หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1120

ตอนที่ 1120

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1120 รูปแบบการต่อสู้เชอหลุนจั้น
โฮก!

ค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบลานประลอง ก่อนที่มังกรตัวมหึมาจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ใจกลางค่ายกล มังกรสถิตอยู่ในค่ายกลพร้อมกับพายุคลื่นหลิงที่ครอบงำกวาดออกไปเมื่อเกิดการหายใจ

มังกรนี้มีสีเหลืองเข้ม ไม่มีสติปัญญาใดๆ ในดวงตา แต่กลับแผ่กระจายด้วยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา มู่เฉินสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ถึงความผันผวนของระลอกคลื่นหลิง

นั่นคือขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม!

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลัง มู่เฉินก็โล่งใจมาก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่พลังที่สามารถปลดปล่อยออกมาก็ยังคงน่าตกใจอย่างยิ่ง

ตามการคาดเดาของมู่เฉินหากค่ายกลสามารถเปิดใช้งานได้แบบสมบูรณ์ ก็อาจจะสามารถเรียกมังกรระดับนี้ได้ถึงสามหรือสี่ตัว แต่เวลานี้เขายังทำถึงขนาดนั้นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกพอใจที่สามารถสร้างมังกรได้แม้จะเป็นตัวเดียวก็ตาม

“ถ้าค่ายกลสมบูรณ์แบบ ก็จะมีมังกรขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเก้าตัว บวกกับการประสานพลังจากค่ายกล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็ยังต้องปวดหัวเมื่อจัดการ!” รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารพิเศษจริงๆ

หลังจากเรียกมังกรมหึมาออกมาได้ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำพูดว่า “ชี้แนะด้วย”

สีหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำเคร่งเครียดลงหลายส่วน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกล

“ตามที่ขอ”

หอกยาววาดขึ้นชี้ไปที่มังกร เงาร่างเขากลายเป็นแสงสีดำในพริบตาก็พุ่งเข้าไปในค่ายกล รังสีแสงขนาดหมื่นจั้งระเบิดออกพร้อมกับหอกซัดไปที่มังกร

โฮก!

มังกรคำรามกระโจนออกไปอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับกระแสคลื่นหลิงรุนแรงกวาดออก พุ่งไปหาศิษย์ระดับมังกรทองคำ

ตู้ม!

พลังงานสองสายปะทะกันเกิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดออก ทำให้มิติแปรปรวนตลอดเวลา

มู่เฉินมองการเผชิญหน้านี้ด้วยความหนักใจและตระหนักได้ว่าเขาประเมินความแข็งแกร่งของศิษย์ระดับมังกรทองคำต่ำเกินไป แม้จะมีมังกรของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารช่วยเหลือ ซึ่งคล้ายกับการมีองครักษ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม แต่ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ยังได้เปรียบกว่า

ในทางกลับกันหากมู่เฉินไม่เทคลื่นหลิงให้มังกรตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมันก็คงถูกศิษย์ระดับมังกรทองคำแทงทะลุไป

“สมกับเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ”

มู่เฉินถอนหายใจ จากนั้นก็กระแทกฝ่าเท้า สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนพรั่งพรูสายผนึกออกมาก่อร่างเป็นค่ายกลวงจรดาวสวรรค์!

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ดวงดาวพริบพราวก่อนที่จะตกใส่ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำ!

ตู้ม!

เมื่อฝนดวงดาวร่วงหล่นลงมา ศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ต้องชะลอการโจมตีมังกร ก่อนจะทำให้ฝนดวงดาวเหล่านั้นแตกสลาย

ดังนั้นภายใต้การโจมตีของมู่เฉิน ศิษย์มังกรทองคำต้องทนต้านรับการโจมตีจากทั้งมังกรและค่ายกลอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เข้าสู่ทางตัน

มู่เฉินมองศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ถูกดักเอาไว้ สายตาก็วูบไหวพลางนั่งลงก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ของเหลวจื้อจุนอีกสายไหลเวียนรอบร่าง

เมื่อพิจารณาจากจำนวนแล้ว นี่คือของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยหนึ่งล้านหยด

“อึดจริงๆ! ข้าคงต้องใช้กลเม็ดสักหน่อยแล้ว”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองศิษย์ระดับมังกรทองคำก่อนจะยิ้มบาง ตราประทับเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็กวาดออกมาอีกครั้ง

ขณะที่มู่เฉินเริ่มหมดพลังในการควบแน่นสัญลักษณ์หลิงยิ่ง ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เติมเต็มเข้าไปในร่างกายเพื่อลดทอนความเหนื่อยล้า

เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งแผ่ออก ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อร่างขึ้นช้าๆ นี่ก็คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอีกค่ายกลหนึ่ง!

แต่ค่ายกลที่สองนี้ใช้เวลานานกว่าเนื่องจากต้องอาศัยพลังงานภายนอก ดังนั้นจึงใช้เวลาในการสร้างเป็นสองเท่า

เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลที่สองสร้างขึ้นเรียบร้อย มังกรในค่ายกลแรกก็หดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ดวงตาก็กะพริบวูบไหวก่อนที่มังกรจะคำรามกระโจนเข้าใส่อย่างไม่กลัวตาย ทันทีที่ปะทะกับร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ระเบิดตัวเอง

ตู้ม!

คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออก ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารค่ายกลแรกถูกทำลาย ส่วนร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ได้รับความเสียหายมาก คลื่นหลิงที่ทรงพลังรอบตัวอ่อนแอลงอย่างมาก

แต่ก่อนที่ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะฟื้นตัว ก็ได้ยินเสียงมังกรคำรามอีกเสียง มังกรจากค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สองพุ่งเข้าใส่ศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างดุเดือด!

เมื่อมองการพุ่งเข้าใส่ของมังกร ใบหน้าของศิษย์ระดับมังกรทองคำก็ตะลึงงันไป เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอกับผู้ท้าทายที่หน้าด้านขนาดนี้…

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินคิดจะใช้รูปแบบการต่อสู้แบบเชอหลุนจั้นเพื่อให้เขาเหนื่อยตาย!

เผชิญหน้ากับกลยุทธ์แบบนี้ ต่อให้เขามีพลังในการต่อสู้ไม่ธรรมดา สุดท้ายก็จะหมดแรงไปเองอย่างสมบูรณ์ ส่วนมู่เฉินเพียงแค่เติมของเหลวจื้อจุนให้ตัวเองก็สามารถสร้างค่ายกลออกมาไม่สิ้นสุด!

ภายใต้สถานการณ์ต่อสู้เช่นนี้ ไม่มีใครสามารถไปรบกวนมู่เฉินได้เลย

ดังนั้นการต่อสู้ที่ยากลำบากเลยกลายเป็นขบขัน ในฐานะผู้ท้าชิงมู่เฉินไม่คิดจะเสี่ยงชีวิต กลับซ่อนตัวอยู่ไกลๆ และจัดค่ายกลขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

เขาไม่สามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารสองค่ายกลได้พร้อมกัน ดังนั้นเขาจะควบคุมค่ายกลที่สองได้หลังจากที่ค่ายกลแรกถูกทำลาย

ทว่าแม้กลยุทธ์นี้จะเป็นการชกใต้เข็มขัด แต่ก็ยังอยู่ในกฎที่วางไว้ ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ถูกยับยั้งไม่ให้ทำ เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นหลิงรอบร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็อ่อนลงเรื่อยๆ

เมื่อมังกรตัวที่สี่ระเบิดออก ร่างศิษย์ระดับมังกรทองคำก็แตกร้าว แสงซึมออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น

เมื่อมู่เฉินที่เหงื่อท่วมตัวเห็นฉากนี้ก็อดรู้สึกโล่งใจไม่ได้ เนื่องจากมือของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นจากการที่เขาสร้างค่ายกลซ้อนกันขึ้นมาตลอดเวลา

เวลานี้เขารู้สึกเวียนหัวไปหมดแล้ว ท้ายที่สุดแล้วการสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ทำให้คลื่นหลิงหมดลงเท่านั้น หากเขาหมดแรงเกินไปก็จะหมดลมแน่นอน

“ขอโทษด้วย”

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อสลายค่ายกลที่จัดเตรียมได้ครึ่งหนึ่งออกไป ศิษย์ระดับมังกรทองคำในสภาพเช่นนี้ชัดว่าหมดแรงแล้ว ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป

ถึงตอนนี้การท้ามายของเขาถือว่าประสบผลแล้ว

ตอนนี้มู่เฉินตระหนักได้ว่าซูชิงหยิงน่าจะมีสิทธิ์ในการรับป้ายมังกรทองคำ ทว่าราคาแพงระยับที่ต้องจ่ายคือการบาดเจ็บล้มตายของแมลงวิญญาณจำนวนมาก ซึ่งนางไม่เต็มใจที่จะทำแบบนั้น

ศิษย์ระดับมังกรทองคำประสานมือให้มู่เฉินกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีที่ได้เป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำของวังสวรรค์บรรพกาล”

ภาพเงาของศิษย์ระดับมังกรทองคำกระจายเป็นจุดแสง ป้ายโบราณถูกควบแน่นที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

บนป้ายมีมังกรทองขดตัวอยู่ ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง

ป้ายมังกรทองคำ!

ฮา!

มู่เฉินมองไปที่ป้ายทองอร่ามก็รู้สึกว่าร่างกายเป็นอัมพาต เขาทรุดตัวลงกล้ามเนื้อเจ็บปวดรวดร้าว สั่นระริกไปหมด การสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารออกมาเป็นชุดแบบนี้ เกินพลังเขาอย่างชัดเจน

นอกจากนี้เขายังใช้ของเหลวจื้อจุนไปถึงสามล้านหยด

แต่ก็คุ้มค่ากับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ

เมื่อมู่เฉินทรุดตัวลง มิติก็ผันผวน จากนั้นแสงสายหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉินพาเขาออกจากมิตินี้ไป

มู่เฉินรู้ว่าในที่สุดการทดสอบของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็จบลงแล้ว

ด้านนอกประตูมังกรทะยานสวรรค์

ทั่วบริเวณตกอยู่ในความสับสน แต่คราวนี้ผู้คนมองไปที่ประตูด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาตระหนักว่ามู่เฉินใช้เวลานานเกินไปแล้ว

ซึ่งเกินกว่าทุกคนก่อนหน้า

นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจและสงสัยอย่างยิ่ง มู่เฉินไปเจออะไรในนั้นถึงได้ใช้เวลานานขนาดนี้? แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่ามู่เฉินกำลังท้าทายศิษย์ระดับมังกรทองคำอยู่…

มีเพียงซูชิงหยิงที่มุ่นคิ้วขึ้นทีละน้อย รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนคาดเดาในใจ ประตูก็เกิดการเคลื่อนไหวในที่สุด ประกายแวววาวพร่างพราวออกมาก่อเป็นร่างสูงโปร่ง

ร่างนี้ก็คือมู่เฉิน

แต่เมื่อพวกเขากวาดสายตาไปที่มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลงทันที เนื่องจากพวกเขาเห็นเสาสีทองขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากร่างของมู่เฉิน ฉีกขาดฟ้าดิน

มีมังกรทองพันอยู่รอบเสา

เสียงวุ่นวายหยุดลงทันที ใบหน้าผู้คนแข็งทื่อ จากนั้นไม่นานความไม่เชื่อเข้มข้นและหวาดผวาก็ผุดขึ้นในดวงตา

“นั่น…นั่นศิษย์ระดับมังกรทองคำ? เป็นไปได้อย่างไร?!”

**车轮战 อ่านว่าเชอหลุนจั้น หมายถึงการต่อสู้แบบหลายคนผลัดขึ้นสู้กับคนคนเดียว หรือหลายกลุ่มปะทะคนกลุ่มเดียวเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามแพ้เพราะความเหนื่อย

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท