หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1114

ตอนที่ 1114

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1114 ปะทะครั้งแรก
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หญิงสาวชุดขาว

นางประดับด้วยรอยยิ้มเย็นฉ่ำน่ามอง ขณะที่รัศมีร้ายกาจที่เปล่งออกมาจากแมลงสีดำที่อยู่ข้างใต้ทำให้คนอื่นรู้สึกหนาวสั่นกระดูกสันหลัง

ความแตกต่างสุดขั้วยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลกพิกลรอบตัวนาง

ความเงียบสงบดำเนินต่อไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดออกด้วยคลื่นเสียงขนาดใหญ่ ทุกคนพากันตกตะลึงและมีความเคารพเกิดขึ้นในแววตาในเวลาเดียวกัน

“นั่นคือซูชิงหยิง!”

“นางหรือซูชิงหยิง? ช่างงดงามจริงๆ แต่ด้วงตัวนั้นดูทรงพลังมาก…”

“พูดอะไรไร้สาระ นางเป็นหลิงฉงซือ! รูปแบบการต่อสู้ของนางก็ใช้แมลงวิญญาณที่ฝึกฝนด้วยตัวเอง แมลงตัวนี้รู้สึกจะมีชื่อว่าด้วงวิญญาณสี่ปีก ซึ่งมีความเร็วมาก เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเลยทีเดียว!”

“สมกับเป็นอันดับสอง”

“…”

ความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่ว มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงด้วยสายตาเคร่งเครียด แม้ว่าเขาจะอึ้งไปกับจริตจะก้านของนาง แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงอันตรายที่เอิบอาบมาจากอีกฝ่าย

รัศมีอันตรายนั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำให้ตนเองรู้สึกถูกคุกคามอย่างหนัก

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน

แน่นอนว่าจอมยุทธ์หญิงที่มีอันดับเหนือจาโหลหลัวจะธรรมดาได้อย่างไร? แม้ว่าการจัดอันดับไม่ได้หมายความว่านางแข็งแกร่งกว่าจาโหลหลัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งของนาง

หลินจิ้งมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างใคร่รู้ แต่ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวด้วงสีดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ดูเหมือนนางมีความสนใจเกี่ยวกับแมลงวิญญาณมาก

บนท้องฟ้าซูชิงหยิงมองไปที่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากตนเองด้วยความเฉยเมย ก่อนที่ดวงตาจะปรายมองจอมยุทธ์ยี่สิบอันดับแรกที่อยู่ที่นี่

เมื่อจอมยุทธ์จอมหยิ่งเหล่านี้รู้สึกได้ว่านางกำลังจับจ้อง พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บบนพื้นผิว ก่อนที่จะแสร้งทำท่าทีสงบหลุบตาลง ความเย่อหยิ่งของพวกเขาถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่ากลัวจะไปกระตุ้นความสนใจของนางเข้า

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าหญิงคนนี้ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนี้นางยังมีนิสัยชอบปะทะกับจอมยุทธ์ทรงพลังเพื่อฝึกแมลงวิญญาณอีกด้วย

นอกเหนือจากจู้เยี่ยน จาโหลหลัวและคนอื่นๆ ที่อยู่อันดับต้นๆ คนที่เหลือส่วนใหญ่ถูกใช้ในการทดลองเพื่อฝึกแมลงวิญญาณหลังพบนางกันหมดแล้ว…

การต่อสู้กับแมลงโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรเลย

ซูชิงหยิงหยุดมองหลิ่วกุยและคนอื่นๆ แวบหนึ่งก่อนที่จะหยุดจ้องมองฉินจิงเจ๋อพลางหัวเราะเสียงระรื่น “ฉินจิงเจ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ครั้งก่อนการประลองระหว่างเจ้ากับแมลงวิญญาณของข้ายังไม่ได้ผลลัพธ์เลยนะ”

เมื่อฉินจิงเจ๋อสังเกตเห็นสายตาซูชิงหยิงจ้องมองมาร่างกายก็แข็งเกร็ง ตอบด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า ไปหาคนอื่นเถอะ”

ซูชิงหยิงยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่มู่เฉิน

“เจ้าคือมู่เฉินที่เอาชนะเซี่ยหงด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าใช่ไหม?” ซูชิงหยิงถามอย่างสงสัย

ทุกคนพุ่งความสนใจไปมองมู่เฉิน โดยที่เจ้าตัวก็ไม่คิดว่าซูชิงหยิงจะหันมาพูดด้วยทันที เขาอึ้งไปก่อนจะตอบด้วยสีหน้าใจเย็น “ก็แค่โชคดี ไม่สมควรให้แม่นางซูสนใจ”

ตัดสินจากฉินจิงเจ๋อและการแสดงออกของคนอื่น ซูชิงหยิงดูเหมือนไม่ได้ง่ายต่อการจัดการ ดังนั้นมู่เฉินก็ไม่ต้องการไปเกี่ยวข้องอะไรกับนาง

“คิกๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ไม่รู้ว่าจะขอลองสักนิดได้ไหม?” ซูชิงหยิงยิ้มพราว

ทันทีที่พูดจบนางก็โบกมือ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นแมลงวิญญาณที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง

แมลงมีสีเทาขาวราวกับว่าทำจากหินพร้อมกับขาทั้งสี่ข้างและลวดลายนับไม่ถ้วนบนพื้นผิว เปล่งคลื่นทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ

ตู้ม!

เมื่อแมลงสีเทาขาวปรากฏขึ้นก็พุ่งเข้าใส่มู่เฉิน จากนั้นก็เหวี่ยงขา ระลอกคลื่นที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไป

การโจมตีของซูชิงหยิงรวดเร็วและมู่เฉินก็ไม่คิดว่านางจะซัดกันตรงๆ แบบนี้ ดังนั้นกว่าเขาจะตั้งตัวได้ แมลงวิญญาณก็เหวี่ยงขาเข้ามาแล้ว สีหน้าเขามืดครึ้มลงทันที

โฮก!

แสงสีทองพราวระยับระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ขณะที่เสียงมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนจากร่างกาย เขาชกหมัดออกไปโดยมีกรงเล็บมังกรปกคลุมกำปั้น

ครืน!

หมัดของมู่เฉินปะทะกับด้วงวิญญาณสี่ปีกจังใหญ่ ทำให้เกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก ทำให้เปลือกโลกโดยรอบยุบตัวลง

เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป แมลงวิญญาณก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลม ถูกหมัดส่งข้ามขอบฟ้าไป

โห่!

เสียงวุ่นวายดังก้องเมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ แมลงวิญญาณมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกซัดกระเด็นไปด้วยกระบวนท่าเดียว

ทีนี้ทุกคนก็จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้โชคในการเอาชนะเซี่ยหง เขามีพลังมหาศาลอย่างแท้จริง

“น่าสนใจ”

แสงเปล่งประกายในดวงตาซูชิงหยิง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ พลางโบกมือ แมลงน้ำแข็งสีฟ้าก็บินออกมา เปล่งรัศมีหนาวเหน็บทะยานเข้าหามู่เฉิน

แมลงตัวนี้ดูจะเป็นปัญหามากกว่าตัวก่อนหน้าเสียอีก

ฟู่! ฟู่!

แต่ขณะที่แมลงพุ่งเข้ามา ผลึกเพลิงใสก็กวาดออกล้อมร่างแมลงทันท่วงที เมื่อเพลิงแผดเผาก็ทำให้แมลงดิ้นรน ก่อนจะร่นถอยกลับไปไม่กล้าพุ่งมาข้างหน้าอีก

ที่ด้านข้างจิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา ผลึกเพลิงใสลุกโชนบนฝ่ามือ นางเค้นเสียงเย็น “โจมตีผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล เจ้านี่ไร้มารยาทจริงๆ”

เห็นชัดว่าจิ่วโยวโกรธซูชิงหยิงที่เคลื่อนไหวไม่เกรงกลัว ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า ซูชิงหยิงมีเฒ่าหมื่นแมลงให้ท้าย แต่จิ่วโยวก็มีเผ่าวิหคโลกันตร์เป็นภูมิหลังเช่นกัน

“คิกๆ”

สีหน้าของซูชิงหยิงไม่ได้เปลี่ยนเพราะคำพูดของจิ่วโยว นางยิ้มบางก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง รัศมีร้ายกาจพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ทุกคนมองเห็นแมลงสีแดงเข้มบินออกมา

แมลงวิญญาณตัวนี้เหมือนตะขาบที่มีขานับพันไต่บนท้องฟ้า เมื่อปล่อยลมหายใจคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็พัดออกมาก่อร่างเป็นพายุ

เมื่อแมลงตัวนี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา “นี่คือตะขาบโลหิต ว่ากันว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดยังปวดหัวเมื่อเผชิญกับมัน”

ตู้ม!

ตะขาบโลหิตเคลื่อนผ่านอากาศตรงเข้าไปหาจิ่วโยวด้วยความเร็วที่น่ากลัว

เมื่อมู่เฉินเห็นว่าซูชิงหยิงยังไม่หยุดการกระทำ สีหน้าก็มืดครึ้มจนน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา แขนเสื้อสะบัดไปมาสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ควบแน่นเป็นสายผลึกอย่างรวดเร็ว

ถ้าต้องการปะทะกับคนอย่างซูชิงหยิง เขาก็ต้องใช้ค่ายกล

แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังเตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อสร้างค่ายกล หลินจิ้งที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวออกไปพลางยิ้มให้กับตะขาบสีแดงก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ

แสงสีดำพุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นร่างสีดำเมื่อม นี่ก็คือตุ๊กตาน้ำแข็งที่หลินจิ้งเคยใช้มาเมื่อก่อนหน้า

วาบ!

เมื่อตุ๊กตาน้ำแข็งปรากฏก็ฟันกระบี่ลงมา อากาศเย็นสุดขั้วพัดออกมาทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงทันที

เมื่อซูชิงหยิงเห็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

อากาศเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวม้วนตัวพุ่งเข้าใส่ตะขาบโลหิต ทันใดนั้นก็กัดกร่อน ทำให้ตะขาบร้องเสียงหลงขณะถอยกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่ลดน้อยลง

ซูชิงหยิงสะบัดแขนเสื้อเก็บตะขาบโลหิตทันที ความเจ็บปวดวูบไหวในดวงตานาง

“คิกๆ พี่สาว ข้าค่อนข้างสนใจแมลงวิญญาณของเจ้า เจ้าเรียกออกมาทั้งหมดเลยไหม ให้ข้าเล่นหน่อยนะ?” หลินจิ้งยิ้มตาหยีขณะมองไปที่ซูชิงหยิงพูดเสียงหวาน

สายตานางวิบวับราวกับคาดหวังในแมลงวิญญาณของซูชิงหยิงจริงๆ

ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่หลินจิ้งด้วยความตะลึงงัน เห็นได้ชัดพวกเขาไม่คิดว่าสาวงามคนนี้จะยากเกินหยั่งถึง

พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากตุ๊กตาของนาง

ซูชิงหยิงหุบรอยยิ้ม มองดูตุ๊กตาน้ำแข็งที่ยืนจังก้าเบื้องหน้าหลินจิ้ง แววตานางเคร่งขรึมลงมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นน่าจะมีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว

หากไม่หงายไพ่ทั้งหมดก็ยากที่นางจะเอาชนะ

“แม่นางนี้มาจากที่ไหนกัน…?”

สายตาของนางเปลี่ยนไป จากนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือเรียกแมลงทั้งหมดกลับมา ก่อนที่แววตาจะอ่อนโยนลงขณะมองไปที่มู่เฉิน “ก่อนหน้านี้ชิงหยิงเสียมารยาท หวังว่าพี่มู่จะไม่โกรธเคืองกันนะ”

ตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมู่เฉินไม่ง่ายอย่างที่คิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำให้พวกเขาโกรธเคือง

นางยิ้มลุแก่โทษ ทำให้หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพิลึกพิลั่น เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ซูชิงหยิงจะยอมรับความผิด

มู่เฉินไม่พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบ

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบพฤติกรรมของซูชิงหยิง แต่เขาก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับนาง แค่ต่างฝ่ายต่างตั้งระวังกันก็เพียงพอแล้ว

เมื่อทุกคนเห็นว่าทั้งสองฝ่ายถอยกลับไป พวกเขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้น่าตื่นตา… แต่พวกมู่เฉินมีความสามารถที่ทำให้ซูชิงหยิงต้องเสียเปรียบไปเล็กน้อย

สายตาที่ตกใจนับไม่ถ้วนกวาดไปที่พวกมู่เฉิน ส่วนกลุ่มชายหนุ่มก็นิ่งเงียบลงมองไปที่ประตูมังกรนิ่ง

เมื่อเวลาผ่านไปก็มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเร่งรุดมาที่นี่ จนสุดท้ายมีบางคนไม่สามารถอดกลั้นเริ่มเคลื่อนตัวไปยังประตูมังกรทะยานสวรรค์…

พวกมู่เฉินก็มุ่งความสนใจไปที่ประตูเช่นกัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท