หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1124

ตอนที่ 1124

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1124 ทำลายค่ายกล
“นี่คือที่ตั้งของตำหนักสายลมหนึ่งในเก้าตำหนักเหรอ?”

จิ่วโยวและหลินจิ้งมองเกาะหินธรรมดาที่เบื้องหน้าพร้อมกับความสงสัยกะพริบในนัยน์ตา

ตำหนักทั้งเก้ามีสถานะที่สูงในวังสวรรค์บรรพกาล ซึ่งเป็นรองแค่เจ้าวังและเหล่าจอมพลผู้ดูแลหอเท่านั้น เมื่อเทียบกับขั้วอำนาจต่างๆ ในปัจจุบันก็เท่ากับขั้วอำนาจระดับต้นของทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว แล้วทำไมตำหนักถึงดูแสนธรรมดาขนาดนี้?

“นั่นคือจุดที่ระบุไว้บนแผนที่นะ” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะเคลื่อนเข้าไปใกล้เกาะหิน คลื่นหลิงยิงออกไป แต่เมื่อคลื่นอยู่ห่างจากเกาะหินลอยร้อยจั้ง มิติก็แปรปรวน ปราการพลังปรากฏขึ้นลบคลื่นหลิงออกไป

มู่เฉินเดินเข้าไปใกล้วางฝ่ามือบนปราการแล้วหลับตาลง ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกจากฝ่ามือ ขยายออกตามปราการที่ห่อหุ้มเกาะหิน

ใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะค่อยๆ ลืมตาแล้วยิ้มให้หญิงสาวทั้งสอง “ค่ายกลนี้ยากที่จะจัดการ แต่โชคดีที่มีช่องโหวเกิดขึ้นตามร่องรอยกาลเวลา มิฉะนั้นคงไม่มีทางสำหรับเราที่จะฝ่าไปด้วยกำลังที่มี”

เมื่อพูดจบเขาก็ตบเบาๆ ที่ค่ายกล รอยแยกหนึ่งจั้งปรากฏขึ้น

“สะดวกจริงที่มีหลินเจิ้นซือ” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินจัดการค่ายกลได้อย่างง่ายดายอย่างไร นางก็อมยิ้มแก้มตุ่ย หากเป็นพวกนางคงได้แต่ใช้กำลังในการทำลายค่ายกล ซึ่งจะเสียเวลามาก

“เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

มู่เฉินยิ้มผายมือเชื้อเชิญ จิ่วโยวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับยิ้ม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในรอยแตกโดยมีมู่เฉินปิดท้ายที่ด้านหลัง

เมื่อทั้งสามผ่านรอยแตกเข้ามาได้ก็ตระหนักว่าหมอกที่เบื้องหน้าจางหายไป ทั้งสามมองไปก็เห็นเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เกาะหินที่ตอนแรกดูธรรมดา กลายเป็นเกาะขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้งที่มีอาคารมากมายนับไม่ถ้วน! มีหอคอยหินตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเกาะ ตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุทำให้มิติบิดเบี้ยวไปมา

“นี่สินะ ตำหนักสายลมที่แท้จริง…” มู่เฉินมองเกาะหินมหึมาที่ยิ่งใหญ่ก็ถอนหายใจโล่งอก ดูท่าแผนที่จะระบุไม่ผิด เกาะหินเบื้องหน้านี้เป็นตำหนักสายลมจริงๆ

ทั้งสามสบตากันแล้วทะยานเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะหยุดที่กลางอากาศมองลงไปที่เกาะ

สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือความจริงที่ไม่มีซากปรักหักพังใดบนเกาะ อาคารต่างๆ ดูราวกับไม่มีความเปลี่ยนทั้งที่ผ่านมานับหมื่นปี

ทว่าในไม่ช้าพวกเขาก็พบสิ่งที่ผิดสังเกต

มีโครงกระดูกมากมาย ซึ่งชัดว่าเป็นของจอมยุทธ์แห่งตำหนักสายลมนี้ ทุกคนมีท่าทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับความกลัวฉาบบนใบหน้า

ความตายของพวกเขาเหมือนมาในชั่ววูบ สีหน้าถึงได้แข็งค้างไว้เช่นนี้

มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน ภายในเกาะสามารถมองทะลุปราการคลื่นหลิง ดังนั้นจึงสังเกตเห็นรอยดำบางๆ บนขอบฟ้า แม้รอยนี้จะจางมากแล้ว แต่พวกมู่เฉินก็ยังคงรู้สึกคลุมเครือว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่าจะลงมาจากที่จุดนั้นในสมัยโบราณ…

พร้อมกันนั้นจะต้องมีนักรบปีศาจที่น่าสะพรึงมากมาด้วย ภายใต้รัศมีร้ายกาจนั้นทำให้ทุกคนในตำหนักสายลมซึ่งอยู่ใกล้มากที่สุดถูกฆ่าทันที

“ว่ากันว่าตอนที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลรุกรานทวีปเทียนหลัว มีนักรบราชันปีศาจที่ทรงพลังมาด้วยและสถานะของมันก็ไม่ได้ต่ำ ท่าทางจอมยุทธ์ตำหนักสายลมจะถูกกำจัดโดยนักรบราชันปีศาจนั้น” เสียงของหลินจิ้งดังก้อง

มู่เฉินพยักหน้า วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนของจักรพรรดิฟ้าที่เป็นยอดยุทธ์ในสมัยโบราณ โดยเป็นหนึ่งในจักรพรรดิซึ่งถือได้ว่าเป็นเสาหลักของมหาพันภพ ดังนั้นหากเผ่าปีศาจต่างมิติไม่ส่งสุดยอดนักรบราชันปีศาจมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้างผลาญทวีปเทียนหลัว

“หลังจากสงครามครั้งนั้นจักรพรรดิฟ้าก็หายตัวไปพร้อมกับวังสวรรค์บรรพกาลถูกทำลาย ดูเหมือนว่าสุดท้ายพวกปีศาจจะทำสำเร็จ” จิ่วโยวถอนหายใจ

“นักรบราชันปีศาจที่มาต้องไม่ธรรมดา…” หลินจิ้งมุ่นคิ้วพลางพูดต่อ “ข้าได้ยินไม่ชัดนักจากท่านพ่อว่านักรบราชันคนนี้ได้รับการจัดอันดับสูงในหมู่เผ่าปีศาจต่างๆ ทั้งหมด แต่โชคดีที่มันหายไปพร้อมกับจักรพรรดิฟ้า ข้าว่าพวกเขาคงลากคอกันไปตายพร้อมกัน มิฉะนั้นมหาพันภพจะต้องจ่ายราคาที่มากขึ้นจากสงคราม”

หลินจิ้งไม่คิดพูดถึงสงครามในอดีตต่อ นางกวาดสายตาสำรวจแล้วเปลี่ยนหัวข้อ “ตำหนักสายลมดูเหมือนถูกกวาดจนเหี้ยนเต้ หากผู้บัญชาการตำหนักสายลมสิ้นชีพแล้วก็ไม่ยากที่เราจะคว้าป้ายมา แต่รัศมีชั่วร้ายของเผ่าปีศาจเป็นที่รู้กันดีว่าครอบงำมากและสามารถรุกรานจิตใต้สำนึกของผู้คน เมื่อรัศมีปีศาจบุกเข้ามาจิตใต้สำนึกก็จะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย ดังนั้นหวังว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะไม่ได้กลายเป็นปีศาจ…”

“หวังว่าจะไม่ซวยแบบนั้น”

มู่เฉินเบ้ปาก ไม่ว่าอย่างไรผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปีก็ไม่อาจประมาทได้ หากประหน้ากันจริงๆ ละก็งานนี้ปวดหัวหนักแน่นอน!

“ไปที่โถงกันเถอะ ที่นั่นน่าจะเป็นโถงใหญ่นะ” มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าจับจ้องไปที่ใจกลางเกาะที่มีตำหนักสีฟ้าอมเขียวล้อมรอบด้วยพายุ ถ้าเขาเดาถูก ป้ายของผู้บัญชาการตำหนักสายลมมีโอกาสปรากฏที่นั่นสูงสุด

จิ่วโยวและหลินจิ้งพยักหน้าไม่ได้คัดค้าน

มู่เฉินทะยานนำออกไป ทว่านี่เป็นการเคลื่อนตัวที่แปลกประหลาดมากเพราะสลับไปมาระหว่างเร็วกับช้า บางครั้งถึงกับเดินวนไปรอบๆ เนื่องจากเขาสามารถตรวจจับความผันผวนของค่ายกลที่ยุ่งเหยิง หากก้าวเข้าไปอาจกระตุ้นการใช้งานการป้องกันและดึงดูดปัญหาเข้ามายกใหญ่

การหลบเลี่ยงเช่นนี้ทำให้ความเร็วทั้งสามลดลง ดังนั้นหลังจากผ่านไปสิบนาทีพวกเขาถึงได้เข้าใกล้โถงหลักซึ่งล้อมไปด้วยพายุและพลิ้วตัวลงไปอย่างระมัดระวัง

“นี่คือค่ายกลระดับจงซือ”

มู่เฉินหยุดเบื้องหน้าโถงแล้วเงยหน้าขึ้นมองพายุสีฟ้าอมเขียว เพราะนี่ไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นโดยค่ายกลที่ทรงพลัง

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉินนี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือของแท้

เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป สมกับเป็นเขตในวังสวรรค์บรรพกาล แค่ค่ายกลโถงหลักของตำหนักยังอยู่ในระดับจงซือ

“ทำลายได้ไหม?” จิ่วโยวถาม

ด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายค่ายกลระดับนี้โดยพละกำลัง ดังนั้นจะต้องพึ่งพาความสามารถของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกลอย่างเดียว

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลและนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “การทำลายเป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าจะผ่านมานับหมื่นปี แต่นี่ก็ยังเป็นค่ายกลระดับจงซือ แต่ข้าสามารถลองตรวจสอบวิถีของมัน ถ้าหาช่องโหว่ได้ก็น่าจะเข้าไปได้ ไม่งั้นคงต้องยอมแพ้”

การตัดสินใจช่างเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่สามารถทำลายด้วยพละกำลัง ไม่งั้นจะต้องจ่ายราคาแพงระยับ แทนที่จะเป็นแบบนั้นก็น่าจะมองหาตำหนักที่เหลืออยู่ดีกว่า

“ระวังให้ด้วย”

มู่เฉินพูดกับทั้งสอง จากนั้นก็นั่งลงสะบัดนิ้วส่งสัญลักษณ์หลิงยิ่งออกไป

เมื่อสายผนึกเหล่านั้นเข้าใกล้ระยะร้อยจั้งที่ด้านหน้าห้องโถง ก็รวมเข้าในมิติปล่อยความผันผวนที่ไม่ธรรมดาออกมาอย่างคลุมเครือ

เมื่อจิ่วโยวและหลินจิ้งเห็นภาพนี้ก็ไปยืนอยู่ข้างหลัง หลินจิ้งโบกมือเรียกตุ๊กตาน้ำแข็งขึ้นมา ทั้งสามก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบมู่เฉินไว้

ภายใต้การปกป้อง การควบแน่นของสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ขยายตัวเร็วขึ้น หลอมรวมเข้ากับมิติอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ทำก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้น พายุดูหมือนจะถูกดึงโดยบางสิ่งเสียงโหมกระหน่ำสะท้อนก้อง พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามเลือนราง

ขณะเดียวกันแรงกดดันทรงพลังพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ก็แผ่ออกมา ทำให้ใบหน้าของจิ่วโยวและหลินจิ้งเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ หากค่ายกลโจมตี พวกนางคงต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช

แต่โชคดีที่พายุไม่ได้กระหน่ำทางทิศของพวกนาง ภายต้สายตาวิตกกังวลและความปั่นป่วนก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนทุกอย่างจะสงบลง

ทันใดนี้เองพวกนางก็เห็นมู่เฉินลืมตาขึ้น สีหน้าเขาเคร่งขรึมลง รอยเลือดปรากฏตรงปลายนิ้ว จากนั้นก็วาดลงบนอากาศเบื้องหน้าเบาๆ

ริ้วรอยเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนรอบๆ จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็เห็นปราการแสงสีฟ้าปริแตกออกเล็กน้อยที่ด้านนอกโถง

“ไป!”

มู่เฉินร้องบอกขณะทะยานเข้าไปในรอยแตกโดยที่จิ่วโยวและหลินจิ้งตามมาไม่ห่าง

เมื่อทั้งสามเข้าไป รอยแตกก็ค่อยๆ กลับคืนสภาพปกติ

ทว่าไม่นานหลังจากทั้งสามเข้าไป มิติด้านหลังก็แปรกปรวน เท้าลาวาก้าวออกมา!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท