หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1126

ตอนที่ 1126

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1126 วิธีมั่งคั่งของหลินจิ้ง
วาบ!

ขณะที่มู่เฉินคำรามก็พุ่งออกไปพร้อมกับหอกสีแดงในมือที่สั่นเทารุนแรง เขาเทคลื่นหลิงจำนวนมหาศาลลงไป หอกเปลี่ยนเป็นลำแสงที่มีความยาวร้อยจั้งซัดไปที่หน้าอกของผู้บัญชาการตำหนักสายลม

บวกกับประสิทธิภาพของหอกและชุดเกราะสงครามมังกรแดง การโจมตีของมู่เฉินก็กร้าวแกร่งมากขึ้น กระบวนท่านี้สามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดออกจากกันได้อย่างง่ายดาย

ลำแสงขยายใหญ่ขึ้นในม่านตาดำมืดของผู้บัญชาการตำหนักสายลม ก่อนที่แสงแวววาวสีดำจะระเบิดออกจากร่าง ช่างดูคล้ายกับควันพวยพุ่ง น่ากลัวอย่างผิดปกติ

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยื่นมือดำเมื่อมที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีปีศาจคว้าออกไปจับหอก ทำให้มิติตรงหน้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ฮึ่ม!

มิติแปรปรวนพร้อมกับเสียงครางกระหึ่ม ทว่าหอกแสงที่สามารถแทงร่างจอมยุท์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้อย่างง่ายดาย กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยมือสีดำจนไม่ขยับเขยื้อน

สายตาของมู่เฉินดิ่งลงเมื่อเห็นว่าหอกแสงถูกขัดขวางไว้ได้ นั่นเป็นเพราะเขารับรู้ได้ถึงพลังน่ากลัวที่อยู่ในมือนั่น

มือนั่นราวกับหลุมดำ ไม่ว่าคลื่นหลิงจะรุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจขยับเขยื้อน จนพลังเบื้องหลังต้องสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมจ้องมู่เฉินด้วยสายตาชั่วร้าย เผยรอยยิ้มหยันก่อนที่จะกำมือแน่น

ปัง!

ลำแสงถูกทำลายทันควัน

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมยกกำปั้นขึ้นจากนั้นก็เหวี่ยงออกไปทางมู่เฉินพร้อมกับรัศมีสีดำวนอยู่รอบหมัด ทำให้มิติเบื้องหน้าระเบิดออก

ตู้ม!

เกลียวแสงสีดำปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินด้วยความเร็วเหนือแสง กระแทกเข้าที่หน้าอกมู่เฉินจังใหญ่

มู่เฉินได้รับผลกระทบหนักหน่วง ร่างปลิวออกมา เสาที่อยู่ในวิถีทางก็แตกเป็นเถ้าถ่าน

ร่างของมู่เฉินกระเด็นไปนับพันจั้นก่อนที่จะทรงตัวได้ คลื่นหลิงในร่างกายพวยพุ่งสับสนปนเป เขาก้มลงมองก็เห็นบนชุดเกราะสงครามมังกรแดงส่วนหนึ่งยุบลงไป

ภาพนี้ทำให้มู่เฉินหัวใจหวั่นไหว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมทรงพลังมาก หากเขาไม่มีชุดเกราะนี้ คงได้รับบาดเจ็บหนักจากหมัดนี้หมัดเดียว

แต่ถึงกระนั้นอวัยวะภายในก็บอบช้ำ ความหวานตีขึ้นในลำคอ

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับกระแสเลือด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วน แต่จากหมัดเมื่อสักครู่เขาก็สัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังของอีกฝ่าย ผู้บัญชาการตำหนักสายลมดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุน แต่ก็ยังเหนือกว่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ตามการประมาณของเขาขุมพลังน่าจะอยู่ระหว่างสองระดับนี้

ดูเหมือนว่าช่วงเวลานับหมื่นปีทำให้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมอ่อนแอลงมาก

นี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน แม้จะมีตุ๊กตาน้ำแข็งร่วมสู้ด้วยก็ตาม

วาบ!

ขณะที่มู่เฉินผ่อนคลายในใจ ทันใดนั้นเขาก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่เบื้องหน้าก่อนที่เกลียวแสงสีดำจะพุ่งออกมาจากรอยแตกมิติ ผู้บัญชาการตำหนักสายลมปรากฏตัวที่หน้าเขา มือสีดำเมื่อมดูคล้ายกับกรงเล็บเทพความตายซัดลงบนศีรษะเขา

“ระวัง!”

เสียงตะโกนของหลินจิ้งดังก้อง ก่อนที่ไอเย็นเยียบจะพัดเข้ามา กระบี่น้ำแข็งสีฟ้าปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของมู่เฉิน พุ่งเข้าปะทะกับฝ่ามือของผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ปัง!

เมื่อกระบี่น้ำแข็งสัมผัสกับฝ่ามือก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ฝ่ามือถูกหยุดได้อึดใจเดียว จากนั้นก็ซัดลงมาต่อ

วาบ!

ทว่าขณะที่กำลังจะกดลงไปที่ศีรษะของมู่เฉินก็ทะลุผ่านไป ร่างเขากลายเป็นภาพซ้อน หลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็วภายใต้การขัดขวางในอึดใจนั้น

“ตู้ม!”

เกลียวแสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน ร่างเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังพร้อมกับดวงตะวันสีทองลุกโชติช่วงจากร่างเทพสุริยะ

ครืน!

ฝ่ามือของร่างเทพสุริยะมีของเหลวสีทองที่บรรจุด้วยพลังมหาศาลไหลอยู่ เงาฝ่ามือขนาดใหญ่โจมตีร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม

ฝ่ามือนั้นมีพลังต่อสู้เหลือล้นทั้งจากมู่เฉินและร่างเทพสุริยะ

แสงสีทองระเบิดบนร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม ทำให้ร่างถลากลับไป เกลียวแสงสีดำแล่นแปลบปลาบบนร่างเป็นลอน แต่เห็นได้ชัดว่าแม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำให้ผู้บัญชาการตำหนักสายลมได้รับบาดเจ็บหนักได้

ฉ่า! ฉ่า!

เมื่อมู่เฉินเปิดการโจมตี เพลิงผลึกใสก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลม อุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวทำให้รัศมีปีศาจรอบตัวระเหยไป เหมือนมีเสียงคำรามต่ำพร่าดังออกมาเลือนราง

เมื่อเห็นฉากนี้ จิ่วโยวที่มีเพลิงผลึกใสลุกทั่วร่างก็ดีใจ ดูเหมือนว่าเพลิงอมตะของนางจะปราบปรามผู้บัญชาการตำหนักสายลมได้เล็กน้อย

ปุ!

แต่ความปีติยินดีก็คงอยู่วูบเดียว ก่อนที่เกลียวแสงสีดำทะมึนจะพุ่งออกมาจากร่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมซึ่งดูราวกับน้ำหมึก เส้นทางผ่านแม้แต่มิติยังกลายเป็นสีดำมืดมิด ดับเพลิงที่ปกคลุมบนร่างกายทันที

เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้ว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมต่อกรยากน่าดู

วาบ!

เกลียวแสงสีดำเชี่ยวกรากพุ่งขึ้นก่อนจะเฉือนลงมา ราวกับดาบขนาดใหญ่ซัดไปทางจิ่วโยว

“เสี่ยวปิงขวางไว้!”

หลินจิ้งตะโกนสั่ง ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ปรากฏตัวเหนือร่างจิ่วโยว เบื้องหน้าอากาศเย็นควบแน่นเป็นเกราะน้ำแข็งหนา

หลินจิ้งกำมือแน่นเครื่องรางหยกหลายชิ้นปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนที่จะเหวี่ยงออก เครื่องรางหยกเหล่านั้นติดบนร่างตุ๊กตาน้ำแข็ง รวมตัวกันเป็นชั้นหยกห่อหุ้มร่างตุ๊กตาน้ำแข็งไว้

ปัง!

ใบมีดสีดำปะทะเข้ากับตุ๊กตาน้ำแข็ง ชั้นหยกแวววาวแตกออกทีละชั้น แต่การแตกตัวของทุกชั้นใบมีดสีดำก็จะอ่อนลงส่วนหนึ่ง เมื่อโจมตีมาถึงร่างตุ๊กตาน้ำแข็ง ก็เพียงแค่ทิ้งรอยลึกไว้บนชุดเกราะเท่านั้น

เมื่อมู่เฉินกับจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็สูดอากาศลึกสุดปอด พวกเขาตกใจกับข้อเท็จจริงที่ตุ๊กตาน้ำแข็งสามารถต้านทานกระบวนท่าได้และไม่ถูกทำลาย ชัดว่า…ทั้งหมดเกิดจากเครื่องรางหยก

“นั่นคือ…เครื่องรางหยกอารักษ์?”

เปลือกตามู่เฉินกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ขณะมองไปที่เครื่องรางเหล่านั้น

เขาสามารถรับรู้ได้ว่าเครื่องรางหยกทรงพลังเพียงใด เพียงหนึ่งชิ้นก็สามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ เครื่องรางเหล่านั้นถือว่าเป็นวัตถุที่สิ้นเปลือง แต่วิธีผลิตก็ยุ่งยาก ดังนั้นราคาจึงไม่ธรรมดา ถ้าคนธรรมดาสามารถครอบครองสักชิ้นหนึ่งในนั้น พวกเขาจะเก็บไว้เป็นไพ่ตายอย่างดี แต่สำหรับหลินจิ้งนางใช้ทีเป็นโหล…

การกระทำที่ฟุ่มเฟือยเหล่านั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกปวดใจแทน

หลินจิ้งกลับสงบกับเรื่องแบบนี้ พูดแบบสบายๆ ว่า “การออกมาท่องยุทธภพครั้งนี้ข้าเตรียมการมาพร้อม… ต่อไปพวกเจ้าโจมตีเต็มกำลังเลย ข้าจะใช้ตุ๊กตาน้ำแข็งปกป้องให้ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะไม่สามารถจัดการมันได้!”

เมื่อมู่เฉินกับจิ้วโยวได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง ทั้งคู่ก็พูดไม่ออกเป็นเวลานานก่อนจะยอมรับความจริงแบบหมดจดพูดพร้อมกันว่า “ยัยหีบทองเคลื่อนที่!”

เมื่อมีหีบทองเข้าร่วมศึกสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป มู่เฉินกับจิ่วโยวเทหมดหน้าตักโดยไม่สนใจใดๆ ปล่อยการโจมตีไปยังผู้บัญชาการตำหนักสายลมทุกทิศทาง ทำให้เกิดเสียงคำรามขึ้นจากเขา

เผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้บัญชาการตำหนักสายลม ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ต้านทานได้ทุกครั้ง แต่ราคาที่จ่ายเท่ากับการบริโภคเครื่องรางที่ทรงพลังกองหนึ่ง

ผู้บัญชาการตำหนักสายลมไม่มีสติปัญญาหลงเหลือ จึงไม่รู้จักหลบหลีกตุ๊กตาน้ำแข็ง ดังนั้นเขาจึงไล่โจมตีแต่ตุ๊กตาน้ำแข็งโดยไม่สนว่าร่างอีกฝ่ายปกคลุมไปเครื่องรางที่เหมือนชั้นกระดองเต่า

ดังนั้นเผชิญกับหลินจิ้งที่โยนเครื่องรางหยกออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็ไม่สามารถทนต่อความเหนื่อยล้าได้ เกลียวแสงสีดำรอบตัวเริ่มร่วงโรยไปซึ่งเกิดจากฝีมือของมู่เฉินและจิ่วโยว

ถ้าสถานการณ์นี้ยังดำเนินต่อไป สุดท้ายผู้บัญชาการตำหนักสายลมคงจะเสียพลังจนต้องสลายหายไปจริงๆ

มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันพลางถอนหายใจโล่งอก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการต่อสู้เข้มข้น แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องขบขันไปได้

ครืน!

เมื่อเวลาผ่านไปภายใต้การผลัดกันโจมตีของมู่เฉินกับจิ่วโยว ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ทันใดนั้นเขาก็ชะงักก่อนที่จะถอยฉาก ยอมแพ้กับการโจมตีตุ๊กตาน้ำแข็ง

เมื่อมู่เฉินเห็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมถอยห่างก็อึ้งไป ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนแปลงรุนแรง เนื่องจากเขาเห็นผู้บัญชาการตำหนักสายลมถอยไปที่ตั้งของพัดขนนกสีเขียว!

ความไม่สบายใจปกคลุมหัวใจของเขา

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกไม่ดี ผู้บัญชาการตำหนักสายลมก็โจนตัวขึ้นบนเสาหิน เขายื่นมือออกไปคว้าพัดขนนกสีเขียวไว้ในมือ

ตู้ม!

ทันใดนั้นพายุที่น่าสะพรึงก็ระเบิดออกจากพัดขนนก ราวกับว่าต้องการฉีกมิติออกจากกัน

นี่คืออาวุธมหสวรรค์ของแท้!

สีหน้ามู่เฉิน จิ่วโยวและหลินจิ้งเปลี่ยนไปมาก ไม่มีใครคิดว่าผู้บัญชาการตำหนักสายลมจะพุ่งไปหยิบอาวุธมหสวรรค์มาใช้

ด้วยพลังของเขาบวกกับอาวุธมหสวรรค์อีก แน่นอนว่าความแข็งแกร่งจะเทียบเคียงระดับตี้จื้อจุนอย่างแท้จริง!

ในเวลานั้นคงไร้ประโยชน์ไม่ว่าหลินจิ้งจะมีเครื่องรางป้องกันกี่ชิ้นก็ตาม

มู่เฉินขมวดคิ้วถอนหายใจ

“นี่เป็นปัญหาซะแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท