หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1122 เข้าสู่เขตชั้นใน
เบื้องหน้าประตูมังกรทะยานสวรรค์
มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้าไป ก็ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าสงบรอคอยทั้งสอง เขาไม่ได้สนใจกับสายตาพิลึกพิลั่นที่จ้องมองมา
สายตาของผู้คนวูบไหว แม้ว่าพวกเขาจะคันปากอยากถามว่ามู่เฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูด เพราะตอนนี้มู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีพลังเท่าเดิมแค่ภายนอกเท่านั้น
แต่ซูชิงหยิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “พี่มู่ดูเหมือนจะมีพัฒนาการด้วยใช่ไหม? ยินดีด้วยนะ”
นางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เปล่งออกมาจากมู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าเขาได้พัฒนาในประตูมังกรทะยานสวรรค์ บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว
โดยปกติแล้วระดับจื้อจุนขั้นเก้าไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไรของนาง แต่ถ้าเป็นมู่เฉินนางก็ชักผวาหน่อยๆ
นอกจากนี้ซูชิงหยิงมั่นใจว่าเหตุผลข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉินเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ เขาจะต้องมีไพ่ตายทรงพลังอย่างอื่นอยู่ในมือแน่นอน
เมื่อได้ยินเสียงซูชิงหยิง มู่เฉินก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบคุณ”
ซูชิงหยิงไม่ได้เสียใจกับการตอบแบบเฉยชาของมู่เฉิน นางยังคงหรี่ตายิ้มถาม “ศิษย์ระดับมังกรทองคำยากที่จะจัดการ ไม่รู้ว่าพี่มู่เอาชนะได้อย่างไร?”
พวกฉิงจิงเจ๋อ หลิ่วกุยก็เงี่ยหูฟัง
เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ตอบเสียงราบเรียบว่า “โชคดีน่ะ”
ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารเป็นไพ่ตายของเขา ดังนั้นจึงไม่มีทางมาเปิดเผยที่นี่ หากคู่ต่อสู้รู้เรื่องพวกนี้ คงไม่มีใครให้เวลาเขาสร้างค่ายกลตอนประมือกันในอนาคตแน่
“หลอกผีไปเถอะ!”
ทุกคนสบถด่าในใจเมื่อได้ยินคำตอบ คำพูดที่ว่าเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำได้ด้วยโชคเอาไปหลอกได้แค่ผีจริงๆ แต่พวกเขาก็ทำอะไรเขาที่คิดจะปกปิดความลับไม่ได้
ซูชิงหยิงยิ้ม นางไม่คาดหวังอยู่แล้วว่ามู่เฉินจะเปิดเผยไพ่ตายตั้งแต่ต้น แต่หลังจากเหตุการณ์นี้การประเมินมู่เฉินในใจนางก็เพิ่มขึ้น คนที่คว้าตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำมาได้ ต่อให้อาศัยโชคจริงๆ ก็ต้องมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่น
จุดนี้ซูชิงหยิงที่เคยต่อสู้กับศิษย์ระดับทองคำมาก่อนรู้ดีกว่าใคร
หลังจากบทสนทนานี้ ทั่วบริเวณก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่ผู้คนจะเริ่มทะยานเข้าไปในประตูอีกครั้ง ทำให้ดูคึกคักยิ่งนัก
มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังรักษาสีหน้าสงบนิ่งรอคอยจิ่วโยวและหลินจิ้ง
เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดสายตาเขาก็เคลื่อนไหว เนื่องจากเห็นเกลียวแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับร่างร่างหนึ่งอยู่ภายใน ซึ่งนี่ก็คือจิ่วโยว
ที่เบื้องหน้าจิ่วโยว รังสีควบแน่นเป็นป้ายโบราณที่ภาพเจียวทองคำอยู่ด้านบน
นี่คือป้ายเจียวทองคำ
ความโกลาหลระเบิดในฝูงชนอีกครั้งเมื่อมองไปทางจิ่วโยวด้วยความตะลึงพรึงเพริด ภายนอกนางดูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่ได้รับป้ายเจียวทองคำ ซึ่งฉินจิงเจ๋อเป็นคนเดียวที่ได้รับมาก่อน สำหรับหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ก็ได้รับป้ายเจียวขาวเท่านั้น
นั่นหมายความว่าพลังของจิ่วโยวเหนือชั้นกว่าหลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ เสียอีก
มู่เฉินพยักหน้าไม่ได้แปลกใจอะไร เนื่องจากจิ่วโยวได้รับมรดกจากวิหคอมตะโบราณ มิหนำซ้ำยังได้รับคำแนะนำส่วนตัวจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นนางจึงมีไม้เด็ดทรงพลังเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่มู่เฉินไม่ประหลาดใจกับเรื่องที่นางได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวทองคำ
“ไม่รู้ว่าหลินจิ้งจะได้ตำแหน่งไหน?” มู่เฉินมองไปที่ประตูด้วยความสนใจ กระทั่งเขาก็ไม่สามารถตรวจสอบความลึกลับของหลินจิ้งได้อย่างเต็มที่ นางมีอาวุธล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน มิหนำซ้ำยังนำตุ๊กตาน้ำแข็งที่เทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมาได้ง่ายๆ แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่เคยลงมือเอง แต่มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูจะอ่อนแอกว่าเขา
เขาไม่ได้รอนานประมาณสิบกว่านาทีเสาแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับมังกรทองส่งเสียงคำราม
นี่คือเสามังกรทองคำอีกเสา!
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง สีหน้าท่าทางหลุดโลกไปเลย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดที่จะมีศิษย์ระดับมังกรทองคำอีกคนปรากฏขึ้นในเวลาที่ต่อจากมู่เฉินไม่นาน!
หรือว่าความยากของประตูมังกรทะยานสวรรค์ลดลงแล้วเหรอ?
ทุกคนมีความคิดนี้แวบเข้ามาในใจแต่แล้วก็ถูกระงับ เพราะยังมีจอมยุทธ์ทรงพลังมากมายเข้าไปในประตูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตัดสินจากผลลัพธ์ก็พิสูจน์ถึงความยากลำบากในบททดสอบ
แต่ละคนเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสาสีทอง แสงควบแน่นเป็นเงาร่างสะคราญโฉม ซึ่งจะเป็นใครได้นอกจากหลินจิ้ง?
“นั่นนาง”
ทุกคนหดตาลงด้วยความตกตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นหลินจิ้งเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งทรงพลังต่อกรกับซูชิงหยิงมาก่อนและรู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่านางจะได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองไปด้วย
นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินมีศิษย์ระดับมังกรทองคำสองคนและเจียวทองคำหนึ่งคน? ความจริงข้อนี้ทำให้ดวงตาทุกคู่แดงก่ำด้วยความอิจฉา
ในวังโบราณตอนนี้ ขั้วอำนาจทั้งหมดที่เข้ามามีมากเพียงใด? นอกจากนี้ต่างยังเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงไม่น้อย แต่สมาชิกที่พวกเขารวบรวมมากลับไม่สามารถสู้กับทั้งสามคนได้
เมื่อซูชิงหยิงเห็นภาพนี้ก็หดตาลงพร้อมกับความครั่นคร้ามวูบไหวในนัยน์ตาขณะมองไปที่ทั้งสาม ถ้าพวกเขาอยู่เดี่ยวๆ นางอาจไม่กลัว แต่เมื่อทั้งสามอยู่รวมกัน แม้แต่นางก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะปะทะด้วย
“สุดยอดมาก”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้หลินจิ้ง
หลินจิ้งมองไปที่ประตูอย่างพร้อมกับความปรารถนาแรงกล้า “ใช้ได้ แม้แต่ตุ๊กตาน้ำแข็งของข้าก็ไม่สามารถจัดการกับเจ้านั่นได้ ข้าเลยต้องจัดการเอง”
มู่เฉินรู้ว่านางหมายถึงศิษย์ระดับมังกรทองคำ จากการคาดเดาของเขาต่อให้หลินจิ้งนำตุ๊กตาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มออกมา ก็ยังยากที่จะเอาชนะศิษย์ระดับมังกรทองคำ ดูท่าสุดท้ายหลินจิ้งก็ได้ลงมือเอง
ดังนั้นเขาสามารถสรุปได้ว่าพลังการต่อสู้ของนางเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแน่นอน
องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง
หลังจากการท้าทายของจิ่วโยวและหลินจิ้ง พวกนางก็กลับมายืนเคียงข้างมู่เฉิน ในเวลานี้สมาชิกพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็มีผลลัพธ์กันทุกคนแล้ว ทว่าพวกเขาอยู่ในระดับธรรมดา กระทั่งจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเฉวียนหมิงก็ได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับเจียวขาวเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับมู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้งเลย
“ในเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็ไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าพรรคพวกได้รับตำแหน่งเรียบร้อย มู่เฉินก็ไม่คิดอ้อยอิ่งอยู่ต่อ
หลังจากที่เขาได้รับป้ายมังกรทองคำก็ไม่มีใครในกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือตั้งแง่กับมู่เฉินอีกแล้ว แม้แต่เฉวียนหมิงก็ยังถอนความเย่อหยิ่ง ดูสุภาพขึ้นมากเลยทีเดียว
ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย
มู่เฉินพยักหน้าให้จิ่วโยวและหลินจิ้ง จากนั้นก็หันไปประสานมือคำนับซูชิงหยิง เขากำป้ายมังกรทองคำ เกลียวแสงระเบิดออกมาห่อหุ้มร่างเขาไว้แล้วเจาะผ่านค่ายกลพุ่งเข้าไปในเขตชั้นในของวังสวรรค์บรรพกาล
ด้านหลังพรรคพวกก็ติดตามมา
ทั้งกลุ่มจากไปอย่างรวดเร็วและหายไปภายใต้การถอนหายใจของฝูงชน
เมื่อฉินจิงเจ๋อ หลิ่วกุยและคนอื่นๆ มองกลุ่มของมู่เฉินที่จากไปก็พรูลมหายใจยาวเหยียด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจากนี้ชื่อของทั้งสามจะเขย่าทวีปเทียนหลัว
ด้วยความแข็งแกร่งที่แสดงให้ประจักษ์โดยมู่เฉินและหลินจิ้ง พวกเขาคงสามารถต่อสู้กับซูชิงหยิง เซี่ยหยู่ จาโหลหลัว พวกสัตว์ประหลาดต่างๆ ได้เลยทีเดียว
การประจันหน้ากันในวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องดุเดือดเลือดพล่านแน่นอน
ซูชิงหยิงเฝ้ามองพวกมู่เฉินที่หายไปก่อนจะบิดขี้เกียจพึมพำกับตัวเอง “มู่เฉิน…เป็นคนที่น่าสนใจ ในอนาคตเราคงได้พบกันอีก ถึงตอนนั้นข้าขอดูหน่อยว่าเจ้าทำยังไงถึงได้รับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ!”
พูดจบนางก็หมดความสนใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เท้าแตะเบาๆ เสียงครางกระหึ่มก็เปล่งมาจากแมลงวิญญาณที่ด้านล่าง ป้ายมังกรเขียวก็เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าอมเขียวพานางเคลื่อนย้ายเข้าสู่ค่ายกล
เมื่อจอมยุทธ์หัวกะทิทยอยเข้าสู่เขตชั้นในแล้ว ทุกคนก็ไม่รีรอเข้าไปในประตูกันอย่างรวดเร็วเพื่อได้รับป้ายระบุตัวตน เพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
การเข้าไปในเขตชั้นในเท่านั้นถึงจะได้รับการพิจารณาว่ามาถึงวังสรรค์บรรพกาลแล้ว ในเวลานั้นถ้าพวกเขาโชคดีอาจจะเป็นเหมือนปลาคาร์พกระโจนเข้าสู่ประตูมังกร บางทีอาจสามารถต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดและสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทวีปเทียนหลัวเลยก็ได้
ทันทีที่คิดได้ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่