หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1131 ผลประกอบการครั้งใหญ่
พัดขนนกสีฟ้าอมเขียวลอยเข้ามาในฝ่ามือของมู่เฉิน
หลังจากได้รับพัดคืนมาเขาก็ไม่ใส่ใจจู้เยี่ยนอีก ขามองไปที่หลินจิ้งและจิ่วโยวด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลาแบ่งสมบัติกันแล้ว”
เขายกพัดเทพสายลมขึ้นพลางเอ่ย “สุภาพสตรีก่อน ชอบชิ้นไหนเอาไปได้เลย”
แม้ว่านี่จะเป็นอาวุธมหสวรรค์ แต่ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกเสียดาย เพราะใช่ว่าจะไม่เคยเห็นอาวุธแบบนี้มาก่อน ท้ายที่สุดเขาก็เคยมอบอาวุธทรงพลังเช่นนี้ไปให้กับมั่นถัวหลัวเช่นกัน
จิ่วโยวและหลินจิ้งมองไปที่พัดเทพสายลมแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “เจ้าเป็นคนที่ใช้มันเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่น่ามีเจตนาร้ายใดกับเจ้า เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ครอบครองอาวุธนี้”
สิ่งที่พวกนางพูดไม่ผิด เนื่องจากเขาได้รับผนึกควบคุมจากพัดเทพสายลมจึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างคนและอาวุธแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการครอบครอง พัดนี่ก็คงไม่ปฏิเสธเขา
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำตอบของพวกนาง เขาก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มช่วยอะไรไม่ได้ เขาไม่ได้ปฏิเสธพวกนาง ผงกศีรษะพร้อมกับกำพัดไว้ในมือ “งั้นคราวนี้ข้าขอละกัน”
“แล้วนั่นล่ะ?” มู่เฉินชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์หยกที่ลอยอยู่กับสระของเหลวจื้อจุน
“ดูก่อนว่าคืออะไร” จิ่วโยวโบกมือ ม้วนคัมภีร์หยกก็ลอยลงมาตกในมือ นางหลับตาตรวจดูสั้นๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ “นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นเล็กที่เรียกว่ากระบวนท่าเรียกสายลม สามารถเปลี่ยนคลื่นหลิงให้เป็นมวลลม ทำให้ผู้ฝึกสามารถเดินทางไปกับสายลมด้วยความเร็วชนิดเหนือแสง…”
ในฐานะที่เป็นวิหคอนธโลกันตร์ความเร็วของจิ่วโยวเรียกว่ารวดเร็วตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นการได้รับคำชมจากนาง… จะต้องเป็นความเร็วที่น่ากลัวมากแน่ๆ
มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย วิทยายุทธระดับเสินทงนี้เหมือนจะออกแนวเป็นกระบวนท่าสนับสนุน แต่เมื่อเทียบกับวิทยายุทธประเภทโจมตี ชัดว่ามูลค่าของกระบวนท่าเรียกสายลมนี้สูงกว่า
เพราะตราบใดที่ฝึกฝนกระบวนท่านี้ พวกเขาก็จะมีหลักประกันในชีวิต หากพบศัตรูที่ยากลำบาก แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีได้
ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน หากเขาฝึกฝนกระบวนท่านี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เขาก็สามารถหนีไปได้
นี่เป็นสมบัติดีเยี่ยมแท้จริง
แต่เนื่องจากเขารับพัดเทพสายลมแล้ว เขาก็ไม่มีความโลภที่จะรับของเพิ่มอีก ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองได้เลือก
“วิทยายุทธที่เอาไว้หนีตาย ข้าไม่ชอบเลย” หลินจิ้งจือปากขณะที่พูดด้วยท่าทางไม่แสแย เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจวิทยายุทธระดับเสินทงแบบนี้
จิ่วโยวยิ้มพึงใจให้หลินจิ้ง เนื่องจากนางรู้ว่าหลินจิ้งปล่อยให้โดยตั้งใจ เพราะว่าในบรรดาทั้งสามนางเหมาะกับกระบวนท่านี้ที่สุด ด้วยเหตุนี้ความเร็วของนางจะเพิ่มขึ้นสูงจนน่ากลัว ซึ่งแม้แต่มู่เฉินก็ไม่สามารถตามทันได้
“งั้นถ้าข้าปฏิเสธคงไม่สุภาพ” จิ่วโยวประสานมือกำม้วนคัมภีร์เรียกสายลมไว้ในมือ
“งั้นสระนี่ก็เป็นของข้า” หลินจิ้งยิ้มบางขณะสะบัดนิ้ว ตุ๊กตาน้ำแข็งก็ทะยานออกไปก่อนที่จะใช้กระบี่ยาวขุดสระออกมา จากนั้นหลินจิ้งก็โบกมือเก็บของเหลวจื้อจุนทั้งสระไป
หากสระนี้ถูกกลั่นออกมาก็น่าจะมีมูลค่าหลายสิบล้านหยดของเหลวจื้อจุนซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงไม่ได้เสียเปรียบอะไร
หลังจากแบ่งของกันเรียบร้อย มู่เฉินก็พยักหน้าพึงพอใจ พวกเขามีผลประกอบการดีมากในครั้งนี้
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่จู้เยี่ยนที่ติดอยู่ในพายุ ถ้าชายคนนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเรื่อง ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบกว่านี้
“ไปกันเถอะ”
มู่เฉินมองไปที่โถงว่างเปล่าที่เหลือทิ้งไว้ ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
จิ่วโยวและหลินจิ้งไม่มีคำคัดค้านใดๆ พลางพยักหน้า
ตอนนี้จู้เยี่ยนกำลังนั่งหลับตาอยู่ในพายุ เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการกระจายสมบัติของกลุ่มมู่เฉินเมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจออกไปพร้อมกับจิ่วโยวและหลินจิ้ง
เมื่อทั้งสามไปแล้ว จู้เยี่ยนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังทิศทางที่กลุ่มมู่เฉินออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบางที่มุมปาก
“มู่เฉิน…ช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เราจะได้พบกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
ด้านนอกตำหนักสายลม
ทันใดนั้นรอยแตกเล็กๆ ก็ฉีกออกในค่ายกล คนสามคนเยื้องย่างออกมาพร้อมกับพายุเริ่มกวนตัวใหม่อีกครั้ง
ที่เกาะแห่งนี้มีคนหลายกลุ่มสังเกตเห็นแล้ว เสียงลมแหวกอากาศดังอยู่ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ากำลังค้นหาสมบัติ
ในบางครั้งก็จะมีเสียงความสุขแว่วมา ดูเหมือนว่ามีผู้โชคดีได้พบสมบัติบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในวังสวรรค์บรรพกาล
นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มเฝ้าอยู่ด้านนอกโถงใหญ่ แต่สายตาจับจ้องไปที่ค่ายกลที่น่ากลัวซึ่งปกคลุมโถงด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าก้าวเท้าเข้าไป
ดังนั้นเมื่อกลุ่มมู่เฉินเดินออกมา ทุกคนก็มองมาด้วยความโลภในดวงตา
ใครก็บอกได้ว่าต้องมีสมบัติอยู่ในโถงนี้ เนื่องจากทั้งสามสามารถเดินออกไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าต้องได้รับสมบัติเหล่านั้นมา
วาบ!
แต่ขณะที่ความโลภเพิ่มขึ้นในใจ แสงวาบเย็นก็พุ่งออกมาพร้อมกับความหนาวเย็นสุดขั้วปกคลุมพื้นด้วยชั้นน้ำแข็ง
ทุกคนตกใจก่อนที่จะถอยหนีแสงเย็นอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่หุ่นที่ปกคลุมไปด้วยไอเย็นยะเยือกที่ยืนจังก้าต่อหน้าทั้งสามคน
เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากหุ่นเงา ทั้งหมดก็หน้าเปลี่ยนสี
“นั่นเป็นหุ่นเงาระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม…” หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านเมื่อเห็น จากนั้นก็หลบหลีกออกไปอย่างเด็ดขาด กลุ่มที่สามารถครอบครองหุ่นระดับนี้ไม่ใช่กลุ่มที่พวกเขาสามารถรุกรานได้
“แต่ละคนจมูกแหลมกันน่าดู” เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างแสงบนท้องฟ้าก็ถอนหายใจ พวกเขาเหมือนจะไม่ได้เข้าไปนานเท่าไร ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากพบเจอตำหนักสายลม
โชคดีสมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดของตำหนักสายลมอยู่ในมือพวกเขา ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่ดีสำหรับพวกเขาก็คือดันไปทำให้จู้เยี่ยนขุ่นเคืองใจ ซึ่งทำให้มู่เฉินเบ้ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อจิ่วโยวเห็นท่าทางนั่น นางก็เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางอดยิ้มไม่ได้ “ดูเหมือนว่าสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวจะไม่เป็นมิตรกับเจ้าเลย เจ้าเป็นพวกตัวปัญหาจริงๆ”
มู่เฉินส่งเสียงขึ้นจมูกล้อเลียนตัวเอง เพราะสิ่งที่จิ่วโยวพูดไม่ใช่เกินจริง เขาตัดแขนเซี่ยหงไปข้างหนึ่งซึ่งเซี่ยหยู่ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ สำหรับจาโหลหลัวกาหน้าว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับซูชิงหยิงก็เป็นคนที่ไม่เปิดเผยความคิดและมีอารมณ์แปรปรวน ซ้ำตอนนี้… ยังสร้างความไม่พอใจให้จู้เยี่ยนอีกด้วย
ถ้าเป็นคนอื่นแค่ทำให้หนึ่งในนี้ขุ่นเคืองก็คงกลัวจนหลอน แต่เขาทำให้ทั้งหมดขุ่นเคือง กระทั่งมู่เฉินยังต้องชื่นชมความสามารถในการเรียกปัญหาของตัวเอง
แต่ถึงแม้เขาจะรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสียใจ อย่างจู้เยี่ยนหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก มู่เฉินก็ไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการเดียวกันนี้
เขาสร้างความไม่พอใจให้คนจำนวนมากในเส้นทางการเป็นยอดยุทธ์ แต่สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่หัวเราะคนสุดท้ายเสมอ คู่ต่อสู้ในอดีตทั้งหมดถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
ในอนาคตมู่เฉินเชื่อว่าก็จะเป็นเช่นเดิม…
มู่เฉินยิ้มบางความกลัวไม่มีในดวงตาแทนที่ด้วยความมั่นใจราวกับกระบี่ออกจากฝัก หากเขาไม่มีแม้แต่ความมั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องเดินต่อในเส้นทางของยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่
“ไปกันเถอะ หาที่พักกันสักหน่อย” มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวทั้งสองขณะพูด พวกเขาผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่และเขาได้บีบคั้นคลื่นหลิงออกไปมาก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ต้องการฟื้นฟูให้เร็ว นอกจากนี้ยังต้องชำระพัดเทพสายลมเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาขโมยไปจากเขาได้ง่ายๆ อีก
จิ่วโยวพยักหน้า เนื่องจากนางมีความตั้งใจที่จะศึกษากระบวนท่าเรียกสายลมเช่นกัน ส่วนหลินจิ้งก็ไม่ขัดข้องอะไร
ดังนั้นทั้งสามจึงออกจากเกาะตำหนักสายลม ค้นหาเกาะห่างไกลที่ไม่มีพลังงานปกป้อง เป็นเกาะธรรมดาที่คนอื่นๆ มองข้ามไป
ทั้งสามเข้าไปในเจดีย์ปรักหักพังบนเกาะ
มู่เฉินนั่งลงที่ชั้นแรกและสร้างค่ายกลป้องกันขนาดเล็ก เมื่อทำทุกอย่างเสร็จก็หายใจเข้าลึกนำพัดขนนกมาถือไว้ในมือ
มู่เฉินจ้องมองไปที่พัดขนนกสีฟ้าอมเขียว สายตาก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ หลังจากพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจนี่อาวุธมหสวรรค์ชิ้นที่สองที่เขาได้รับ ทว่าพลังของพัดเทพสายลมน่าจะด้อยกว่าพีระมิดแสงดาว แต่มู่เฉินก็ไม่แปลกใจ เพราะพีระมิดแสงดาวทิ้งไว้โดยท่านจอมพลสี่ ในขณะที่พัดเทพสายลมถูกทิ้งไว้โดยผู้บัญชาการตำหนักสายลม สถานะทั้งสองนี้มีช่องว่างกว้างใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาล
แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้มู่เฉินชื่นชมยินดีในใจ เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้บรรลุระดับตี้จื้อจุน ดังนั้นอาวุธมหสวรรค์ที่ทรงพลังจะไร้ประโยชน์ในมือเขา
ในทางกลับกันเขาน่าจะพอใช้พัดเทพสายลมด้วยขุมพลังในปัจจุบันของเขาได้
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงพุ่งออกมาราวกับเปลวไฟค่อยๆ ห่อหุ้มพัดเทพสายลม…