หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1136

ตอนที่ 1136

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1136 อสรพิษกลืนฟ้า
“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

พูดจบมู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นในมือ ขณะที่เกลียวแสงพวยพุ่ง ผนึกหลิงยิ่งก็กลั่นตัวยิงเข้าไปในอากาศผสมผสานเข้ากับชั้นบรรยากาศภายใน

ค่ายกลศพวิญญาณไม่ธรรมดา ตามการคาดการณ์อาจถือได้ว่าเป็นค่ายกลระดับจงซือหากอยู่ในสถานะสมบูรณ์ แต่โชคดีที่มันได้รับความเสียหายจากกาลเวลาจนเกิดตำหนิอยู่ภายในมาก นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือ

เมื่อผนึกหลิงยิ่งรวมเข้ากับค่ายกลอย่างต่อเนื่องก็ค่อยๆ ผันผวน บางส่วนของขบวนแถวแสงหยุดชะงักจางหายไป

มู่เฉินไม่ได้ทำลายค่ายกลอย่างสมบูรณ์เพราะจะเสียเวลามากเกินไป เขาเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดซึ่งก็คือทำลายแกนบางส่วนทำให้เกิดการกระจัดกระจายซึ่งจะเสียสมดุลและพังทลายลงเอง

ขณะที่ค่ายกลศพวิญญาณแปรปรวน ดวงตาของเซียวเซียวก็สว่างขึ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอัศจรรย์ใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเส้นทางศาสตร์ค่ายกลจนมาถึงจุดนี้

ฮึ่ม ฮึ่ม

การสั่นสะเทือนแผ่เป็นระลอกเนื่องจากความผันผวนของคลื่นหลิงที่บิดเบี้ยวมาจากค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดค่ายกลก็ไม่สามารถยึดติดไว้ได้อีกต่อไป แตกเป็นเสี่ยงๆ จากการระเบิด

คลื่นหลิงกวาดออกไปในท้องฟ้า รัศมีความตายกวาดออกไปพร้อมกับการทำลายล้างของค่ายกล ทำให้สวรรค์และโลกเย็นเยือกลงทันที

แต่โชคดีที่พวกเขาเตรียมพร้อม หมุนเวียนพลังงานเพื่อปกป้องร่างกายไม่ปล่อยให้รัศมีความตายโจมตีเข้ามาได้

คลื่นกระแทกจากรัศมีความตายกินเวลาหลายนาทีก่อนจะสลายไป หญิงสาวทั้งสามมองไปข้างหน้าด้วยความยินดี ยามนี้ค่ายกลศพวิญญาณจางหายไปอย่างสมบูรณ์

“ไม่เลวๆ ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง ท่าทางข้าคงต้องมองเจ้าในแง่มุมใหม่แล้ว” เซียวเซียวยิ้มเบาๆ นางพอใจกับวิธีของมู่เฉินมาก ถ้าต้องทำเองนางอาจต้องใช้วิธีที่ลำบากที่สุดก็คือทำลายค่ายกลอย่างรุนแรง แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพจะต่ำ ถ้าเกิดทำลายไข่มุกจิตตะมังกรไปด้วย ทุกอย่างก็ไม่คุ้มค่าแล้ว

“ยังมีศพมังกรวิเทศอยู่” มู่เฉินชี้ไปที่มังกรบนพื้น นั่นเป็นตัวปัญหาอีกหนึ่งเนื่องจากรัศมีความตายครอบงำอย่างมาก หากรัศมีความตายบุกเข้าสู่ร่างกายก็จะสร้างความเสียหายให้พวกเขามากแน่นอน

“ให้ข้าจัดการเอง” เซียวเซียวยิ้มบางทำให้ดูงดงามราวกับเทพธิดาปั้นแต่งจากสวรรค์และโลก นางยื่นมือออกไปวางงูเจ็ดสีลงแล้วตบหัวมันเบาๆ

วาบ!

งูเจ็ดสีชูคอขึ้นทันที กลายเป็นริ้วแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นเหนือร่างศพมังกรในพริบตา

โฮก!

แม้ว่ามังกรจะไม่มีชีวิตแล้ว แต่ก็ยังมีสัญชาตญาณดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามลึกพลางอ้าปากกว้าง รัศมีความตายสีเทาพุ่งออกมา ทำให้พื้นที่ที่ถูกรัศมีความตายกวาดใส่มืดมนลง

ทว่าเจ้างูเจ็ดสีไม่ได้เคลื่อนไหวเมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีความตาย เมื่อรัศมีห่อหุ้มเข้ามางูน้อยก็ค่อยๆ อ้าปากแสงสีดำควบแน่นอยู่ภายใน

ซู้ด!

แม้ว่าปากของงูเจ็ดสีจะไม่ใหญ่ แต่ตอนนี้ก็ราวกับหลุมดำ แรงดูดน่ากลัวระเบิดออกมากลืนกินรัศมีความตายรุนแรงเข้าสู่ร่างกายในอึกเดียว

หลังจากกลืนกินรัศมีความตายรุนแรง งูเจ็ดสีก็ไม่แสดงอาการถูกกัดกร่อนยังคงดูร่าเริงมีชีวิตชีวา

เมื่อมู่เฉิน หลินจิ้งและจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็ต้องตกใจ งูเจ็ดสีน่ากลัวถึงขนาดนี้เชียว มันสามารถกลืนกินรัศมีความตายได้เลยเรอะ?

ฟ่อ ฟ่อ!

หลังจากกลืนกินรัศมีความตาย งูเจ็ดสีก็อ้าปากพร้อมส่งเสียงขู่ฟ่อ หลุมดำหมุนคว้างพร้อมกับแสงระยับสีดำพุ่งออกมามัดเข้ากับมังกรก่อนที่แรงดูดจะระเบิดออกค่อยๆ ดึงร่างมังกรเข้าไปในหลุมดำ

แม้ว่ามังกรจะต่อสู้ดิ้นรนรุนแรงก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้เนื่องจากไร้สติปัญญา ในทางตรงกันข้ามเมื่อมันดิ้นแรงขึ้นแรงดูดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นก่อนจะถูกดึงเข้าไปในหลุมดำที่หมุนคว้าง

ศพมังกรหายไปทันทีหลังจากถูกดึงเข้าไปในหลุมดำ จากนั้นงูเจ็ดสีก็อ้าปากกลืนหลุมดำลงไป งูน้อยปล่อยเสียงเรอดังลั่นแล้วค่อยๆ ลอยกลับมาลงบนมือของเซียวเซียว มุดเข้าไปขดตัวในแขนเสื้อ

ทั้งสามต่างตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้ เพียงไม่กี่นาทีศพมังกรวิเทศก็ถูกจัดการจนสิ้นซากแล้วเรอะ? แม้ว่ามังกรตัวนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ก็เทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม หากพวกเขาจัดการก็จะต้องใช้เวลามาก แต่งูเจ็ดสีกลับกินเข้าไปได้อย่างง่ายดายเนี่ยนะ?

“นี่คือเทพอสูรอะไร?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

“นี่คืออสรพิษกลืนฟ้าเจ็ดสี… มันไม่ใช่เทพอสูรของมหาพันภพ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้นก็จะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเทพอสูรของที่นี่ได้” เซียวเซียวตอบ

หลินจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อว่าหนึ่งในนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วมีอสรพิษลึกลับที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลก ซึ่งเคยกลืนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย… มีข่าวลือว่าแม้แต่สมาชิกเผ่ามังกรก็ยังกลัวอย่างมากหากพบอสรพิษตัวนั้น”

“นั่นท่านแม่ข้าเอง” เซียวเซียวเผยรอยยิ้มสดใสขณะพูดต่อ “แต่เจ้างูของแม่ข้าน่ากลัวยิ่งกว่า ที่เสี่ยวไฉ่สามารถกินศพมังกรวิเทศได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะมันไม่เหลือสติปัญญาและไม่รู้ว่าจะหลบยังไง ไม่งั้นก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับมันที่จะหลีกเลี่ยงระยะกลืนกิน”

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้ยินเรื่องอสรพิษกลืนฟ้า แต่ตัดสินจากพลังแล้ว มันจะเป็นการดำรงอยู่สั่นสะเทือนโลกาแน่นอนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น

แคว้นหวู่จิ่งฮั่วพิเศษแท้จริง แค่นายหญิงคนเดียวก็น่ากลัวเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะน่ากลัวแค่ไหน

เทพจักรพรรดิอัคคีคงได้รับการพิจารณาอยู่ในอันดับสูงสุดแม้ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสินะ

หลังจากที่เซียวเซียวจัดการกับศพมังกรวิเทศแล้วก็เดินไปที่บัลลังก์และยื่นมือออกไป ไข่มุกค่อยๆ ตกลงมาในมือนาง

เมื่อไข่มุกจิตตะมังกรวางบนมือนาง งูเจ็ดสีก็โผล่หัวออกมาอีกครั้งและกินไข่มุกเข้าไป จากนั้นพวกมู่เฉินก็มองเห็นรัศมีไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากงูน้อย ลวดลายที่อยู่บนตัวมันเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อย

หลังจากกินไข่มุกแล้วเจ้างูดูเหมือนจะใช้พลังงานไปไม่น้อย จึงมุดตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซียวอย่างหมดแรง

มู่เฉินมองไปที่ภาพนี้ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าหลังจากอสรพิษกลืนฟ้ากินไข่มุกจิตตะมังกรเข้าไป แม้แต่คลื่นหลิงของเซียวเซียวก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น

ดูเหมือนว่าจะมีการเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างเซียวเซียวกับอสรพิษกลืนฟ้า ซึ่งช่วยเพิ่มพลังหลิงของเธอด้วยเช่นกัน

รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเซียวเซียว ดูเหมือนว่าอิทธิพลของไข่มุกจิตตะมังกรค่อนข้างดีเลยทีเดียว นางยกมือขึ้นก็เห็นป้ายแสงปรากฏที่หลังมือซึ่งอยู่ในรูปของมังกร นี่น่าจะเป็นป้ายยินยอมของผู้บัญชาการตำหนักมังกรแน่แล้ว

“ยินดีด้วย” มู่เฉินยิ้ม ด้วยป้ายตำหนักมังกรนั่นก็หมายความว่าเซียวเซียวได้รับสิทธิ์ในพิธีชำระล้าง

“ต้องขอบคุณเจ้านะ” เซียวเซียวยิ้มขณะที่สบตากับมู่เฉิน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉินมาทันเวลา นางอาจปะทะหลินจิ้งจนไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ เพราะยังไงหลินจิ้งก็เป็นองค์หญิงแคว้นหวู ไม่มีทางที่จะไม่มีไพ่ตาย

“ไปกันเถอะ ในเมื่อเราได้รับสมบัติแล้วก็มุ่งหน้าไปทะเลสาบสวรรค์กัน” มู่เฉินเอ่ยขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้สำรวจตำหนักอีกเจ็ดแห่ง แต่เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะค้นหาทั้งหมด เพราะยังไงก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรับป้ายยินยอมเพิ่ม มิหนำซ้ำอาจจะดึงดูดความเป็นศัตรูกับกลุ่มอื่นๆ หากพวกเขาสร้างความโกรธเกรี้ยวกับสาธารณชนก็จะเป็นเรื่องลำบากแน่นอน เนื่องจากทุกกลุ่มที่นี่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงเป็นภูมิหลัง ถ้าพวกเขายั่วยุมากเกินไปแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะตกที่นั่งลำบาก

หญิงสาวทั้งสามพยักหน้า ในเมื่อได้รับป้ายกันครบแล้ว พวกนางก็ไม่โลภมากที่จะไปเอาสมบัติจากผู้บัญชาการคนอื่นเพิ่มเช่นกัน

ดังนั้นทั้งสี่จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งผ่านหมอกพิษหนาแน่นจากไป

ขณะเดียวกันผู้คนก็มารวมตัวกันนอกเกาะมังกรมากขึ้น เพราะมีเกาะลอยจำนวนมากในวังสวรรค์บรรพกาลซึ่งจะใช้เวลานานเกินไปหากค้นหาทีละเกาะ ในเมื่อเกาะมังกรแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาก็ต้องมารวมตัวกันโดยธรรมชาติ

อีกมุมหนึ่งของเกาะมีกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ริมขอบเกาะวางแนวกั้นไม่ให้ใครเข้าใกล้

แม้ว่าผู้คนจะไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขา แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ นั่นเป็นเพราะการรวมตัวกลุ่มนี้น่าตื่นตาและน่าตกใจ

ในกลุ่มคนมีจอมยุทธ์หลายสิบคน ซึ่งเกือบสิบคนในนั้นอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด มิหนำซ้ำทั้งหมดยังมีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวติดอันดับหนึ่งในสิบห้าของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่

โดยเฉพาะชายชุดคลุมสีทองที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงความสุขุม ขณะที่ยิ้มก็จะมีแรงกดดันทรงพลังปล่อยออกมาจนคนอื่นตกใจ

ชายคนนี้ก็คือองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย—เซี่ยหยู่!

“องค์ชายใหญ่พวกเราจะไม่เข้าไปเหรอขอรับ?” มีคนพูดที่ด้านข้างเซี่ยหยู่

เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มอ่อน “ปล่อยให้คนอื่นเข้าไปค้น หากมีใครออกมาเราก็จะเชิญพวกเขามาพูดคุย”

เมื่อได้ยินคำตอบของเซี่ยหยู่ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันที เซี่ยหยู่เป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง เพียงแค่เฝ้ารอที่นี่ ไม่ว่าใครจะนำสมบัติออกจากเกาะมังกรก็จะตกอยู่ในมือพวกเขา

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปล่อยให้คนโชคร้ายเหล่านั้นค้นให้พอใจ

เซี่ยหยู่ยิ้มขณะที่กำลังจะพูดต่อหัวใจเขาก็สั่นไหว เขาหรี่ตาลงมองไปที่หมอกหนาทึบ เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างก่อนที่ภาพเงานั้นจะเหาะเหินออกมา

เมื่อเซี่ยหยูเห็นเงานั่น เขาก็อึ้งไปก่อนที่รอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นที่มุมปาก

นั่นมันไอ้สารเลวมู่เฉิน…ดูท่าโชคของไอ้นั่นจะไม่ดีเลยจริงๆ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท