หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1135 พบเซียวเซียวอีกครั้ง
หญิงสาวชุดสีรุ้งสดใสยืนอยู่บนก้อนหิน
ผมยาวหยักศกพลิ้วไปตามสายลมทำให้ชวนหลงใหล ยิ่งบวกกับรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้น งูตัวน้อยเจ็ดสีพาดอยู่บนหัวไหล่บาง ส่งเสริมให้นางดูมีความงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างสะคราญโฉมนี้ ดวงตาก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆดูประหลาดขึ้นมา
นั่นเพราะร่างคุ้นเคยที่เบื้องหน้าก็คือไฉ่เซียวซึ่งมู่เฉินเคยพบนางที่เขตหลงเฟิ่ง หรือที่จริงควรจะเรียกนางว่า ‘เซียวเซียว’
นางคือธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีภูมิหลังน่าสะพรึงเช่นเดียวกับหลินจิ้ง
มู่เฉินไม่คิดว่าตัวปัญหาใหญ่ที่หลินจิ้งพบจะเป็นนาง!
นี่เป็นเรื่องน้ำท่วมวังราชามังกรซะแล้ว!
มู่เฉินตกตะลึงมองไปที่เซียวเซียว หญิงสาวก็เห็นเขาได้ชัดในเวลานี้จึงผงะไปก่อนที่จะคลี่ยิ้มสดใสบนใบหน้า
“เฮ้ มู่เฉิน เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินไม่ขยับเขยื้อน นางก็พูดออกมาด้วยความสงสัย
เซียวเซียวลูบไล้งูน้อยบนไหล่และหยอกล้อ “ฮิๆ ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า เจ้าเริ่มงานเป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลินจิ้งและจิ่วโยวก็อึ้งไปก่อนที่ทั้งคู่จะมองไปที่มู่เฉิน “เจ้ารู้จักนางเหรอ?”
มู่เฉินยิ้มขมฝาด “นางเป็นสหายของข้า พวกเราไปที่เขตหลงเฟิ่งด้วยกัน”
เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่ได้พูดแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะสถานการณ์นี้น่าอึดอัดเหลือเกิน นางไม่รู้จะพูดอะไรดี
นางจึงเลือกดึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวกลับมา ในเมื่อหญิงสาวคนนี้เป็นเพื่อนของมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วย หลินจิ้งมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นสตรีแต่ก็ใจกว้างเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกไม่พอใจกับเซียวเซียวเพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่
ตุ๊กตาน้ำแข็งที่ซ่อนตัวหาโอกาสโจมตีก็ปรากฏตัวทะยานกลับไปที่ด้านหลังหลินจิ้ง
ขณะที่หลินจิ้งดึงคลื่นหลิงกลับ ไม่คิดสู้ต่อ เซียวเซียวก็กระทำเช่นกัน นางตบงูน้อเบาๆ มันก็หดตัวกลับไปตามไหล่
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในภาพนี้ พวกนางสองคนเป็นเพื่อนของเขา หากพวกนางสู้กันจะเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเขาอย่างแน่นอน
เซียวเซียวเยื้องย่างเข้ามาขณะที่มู่เฉินยิ้มให้ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับจิ่วโยว “นี่จิ่วโยวที่อยู่กับข้าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางเป็นสหายเก่าแก่”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลินจิ้ง “ส่วนนี่คือหลินจิ้ง… ท่านเทพจักรพรรดิสงครามเป็นบิดาของนาง”
พอพูดจบเขาก็หันไปบอกจิ่วโยวและหลินจิ้งว่า “นี่คือเซียวเซียว… ท่านจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของนาง”
เมื่อมู่เฉินพูดจบ หญิงสาวทั้งสามก็ตกใจพลางมองหน้ากันและกันอย่างตะลึงพรึงเพริด เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งจักรวาลด้วยการกระทืบเท้า ทว่ายอดยุทธ์ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้พบปะกัน ดังนั้นใครจะคิดว่าบุตรสาวของพวกเขาจะได้พบกันด้วยวิธีนี้
“เจ้าเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามนี่เอง… กระทั่งบิดาข้ายังนับถือเขาด้วยความเคารพอย่างสูง นี่เป็นโชคชะตาแท้จริงที่ข้าได้พบกับองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูวันนี้” ใบหน้าของเซียวเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิสงครามไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบิดาของนางและนางก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพที่แม้แต่บิดานางยังให้ความสำคัญมาก
ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายขณะที่พูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของพี่สาวเหรอ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงบิดาพี่หลายครั้ง เขาเป็นวีรบุรุษในใจข้า ถ้าข้ารู้จักตัวตนของพี่สาวก่อนหน้า ข้าต้องยกไข่มุกจิตตะมังกรให้แน่นอน”
หลินจิ้งรักและภูมิใจในตัวบิดามากตั้งแต่รู้ความ ดังนั้นนางจึงให้ความเคารพเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่บนจุดเดียวกับบิดาของนางด้วย เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายความตื่นเต้นที่ฉายบนใบหน้าของนางก็ไม่ใช่ของปลอม
เซียวเซียวยิ้มบาง นางรู้สึกโชคดีอยู่ในใจที่มู่เฉินมาทันเวลา มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นและพวกนางกางไพ่ตายออกมา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่คุ้มที่จะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเพียงเพื่อไข่มุกจิตตะมังกร
มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้ากันได้ดีก็รู้สึกโล่งใจมาก ทั้งคู่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ต่อให้พวกนางจะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ก็มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉินจึงกังวลว่าพวกนางจะมีอารมณ์ไม่พอใจ หากเป็นเช่นนั้นเขาที่อยู่ตรงกลางคงอิหลักอิเหลื่อน่าดู
แต่โชคดีที่ทั้งสองคนมีมารยาทและไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้มพวกนั้น
“ทำไมเจ้าถึงมาที่วังสวรรค์บรรพกาล” มู่เฉินมองไปที่เซียวเซียวถามด้วยความประหลาดใจ
“วังนี้ก่อตั้งโดยจักรพรรดิฟ้า ช่วงนี้ข้าออกจากการสมาธิฝึกฝนพอดีก็เลยมาดูซะหน่อย ตอนแรกข้าคิดจะไปภูมิภาคทางเหนือเพื่อหาเจ้า แต่ข้าเชื่อว่างานนี้เจ้าไม่น่าพลาด จึงรีบเดินทางมาที่นี่แทนน่ะ”
เซียวเซียวยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ”
ตอนที่พวกนางอยู่ในเขตหลงเฟิ่ง มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงสองปีเขาก็ก้าวเข้าขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนดังกล่าวทำให้เซียวเซียวตกใจเล็กน้อยในใจ
“ไม่เร็วเท่าเจ้าหรอก” มู่เฉินยักไหล่ เมื่อเขามาถึงที่นี่เซียวเซียวก็ไม่ได้ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ การเพาะบ่มพลังของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม มิหนำซ้ำนางยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับนี้เลยทีเดียว
“นี่คือไข่มุกจิตตะมังกรเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกเหนือบัลลังก์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลินจิ้งกับเซียวเซียวจึงต่อสู้กัน
หลินจิ้งและเซียวเซียวสบตากันก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วพวกเจ้าจะแบ่งกันยังไง?” มู่เฉินถามเนื่องจากมีไข่มุกมีเพียงชิ้นเดียว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะเป็นคนตัดสินใจให้
เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดเขา นางก็ยิ้มพูดขึ้นก่อน “ให้พี่เซียวไปเถอะ นางยังไม่ได้รับป้ายยินยอมและนี่ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับข้าด้วย”
แม้ว่าไข่มุกจิตตะมังกรจะล้ำค่า แต่ด้วยสถานะของนางก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติอะไรแบบนี้มาก่อน ในสายตาของนางไข่มุกนี้ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียวเซียว
เมื่อเซียวเซียวได้ยินการเลือกของหลินจิ้ง นางก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขอบคุณ “งั้นต้องขอบคุณน้องหลินจิ้งนะ สิ่งนี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า หากจากนี้หากเราพบสมบัติข้าจะชดใช้ให้”
งูเจ็ดสีเลื้อยออกมาจากไหล่ตวัดลิ้นยาวไปที่ไข่มุกจิตตะมังกรด้วยความตื่นเต้น
“พี่เซียวเกรงใจไปแล้ว ไปเอาสมบัติเถอะ” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ
เซียวเซียวพยักหน้าเดินไปที่บัลลังก์ แต่เมื่ออยู่ห่างจากบัลลังก์ประมาณร้อยจั้งมู่เฉินก็ปรากฏตัวข้างๆ และหยุดนางไว้
“หืม?” เซียวเซียวอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความสงสัย หลินจิ้งและจิ่วโยวก็ตามมาดูด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
“มีปัญหาเหรอ?” จิ่วโยวเข้าใจมู่เฉินดีที่สุด นางรู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางถูกล่อลวงโดยไข่มุกนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาหยุดเซียวเซียวไว้
เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของจิ่วโยว ดวงตาของพวกนางก็หดลง
มู่เฉินจ้องไปที่บัลลังก์และพยักหน้าเบาๆ “ มันแปลกนิดหน่อยน่ะ…”
ตอนที่เซียวเซียวขยับใกล้เข้าไป เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่จนแม้แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว
มู่เฉินย่อตัวลงวางมือลงบนพื้นแล้วหลับตา
เมื่อหญิงสาวทั้งสามคนเห็นภาพนี้ก็กระจายตัวสร้างแนวป้องกันโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง
มู่เฉินอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาโพลง แสงหลิงวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา “มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ”
ตู้ม!
เมื่อพูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือลงกะทันหัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากฝ่ามือ
ปัง ปัง ปัง!
เสียงระเบิดดังก้อง หินก้อนใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นเริ่มพังทลาย
เมื่อพื้นพังทลาย หญิงสาวทั้งสามก็มองเห็นเส้นใยหลิงปรากฏบนพื้นและเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่โดยมีบัลลังก์เป็นรากฐาน
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ม่านตาของพวกนางหดเกร็งก็คือใต้พื้นดินที่พังทลายสามารถมองเห็นมังกรขาวขดตัวซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ในดวงตาของมังกรตัวนั้นไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย
มังกรขดตัวอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่แปลกเลยว่าทำไมหญิงสาวทั้งสามคนถึงไม่รู้สึกถึง เหตุผลที่มู่เฉินสัมผัสได้ เป็นเพราะมีค่ายกลซ่อนอยู่ใต้ดิน
“นี่มันศพมังกรวิเทศ…” แต่ละคนมองมังกรสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายก็พูดด้วยความประหลาดใจ
พวกนางไม่ได้กลัวศพมังกรวิเทศตัวนี้มากนัก แต่เป็นค่ายกลที่ทำให้พวกนางรู้สึกว่าถูกคุกคาม
“นี่มันค่ายกลอะไร?” เซียวเซียวถามด้วยความสงสัย นางมีความรู้สึกว่าถ้านางก้าวเข้าไปในค่ายกลโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ คงต้องจ่ายราคาไม่น้อย
“นี่คือค่ายกลศพวิญญาณ หากก้าวเข้าไปพลังงานหลิงจะถูกยับยั้ง ดูจากรัศมีความตายที่รวมอยู่ในนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็จะถูกลดระดับลงเหลือเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น” มู่เฉินตอบ
เซียวเซียวและหลินจิ้งสะดุ้ง หากขุมพลังของพวกนางถูกระงับเหลือเพียงขั้นเจ็ด พวกนางต้องถูกเขมือบโดยศพมังกรวิเทศแน่นอน ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่ด้วย
“งั้นตอนนี้เราควรทำยังไง?” เซียวเซียวขมวดคิ้ว ถ้านางทำลายค่ายกลรุนแรงอาจส่งผลต่อไข่มุกจิตตะมังกรด้วย
เมื่อมู่เฉินได้ยินความกังวลของนางก็ยิ้มบาง
“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
**สุภาษิต น้ำท่วมวังราชามังกร วังราชามังกรอยู่ใต้ทะเลเลยเปรียบเหมือนว่าสองสิ่งใหญ่มาชนกัน