หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1132 เกาะมังกร
เปลวไฟลุกโชนปกคลุมพัดสีฟ้าอมเขียวในพริบตา
อุณหภูมิที่ลุกไหม้ทำให้พื้นที่โดยรอบแปรปรวน แม้แต่มิติก็ยังส่งสัญญาณการแผดเผาออกมา
แต่เมื่อเผชิญกับเปลวไฟลุกโชติช่วง พัดขนนกก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน แม้แต่รังสีสีฟ้าอมเขียวยังนิ่งเฉย ราวกับเปลวไฟไม่มีตัวตน
มู่เฉินไม่แปลกใจ หากสามารถชำระอาวุธมหสวรรค์ได้ง่ายดาย เขาคงจะสงสัยว่านี่เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะพัดเทพสายลมอยู่ในสถานะไร้เจ้าของ มู่เฉินคงถูกมันซัดทันทีที่ใช้ไฟเผาแล้ว
มู่เฉินมองไปที่พัดขนนกก็โบกมือสายธารของเหลวจื้อจุนปรากฏขึ้นรอบตัว หมอกหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านเติมเต็มในชั้นเจดีย์นี้
การชำระพัดเทพสายลมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นมู่เฉินจึงนำของเหลวจื้อจุนจำนวนมากออกมาเพื่อเตรียมใช้ในกระบวนการนี้
เสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง เกลียวคลื่นหลิงจากของเหลวจื้อจุนไหลเข้าไปทางนาสิกประสาทของเขา ฟื้นฟูพลังที่อ่อนล้าในร่างกาย
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปท่ามกลางการชำระอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ของเหลวจื้อจุนรอบตัวก็เริ่มเบาบางลง แม้แต่เปลวไฟก็ยังคลุมเครือขึ้น พัดสถิตอยู่ตรงกลางขณะที่หมอกลอยขึ้น พายุทอร์นาโดสีฟ้าอมเขียวขนาดเล็กกวนตัวออกมา
พายุทอร์นาโดสวยงามมาก แต่เมื่อปรากฏขึ้นพื้นที่ทั้งหมดนี้ก็สั่นสะเทือน มวลลมรุนแรงพร้อมกับกรวดหินดินทรายปลิวว่อนในท้องฟ้า…
ดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินเปิดขึ้นพลางมองไปที่พายุทอร์นาโดขนาดเล็กริ้วความสุขวูบวาบในดวงตา
พายุทอร์นาโดนี้เป็นแก่นของพัดเทพสายลม ที่มีเกลียวลมเหลืองสุดขั้วที่ถือกำเนิดจากสวรรค์ทั้งเก้าหลังจากผ่านไปนับพันนับหมื่นปี นี่เป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้พัดเทพสายลมเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้
หากเขาต้องการชำระพัดเทพสายลม เขาก็ต้องทิ้งรอยประทับไว้เบื้องหลังลมเหลืองสุดขั้ว
ฮา
มู่เฉินหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กัดลิ้นตัวเองเลือดกลั่นสายหนึ่งพุ่งออกมาซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อเลือดกลั่นพุ่งออกมาใบหน้าของมู่เฉินก็ซีดลง ชัดว่าสูญเสียพลังไปมาก
แก่นเลือดกลั่นนี้มีค่ามาก เนื่องจากได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยคลื่นพลังของเขา หากสูญเสียมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อรากฐานคลื่นพลัง หากไม่ใช่ขั้นตอนจำเป็นในการชำระอาวุธมหสวรรค์ มู่เฉินก็ไม่คิดทำเช่นนี้แน่นอน
เลือดกลั่นพุ่งไปที่ลมเหลืองสุดขั้ว แต่ไม่ได้รวมเข้ากัน เพียงแค่ลอยอยู่รอบนอก ดูเหมือนจะถูกปิดกั้นโดยบางสิ่งไม่ให้เข้าไป
เมื่อมู่เฉินเห็นใบหน้าก็ยังคงสงบลงพลางหลับตาลงอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มควบคุมเปลวไฟเพื่อปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุแผดเผาลมเหลืองสุดขั้ว
ภายใต้การเผาไหม้อย่างช้าๆ แก่นเลือดกลั่นก็เริ่มสามารถหลอมรวมเข้ากับมันได้
แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาพอสมควรดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ใจร้อน เขารอคอยเงียบๆ ตราบใดที่แก่นเลือดกลั่นสามารถหลอมรวมเข้ากับลมเหลืองสุดขั้วได้อย่างสมบูรณ์ วางรอยประทับของเขาอยู่ภายในนั้น พัดเทพสายลมก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ในเวลานั้นแม้ว่าคนอื่นจะยึดวัตุถุนี้ไปเว้นแต่จะเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังสูงกว่าเขาหลายขุม มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะลบรอยประทับของเขาออก
มากจนมู่เฉินสามารถควบคุมรอยประทับที่อยู่ภายในเพื่อทำลายแกนกลางของพัดระเบิดตัวอาวุธล้ำค่านี้ได้ พลังระเบิดนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังไม่มีช่วงเวลาที่ดี
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินต้องการใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการชำระพัดเทพสายลม… เพราะการล่อลวงของอาวุธมหสวรรค์ยิ่งใหญ่เกินไป
ตอนนี้เขาก็แค่รอให้ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์…
ขณะที่มู่เฉินชำระพัดเทพวายุ
จิ่วโยวก็ยืนอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกเจดีย์ นางยืนอยู่เงียบๆ หลับตาลง ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวสลายไป ก่อนที่นางจะยื่นมือออกไปเพื่อหมุนเวียนกระบวนท่าเรียกสายลม
นางทำความเข้าใจโดยหลับตาลง เกลียวพายุเริ่มควบแน่นกันบนท้องฟ้า ค่อยๆ รวมตัวกันรอบกายนาง
ภายใต้เกลียวพายุที่รวมตัวกัน จิ่วโยวดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าน้ำหนักตัวเองเริ่มเบาลง ความรู้สึกคล้ายกับการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าประหนึ่งสายลมที่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ระลอกคลื่นกระเพื่อมในหัวใจนาง แม้ว่าวิชาเรียกสายมนี้จะเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่อยู่ในประเภทสนับสนุน ทว่าความลึกซึ้งนั้นน่าทึ่งมาก หากนางสามารถฝึกฝนได้สำเร็จก็อาจเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเลยทีเดียว
แม้แต่คนอย่างจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนไม่มาก ก็ได้แต่กินฝุ่นใต้เท้านางเท่านั้นไม่สามารถแตะต้องนางได้
เมื่อนึกถึงภาพนี้หัวใจของจิ่วโยวก็โลดขึ้นด้วยความคาดหวัง
มู่เฉินและจิ่วโยวยุ่งกับธุระตนเอง
ส่วนหลินจิ้งที่ว่างไม่มีอะไรทำก็ดูน่าเบื่อ หลังจากวนเวียนรอบเกาะไม่เห็นสมบัติใดๆ นางก็กลับมาด้วยอารมณ์ตะบึงตะบอน
เมื่อนางกลับมาเห็นว่ามู่เฉินและจิ่วโยวเข้าสมาธิไม่สามารถรบกวนได้ ดังนั้นนางจึงรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกจากเกาะไปอย่างเงียบๆ ด้วยนิสัยแสนซน นางตั้งใจจะเดินเล่นรอบๆ และดูว่าจะเจอโอกาสอื่นๆ อีกหรือไม่
หลินจิ้งเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายพบกลุ่มคนเป็นครั้งคราว เมื่อพวกเขาเห็นสาวสวยอยู่คนเดียวก็อดเกิดความคิดไม่ดีในใจไม่ได้ แต่ในขณะที่ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นพวกเขาก็เห็นร่างที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีเย็นเยียบติดตามอยู่ด้านหลังหลินจิ้งราวกับเงาตามตัว ไอเย็นที่เปล่งออกมาจากทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงแกนกระดูก ความคิดทั้งหมดหยุดนิ่งถอยหนีจากนางจ้าละหวั่น
ภายใต้การคุ้มครองของตุ๊กตาน้ำแข็ง การเดินทางของหลินจิ้งก็ราบรื่น ไม่มีใครกล้าที่เคลื่อนไหวจัดการนาง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นางก็เก็บเกี่ยวดอกผลจากเกาะต่างๆ แต่เมื่อเทียบกับตอนอยู่กับพวกมู่เฉินก็น้อยกว่ามาก
นางไม่พอใจ สมบัติธรรมดาๆ ไม่อยู่ในสายตานาง ดังนั้นการเก็บเกี่ยวสมบัติในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้นางตื่นเต้นอะไร
แต่โชคดีที่ระหว่างค้นหาสมบัติเธอได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับที่ตั้งตำหนักมังกร
ตำหนักมังกรเป็นหนึ่งในเก้าตำหนักที่มีข่าวลือว่าติดอันดับสูงและแข็งแกร่งกว่าตำหนักสายลมที่พวกนางพบมาก่อน
เมื่อได้รับข้อมูลดังกล่าว หลินจิ้งก็เปลี่ยนทิศทางโดยไม่ลังเลพุ่งตัวไปยังเกาะตำหนักมังกร
เมื่อหลินจิ้งมาถึงที่เกาะก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีจอมยุทธ์จำนวนมากอยู่นอกเกาะและยังมีร่างแสงบินเข้ามาอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องได้รับข้อมูลและรีบมาที่นี่เช่นกัน
สถานที่แห่งนี้คึกคักมากกว่าเกาะสายลม
ทว่าหลินจิ้งก็ตระหนักได้ว่าแม้จะมีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป ตรงกันข้ามพวกเขาส่วนใหญ่หยุดอออยู่ข้างนอกไม่กล้าเข้าไป
หลินจิ้งกวาดสายตามองก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ เนื่องจากนางพบว่าเกาะนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ หมอกไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่หลินจิ้งก็จำมันได้
“พิษลมปราณมังกรนี่เอง… มิน่าถึงไม่มีใครกล้าเข้าไป” หลินจิ้งอุทานแล้วเดาะลิ้น สิ่งที่เรียกว่า ‘พิษลมปราณมังกร’ เป็นพิษร้ายแรงของเผ่ามังกรซึ่งได้รับการขัดเกลาด้วยลมปราณมังกรจึงมีความครอบงำอย่างมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็จะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชหากหายใจเข้ามากเกินไปและหากประมาทก็ทิ้งชีวิตไปได้
ทว่าหลินจิ้งไม่ได้เศร้าซึมอะไรกับเรื่องนี้ ตรงกันข้ามนางยิ้มบาง แม้พิษนี้จะสามารถขัดขวางผู้อื่นได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดนางได้
เมื่อคิดได้นางก็โบกมือเก็บตุ๊กตาน้ำแข็ง จากนั้นน้ำเต้าหยกขาวงดงามก็ปรากฏขึ้นในมือนาง ประกายสีขาวพุ่งออกมาห่อหุ้มร่างนางไว้
เตรียมตัวเสร็จแล้วหลินจิ้งก็เดินเข้าไปในเกาะภายใต้สายตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ขณะที่หลินจิ้งเข้าไปที่เกาะมังกร อีกมุมหนึ่งของเกาะร่างเงาหนึ่งก็ย่างกรายเข้าไปแบบสบายๆ ร่างนั้นสวมชุดสีรุ้งเผยให้เห็นรูปร่างน่าทึ่ง ทรวดทรงอ้อนแอ้นอรชรทำให้คนมองถึงกับคอแห้งผาก ผ้าคลุมปกปิดใบหน้างดงามเอาไว้
หญิงสาวคนนี้ปกคลุมไปด้วยความลึกลับน่าหลงใหล ทำให้ผู้คนรู้สึกมึนเมาเพียงแค่มองไป
เมื่อนางเข้าไปในเกาะมังกร งูสีรุ้งตัวเล็กๆ ก็เลื้อยออกมาบนไหล่นางดูดพิษเข้าไป พิษนี้ซึ่งแม้แต่เผ่ามังกรก็หลีกเลี่ยง กลับไม่มีผลกระทบใดๆ ต่องูน้อยตัวนี้…
ขณะที่งูน้อยดูดพิษอย่างเพลิดเพลิน ร่างสะคราญโฉมก็ค่อยๆ เดินเข้าในส่วนลึกของเกาะ