หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1131

ตอนที่ 1131

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1131 ผลประกอบการครั้งใหญ่
พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวลอยเข้ามาในฝ่ามือของมู่เฉิน

หลังจากได้รับพัดคืนมาเขาก็ไม่ใส่ใจจู้เยี่ยนอีก ขามองไปที่หลินจิ้งและจิ่วโยวด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลาแบ่งสมบัติกันแล้ว”

เขายกพัดเทพสายลมขึ้นพลางเอ่ย “สุภาพสตรีก่อน ชอบชิ้นไหนเอาไปได้เลย”

แม้ว่านี่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ แต่ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกเสียดาย เพราะใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน ท้ายที่สุดเขาก็เคยมอบอาวุธทรงพลังเช่นนี้ไปให้กับมั่นถัวหลัวเช่นกัน

จิ่วโยวและหลินจิ้งมองไปที่พัดเทพสายลมแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “เจ้าเป็นคนที่ใช้มันเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่น่ามีเจตนาร้ายใดกับเจ้า เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ครอบครองอาวุธนี้”

สิ่งที่พวกนางพูดไม่ผิด เนื่องจากเขาได้รับผนึกควบคุมจากพัดเทพสายลมจึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคนและอาวุธแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการครอบครอง พัดนี่ก็คงไม่ปฏิเสธเขา

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำตอบของพวกนาง เขาก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มช่วยอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้ปฏิเสธพวกนาง ผงกศีรษะพร้อมกับกำพัดไว้ในมือ “งั้นคราวนี้ข้าขอละกัน”

“แล้วนั่นล่ะ?” มู่เฉินชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์หยกที่ลอยอยู่กับสระของเหลวจื้อจุน

“ดูก่อนว่าคืออะไร” จิ่วโยวโบกมือ ม้วนคัมภีร์หยกก็ลอยลงมาตกในมือ นางหลับตาตรวจดูสั้นๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่เรียกว่ากระบวนท่าเรียกสายลม สามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงให้เป็นมวลลม ทำให้ผู้ฝึกสามารถเดินทางไปกับสายลมด้วยความเร็วชนิดเหนือแสง…”

ในฐานะที่เป็นวิหคอนธโลกันตร์ความเร็วของจิ่วโยวเรียกว่ารวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการได้รับคำชมจากนาง… จะต้องเป็นความเร็วที่น่ากลัวมากแน่ๆ

มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย วิทยายุทธระดับเสินทงนี้เหมือนจะออกแนวเป็นกระบวนท่าสนับสนุน แต่เมื่อเทียบกับวิทยายุทธประเภทโจมตี ชัดว่ามูลค่าของกระบวนท่าเรียกสายลมนี้สูงกว่า

เพราะตราบใดที่ฝึกฝนกระบวนท่านี้ พวกเขาก็จะมีหลักประกันในชีวิต หากพบศัตรูที่ยากลำบาก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีได้

ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน หากเขาฝึกฝนกระบวนท่านี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็สามารถหนีไปได้

นี่เป็นสมบัติดีเยี่ยมแท้จริง

แต่เนื่องจากเขารับพัดเทพสายลมแล้ว เขาก็ไม่มีความโลภที่จะรับของเพิ่มอีก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองได้เลือก

“วิทยายุทธที่เอาไว้หนีตาย ข้าไม่ชอบเลย” หลินจิ้งจือปากขณะที่พูดด้วยท่าทางไม่แสแย เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงแบบนี้

จิ่วโยวยิ้มพึงใจให้หลินจิ้ง เนื่องจากนางรู้ว่าหลินจิ้งปล่อยให้โดยตั้งใจ เพราะว่าในบรรดาทั้งสามนางเหมาะกับกระบวนท่านี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้ความเร็วของนางจะเพิ่มขึ้นสูงจนน่ากลัว ซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถตามทันได้

“งั้นถ้าข้าปฏิเสธคงไม่สุภาพ” จิ่วโยวประสานมือกำม้วนคัมภีร์เรียกสายลมไว้ในมือ

“งั้นสระนี่ก็เป็นของข้า” หลินจิ้งยิ้มบางขณะสะบัดนิ้ว ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ทะยานออกไปก่อนที่จะใช้กระบี่ยาวขุดสระออกมา จากนั้นหลินจิ้งก็โบกมือเก็บของเหลวจื้อจุนทั้งสระไป

หากสระนี้ถูกกลั่นออกมาก็น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงไม่ได้เสียเปรียบอะไร

หลังจากแบ่งของกันเรียบร้อย มู่เฉินก็พยักหน้าพึงพอใจ พวกเขามีผลประกอบการดีมากในครั้งนี้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุ ถ้าชายคนนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเรื่อง ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบกว่านี้

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินมองไปที่โถงว่างเปล่าที่เหลือทิ้งไว้ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

จิ่วโยวและหลินจิ้งไม่มีคำคัดค้านใดๆ พลางพยักหน้า

ตอนนี้จู้เยี่ยนกำลังนั่งหลับตาอยู่ในพายุ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการกระจายสมบัติของกลุ่มมู่เฉินเมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจออกไปพร้อมกับจิ่วโยวและหลินจิ้ง

เมื่อทั้งสามไปแล้ว จู้เยี่ยนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังทิศทางที่กลุ่มมู่เฉินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบางที่มุมปาก

“มู่เฉิน…ช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เราจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

ด้านนอกตำหนักสายลม

ทันใดนั้นรอยแตกเล็กๆ ก็ฉีกออกในค่ายกล คนสามคนเยื้องย่างออกมาพร้อมกับพายุเริ่มกวนตัวใหม่อีกครั้ง

ที่เกาะแห่งนี้มีคนหลายกลุ่มสังเกตเห็นแล้ว เสียงลมแหวกอากาศดังอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังค้นหาสมบัติ

ในบางครั้งก็จะมีเสียงความสุขแว่วมา ดูเหมือนว่ามีผู้โชคดีได้พบสมบัติบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล

นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มเฝ้าอยู่ด้านนอกโถงใหญ่ แต่สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลที่น่ากลัวซึ่งปกคลุมโถงด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไป

ดังนั้นเมื่อกลุ่มมู่เฉินเดินออกมา ทุกคนก็มองมาด้วยความโลภในดวงตา

ใครก็บอกได้ว่าต้องมีสมบัติอยู่ในโถงนี้ เนื่องจากทั้งสามสามารถเดินออกไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าต้องได้รับสมบัติเหล่านั้นมา

วาบ!

แต่ขณะที่ความโลภเพิ่มขึ้นในใจ แสงวาบเย็นก็พุ่งออกมาพร้อมกับความหนาวเย็นสุดขั้วปกคลุมพื้นด้วยชั้นน้ำแข็ง

ทุกคนตกใจก่อนที่จะถอยหนีแสงเย็นอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่หุ่นที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือกที่ยืนจังก้าต่อหน้าทั้งสามคน

เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากหุ่นเงา ทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสี

“นั่นเป็นหุ่นเงาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…” หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านเมื่อเห็น จากนั้นก็หลบหลีกออกไปอย่างเด็ดขาด กลุ่มที่สามารถครอบครองหุ่นระดับนี้ไม่ใช่กลุ่มที่พวกเขาสามารถรุกรานได้

“แต่ละคนจมูกแหลมกันน่าดู” เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างแสงบนท้องฟ้าก็ถอนหายใจ พวกเขาเหมือนจะไม่ได้เข้าไปนานเท่าไร ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากพบเจอตำหนักสายลม

โชคดีสมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักสายลมอยู่ในมือพวกเขา ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ดีสำหรับพวกเขาก็คือดันไปทำให้จู้เยี่ยนขุ่นเคืองใจ ซึ่งทำให้มู่เฉินเบ้ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อจิ่วโยวเห็นท่าทางนั่น นางก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวจะไม่เป็นมิตรกับเจ้าเลย เจ้าเป็นพวกตัวปัญหาจริงๆ”

มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกล้อเลียนตัวเอง เพราะสิ่งที่จิ่วโยวพูดไม่ใช่เกินจริง เขาตัดแขนเซี่ยหงไปข้างหนึ่งซึ่งเซี่ยหยู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ สำหรับจาโหลหลัวกาหน้าว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับซูชิงหยิงก็เป็นคนที่ไม่เปิดเผยความคิดและมีอารมณ์แปรปรวน ซ้ำตอนนี้… ยังสร้างความไม่พอใจให้จู้เยี่ยนอีกด้วย

ถ้าเป็นคนอื่นแค่ทำให้หนึ่งในนี้ขุ่นเคืองก็คงกลัวจนหลอน แต่เขาทำให้ทั้งหมดขุ่นเคือง กระทั่งมู่เฉินยังต้องชื่นชมความสามารถในการเรียกปัญหาของตัวเอง

แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียใจ อย่างจู้เยี่ยนหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้

เขาสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมากในเส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้ายเสมอ คู่ต่อสู้ในอดีตทั้งหมดถูกทิ้งไว้ด้านหลัง

ในอนาคตมู่เฉินเชื่อว่าก็จะเป็นเช่นเดิม…

มู่เฉินยิ้มบางความกลัวไม่มีในดวงตาแทนที่ด้วยความมั่นใจราวกับกระบี่ออกจากฝัก หากเขาไม่มีแม้แต่ความมั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องเดินต่อในเส้นทางของยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่

“ไปกันเถอะ หาที่พักกันสักหน่อย” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสองขณะพูด พวกเขาผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่และเขาได้บีบคั้นคลื่นหลิงออกไปมาก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ต้องการฟื้นฟูให้เร็ว นอกจากนี้ยังต้องชำระพัดเทพสายลมเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาขโมยไปจากเขาได้ง่ายๆ อีก

จิ่วโยวพยักหน้า เนื่องจากนางมีความตั้งใจที่จะศึกษากระบวนท่าเรียกสายลมเช่นกัน ส่วนหลินจิ้งก็ไม่ขัดข้องอะไร

ดังนั้นทั้งสามจึงออกจากเกาะตำหนักสายลม ค้นหาเกาะห่างไกลที่ไม่มีพลังงานปกป้อง เป็นเกาะธรรมดาที่คนอื่นๆ มองข้ามไป

ทั้งสามเข้าไปในเจดีย์ปรักหักพังบนเกาะ

มู่เฉินนั่งลงที่ชั้นแรกและสร้างค่ายกลป้องกันขนาดเล็ก เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็หายใจเข้าลึกนำพัดขนนกมาถือไว้ในมือ

มู่เฉินจ้องมองไปที่พัดขนนกสีฟ้าอมเขียว สายตาก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ หลังจากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี่อาวุธมหสวรรค์ชิ้นที่สองที่เขาได้รับ ทว่าพลังของพัดเทพสายลมน่าจะด้อยกว่าพีระมิดแสงดาว แต่มู่เฉินก็ไม่แปลกใจ เพราะพีระมิดแสงดาวทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่ ในขณะที่พัดเทพสายลมถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักสายลม สถานะทั้งสองนี้มีช่องว่างกว้างใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาล

แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้มู่เฉินชื่นชมยินดีในใจ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้บรรลุระดับตี้จื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ที่ทรงพลังจะไร้ประโยชน์ในมือเขา

ในทางกลับกันเขาน่าจะพอใช้พัดเทพสายลมด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาได้

ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟค่อยๆ ห่อหุ้มพัดเทพสายลม…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท