน
นั่นเป็นเพราะเขารู้ชัดว่าแม้ตนจะทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายอ่อนแอลง แต่คลื่นกระแทกก็ยังไม่สามารถประเมินได้ต่ำ กระทั่งว่าเขาเทหมดหน้าตักก็อาจเสียเปรียบเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกค่ายกลจำนวนมากที่มู่เฉินสร้างไว้ก่อนขัดขวางไว้
มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉวียนหมิงจะไม่มาก แต่พวกเขายืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดเกินไป
“อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว”
มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าอุโมงค์ บริเวณนั้นความผันผวนเริ่มสงบลงแล้ว เขามองเห็นรัศมีสีขาวที่ปลายทาง
“จงระวังเมื่อเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล”
ทุกคนพยักหน้า
ภายใต้การตั้งระวังของทุกคน เส้นทางอุโมงค์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกลียวแสงสีขาวพวยพุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาก็เดินผ่านทาง
ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมที่มืดมิดก็สว่างวาบ พวกเขาหรี่ตาลงก่อนที่ดวงตาพร่าจะกลับเป็นปกติแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ
พวกเขายืนอยู่บนเนินเขา ทั้งภูมิภาคเงียบสงบโดยไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่มีกลิ่นอายโบราณผันผวนระหว่างสวรรค์และโลก
มู่เฉินมองไปที่ฉากโบราณเบื้องหน้าก็ไม่สามารถหยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้
ในที่สุดเขาก็เข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วเรอะ?