หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1121 ศิษย์ระดับมังกรทองคำคนที่สี่
เกาะหินโดดเดี่ยวเอิบอาบด้วยรัศมีโบราณ
ล้อมรอบด้วยซากปรักหักพัง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่นี่
ตึก
เสียงฝีเท้าดังกึกก้องพร้อมกับร่างร่างหนึ่งเดินออกจากด้านข้างเกาะหิน เมื่อร่างเงานี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่แห่งนี้เดือดพล่าน
ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้ม รอยเท้าของเขาละลายก้อนหินเป็นลาวาพร้อมกับพลังทำลายล้างที่น่ากลัว
คนผู้นี้มีผมสีแดงเพลิงราวกับเปลวไฟลุกโชติช่วงในระยะไกล เขายืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยวมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็อุทานด้วยความประหลาดใจขณะที่หันหน้าออกไปด้านนอกวังโบราณก็เห็นเสาแสงทองคำพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาไม่ประหลาดใจกับลำแสงนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งได้รับมาเช่นกัน
“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคน? หรือจะเป็นซูชิงหยิง? นางเต็มใจที่ใช้แมลงวิญญาณสู้ด้วยรึ?” เขายิ้มด้วยความประหลาดใจ แต่จากนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก ฝ่าเท้ากระทืบลงไป เสาลาวาก็ทะยานขึ้นไปบนทองฟ้า เงาเขาหายวับไปในลาวา
ในเวลาเดียวกัน
ที่หอหินปรักหักพังอีกมุมหนึ่งของวังโบราณ ร่างสองร่างก็ยืนเผชิญหน้ากัน ความผันผวนของคลื่นหลิงอันน่าอัศจรรย์แผ่ออกมา ทำให้มิติถึงกับแปรปรวนไปหมด
นี่เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง
ผู้ชายรูปร่างสูงบางสวมชุดสีดำ ใบหน้าหล่อราวกับเทพสลัก ดวงตาลึกซึ้ง รอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มประดับบนใบหน้า
ยามนี้เขากำลังจ้องมองหญิงสาวงดงามที่อยู่ในระยะไกลด้วยสายตาอ่อนโยน
ร่างสะคราญโฉมสวมชุดสีสันสดใส ผมยาวเป็นลอนทำให้ดูน่าหลงใหล นางมีเอวเล็กคอดกิ่วรับกับช่วงขาเรียวยาว แต่นางกลับสวมผ้าคลุมหน้าบางๆ ปกปิดรูปลักษณ์ที่น่าทึ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงทรงเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ
หญิงสาวแผ่รัศมีเย็นเยือก ทว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความงามของนาง แต่เป็นความจริงที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำต่างหาก
“สวัสดี แม่นาง ข้าชื่อจาโหลหลัวแห่งตำหนักเทพปีศาจ ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากไหน? ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหญิงงามทรงพลังอย่างเจ้าในทวีปเทียนหลัวเลย” จาโหลหลัวยิ้มบาง
ตอนที่เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ ไม่นานความชื่นชมก็พังทลายและคนที่ทำลายก็เป็นหญิงสาวลึกลับตรงหน้านี้
นี่ทำให้จาโหลหลัวรู้สึกสงสัยจนต้องติดตามนางมาเพื่อพยายามที่จะค้นหาตัวตนของนาง ดูว่าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับนางได้ไหม
แต่ตอบสนองต่อคำถามอ่อนโยนของเขา หญิงสาวกลับกวาดสายตาเย็นชาให้และพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าเจ้ายังตามก้นข้ามาอีกละก็ ข้าจะแปลความว่าเจ้าต้องการสู้กับข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดไม่ไยดีของนาง ท่าทางของจาโหลหลัวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปพลางเงยหน้าขึ้นมองเสาแสงสีทองที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าห่างไกล
“ศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนเรอะ? จะเป็นซูชิงหยิง? หรือเซี่ยหยู่?” จาโหลหลัวมองแสงสีทองพร้อมกับริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา
หญิงสาวลึกลับก็เหลือบมองไปที่เสาแสงทองคำ แต่นางไม่ได้ให้ความสนใจมาก เท้าแตะพื้นเตรียมเคลื่อนตัวออกไป
“แม่นาง…” จาโหลหลัวร้องออกมาอีกครั้งที่เห็นนางกำลังจะไป
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ แสงเย็นก็วาววับในนัยน์ตาของหญิงสาวลึกลับ ก่อนที่นางจะสะบัดนิ้ว ลำแสงสีรุ้งก็ยิงออกมาเล็งเป้าไปที่หน้าผากของจาโหลหลัว
การจู่โจมกะทันหันทำให้ดวงตาจาโหลหลัวหรี่แคบลง เขาไม่กล้าชักช้าเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายลึกลับเพียงใด ทันใดนั้นเขาก็ชะงักฝีเท้า แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาปกคลุมร่างกายทั้งหมด ทำให้ดูเหมือนไม่สามารถทำลายได้
ปัง!
เมื่อลำแสงอยู่ห่างออกไปจากหน้าผากครึ่งชุ่นก็ถูกขัดขวางโดยแสงสีทอง แต่พลังงานน่าอัศจรรย์ที่บรรจุอยู่ภายในก็ยังทำให้ร่างของจาโหลหลัวกระตุก
เขาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเงางดงามพุ่งออกไปไกลในพริบตา
“น่าสนใจ” จาโหลหลัวยิ้มบางขณะมองไปที่ทิศทางนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง หญิงสาวลึกลับคนนี้มีภูมิหลังไม่แน่ชัด แต่ความแข็งแกร่งของนางเป็นสิ่งที่ขั้วอำนาจธรรมดาไม่สามารถเลี้ยงดูได้อย่างแน่นอน
ทว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของนางในการมาที่วังสวรรค์บรรพกาล หวังว่าจะไม่ขัดแย้งอะไรกับเขานะ ไม่งั้นคงจะปวดหัวน่าดู
“ท่านประมุขบอกว่าข้าอาจจะได้พบกับจอมยุท์ที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน ตราบใดที่ข้าสังหารอีกฝ่ายได้ ข้าถึงจะได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ” จาโหลหลัวยืนมือไพล่หลัง เสื้อคลุมสีดำปลิวไปตามสายลม ความเย็นเยียบวูบไหวในดวงตา
“หวังว่าคนที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะจะไม่อ่อนแอเกินไป ไม่งั้นคงจะน่าเบื่อจริงๆ ร่างเทพสุริยะของข้าต้องการเลือดสดของเจ้ามาสังเวย”
จาโหลหลัวส่ายหน้าแบบไม่แยแส ก่อนจะก้าวออกไป มิติสั่นสะท้านร่างเขาก็หายไป
เสาทองคำทะยานขึ้นสู้ท้องฟ้าจากประตูมังกรทะยานสวรรค์ราวกับทะลุผ่านฟ้าดินและมีมังกรตัวใหญ่ขดอยู่รอบๆ ส่งเสียงคำรามของมังกรสะเทือนไปทั่วปฐพี
ผู้คนตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ จากนั้นก็ฟื้นจากความตกใจขึ้นมาพลางอุทานลั่น
“นั่นคือเสามังกรทองคำใช่ไหม?”
“เป็นไปได้ยังไง?! มู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำเรอะ?!”
“แม้แต่ซูชิงหยิงยังทำไม่สำเร็จ มู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าทำได้อย่างไร?”
“เขาเป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง!”
“…”
เสียงอุทานดังลั่น ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้านี้ การระเบิดนี้น่ากลัวเกินไปในสายตาพวกเขา
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะทำในสิ่งที่ซูชิงหยิงทำไม่สำเร็จได้
ฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุย หวังทงเสียนรวมทั้งจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวก็มีสีหน้าแข็งทื่อ ความไม่เชื่อพล่านไปทั่วดวงตา
เมื่อพิจารณาจากพลังภายนอกพวกเขาไปไกลกว่ามู่เฉินหลายขุม โดยเฉพาะฉินจิงเจ๋อซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่ก็ได้รับการประเมินเป็นศิษย์ระดับเจียวทองคำเท่านั้น
พวกเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่ซูชิงหยิง ขณะนี้หญิงสาวกำหมัดแน่น ความตกตะลึงฉายบนใบหน้า
นางผ่านมาแล้วดังนั้นจึงรู้เกี่ยวกับการทดสอบของประตูและรู้ว่าศิษย์ระดับมังกรทองคำยากแค่ไหน แม้แต่นางก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ แต่สุดท้ายนางไม่เต็มใจที่จะยอมสูญเสีย ดังนั้นจึงเลือกถอยกลับรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรเขียวแทน
ทว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะนำหน้านาง ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำไป
นั่นหมายความว่ามู่เฉินต้องมีไพ่ตายทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้!
“เจ้านั่น!” ซูชิงหยิงกัดฟัดกรอด ครั้งนี้นางมองพลาดไป ตอนแรกนางคิดว่าจะเป็นหญิงสาวอ่อนวัยที่น่ากลัวที่สุด แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะน่าเกรงขามเช่นกัน
“เขาได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำจริงๆ”
ขณะที่ทุกคนตกตะลึง หลินจิ้งก็เงยหน้าหัวเราะคิกคัก ท่าทางไม่ได้ดูแปลกใจ เพราะแม้แต่มารดาของนางก็ยังประเมินผู้ชายคนนี้ไว้สูงมาก ดังนั้นหลินจิ้งจึงไม่เชื่อว่าแค่ป้ายมังกรทองคำจะทำให้เขาล้มเหลวได้
จิ่วโยวยิ้มพลางพยักหน้าไม่มีความแปลกใจเช่นกัน
ที่ด้านหลังพวกนางเหล่าจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือก็อึ้งกิมกี่ราวกับว่าเห็นผี แม้พวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินมีไพ่ตายเต็มแขนเสื้อ แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ
เฉวียนหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าแข็งทื่อไป หากมู่เฉินได้ตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำด้วยความสามารถที่มี นั่นก็หมายความว่าเขาซ่อนความสามารถไว้ลึกและความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏภายนอก
ความจริงนี้ทำให้เขาแตกเหงื่อพลั่ก ก่อนหน้าเขายังต้องการจะเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยนี้ แต่ตอนนั้นมู่เฉินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะแข่งขัน มิฉะนั้นขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดที่มีคงไม่พอแน่
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงสีทองบนท้องฟ้าก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นภาพเงาของมู่เฉินและรังสีสีทองควบแน่นเป็นป้ายทองคำโบราณเบื้องหน้า
มู่เฉินมองไปที่ป้ายมังกรทองคำก็คลี่ยิ้มก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ภายใต้สายตาที่กวาดผ่าน ทุกคนก็บ่ายหน้าหลบไม่กล้ามองตรงๆ ที่เขาอีกแล้ว
ฉากนี้บ่งบอกทุกคนว่ามู่เฉินเป็นพวกพยัคฆ์ซ่อน พลังที่เขาครอบครองน่าสะพรึงพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นเก้าระยะเต็มด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงระยะปลายเลย
ในโลกนี้พลังคือสิ่งที่ได้รับการเคารพเสมอ
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะดูหมิ่นมู่เฉินที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าอีกแล้ว
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับความคิดของผู้คน เขายังไม่ได้เปิดใช้งานป้ายมังกรทองคำกลับมองไปหาหลินจิ้งและจิ่วโยวและพยักหน้าให้พวกนาง
หญิงสาวทั้งสองพยักหน้า พุ่งตัวออกมาในเวลาเดียวกัน ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทะยานสวรรค์