หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1135

ตอนที่ 1135

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1135 พบเซียวเซียวอีกครั้ง
หญิงสาวชุดสีรุ้งสดใสยืนอยู่บนก้อนหิน

ผมยาวหยักศกพลิ้วไปตามสายลมทำให้ชวนหลงใหล ยิ่งบวกกับรูปร่างหน้าตาก็ยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้น งูตัวน้อยเจ็ดสีพาดอยู่บนหัวไหล่บาง ส่งเสริมให้นางดูมีความงามไปอีกรูปแบบหนึ่ง

ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างสะคราญโฉมนี้ ดวงตาก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อยๆดูประหลาดขึ้นมา

นั่นเพราะร่างคุ้นเคยที่เบื้องหน้าก็คือไฉ่เซียวซึ่งมู่เฉินเคยพบนางที่เขตหลงเฟิ่ง หรือที่จริงควรจะเรียกนางว่า ‘เซียวเซียว’

นางคือธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีภูมิหลังน่าสะพรึงเช่นเดียวกับหลินจิ้ง

มู่เฉินไม่คิดว่าตัวปัญหาใหญ่ที่หลินจิ้งพบจะเป็นนาง!

นี่เป็นเรื่องน้ำท่วมวังราชามังกรซะแล้ว!

มู่เฉินตกตะลึงมองไปที่เซียวเซียว หญิงสาวก็เห็นเขาได้ชัดในเวลานี้จึงผงะไปก่อนที่จะคลี่ยิ้มสดใสบนใบหน้า

“เฮ้ มู่เฉิน เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นว่ามู่เฉินไม่ขยับเขยื้อน นางก็พูดออกมาด้วยความสงสัย

เซียวเซียวลูบไล้งูน้อยบนไหล่และหยอกล้อ “ฮิๆ ไม่ได้เจอกันมาปีกว่า เจ้าเริ่มงานเป็นนักรบรับจ้างตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลินจิ้งและจิ่วโยวก็อึ้งไปก่อนที่ทั้งคู่จะมองไปที่มู่เฉิน “เจ้ารู้จักนางเหรอ?”

มู่เฉินยิ้มขมฝาด “นางเป็นสหายของข้า พวกเราไปที่เขตหลงเฟิ่งด้วยกัน”

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่ได้พูดแต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะสถานการณ์นี้น่าอึดอัดเหลือเกิน นางไม่รู้จะพูดอะไรดี

นางจึงเลือกดึงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวกลับมา ในเมื่อหญิงสาวคนนี้เป็นเพื่อนของมู่เฉินก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ด้วย หลินจิ้งมีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นสตรีแต่ก็ใจกว้างเช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกไม่พอใจกับเซียวเซียวเพราะการต่อสู้เมื่อสักครู่

ตุ๊กตาน้ำแข็งที่ซ่อนตัวหาโอกาสโจมตีก็ปรากฏตัวทะยานกลับไปที่ด้านหลังหลินจิ้ง

ขณะที่หลินจิ้งดึงคลื่นหลิงกลับ ไม่คิดสู้ต่อ เซียวเซียวก็กระทำเช่นกัน นางตบงูน้อเบาๆ มันก็หดตัวกลับไปตามไหล่

มู่เฉินรู้สึกโล่งใจในภาพนี้ พวกนางสองคนเป็นเพื่อนของเขา หากพวกนางสู้กันจะเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเขาอย่างแน่นอน

เซียวเซียวเยื้องย่างเข้ามาขณะที่มู่เฉินยิ้มให้ก่อนจะแนะนำให้รู้จักกับจิ่วโยว “นี่จิ่วโยวที่อยู่กับข้าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางเป็นสหายเก่าแก่”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่หลินจิ้ง “ส่วนนี่คือหลินจิ้ง… ท่านเทพจักรพรรดิสงครามเป็นบิดาของนาง”

พอพูดจบเขาก็หันไปบอกจิ่วโยวและหลินจิ้งว่า “นี่คือเซียวเซียว… ท่านจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของนาง”

เมื่อมู่เฉินพูดจบ หญิงสาวทั้งสามก็ตกใจพลางมองหน้ากันและกันอย่างตะลึงพรึงเพริด เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นยอดยุทธ์ที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งจักรวาลด้วยการกระทืบเท้า ทว่ายอดยุทธ์ทั้งสองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้พบปะกัน ดังนั้นใครจะคิดว่าบุตรสาวของพวกเขาจะได้พบกันด้วยวิธีนี้

“เจ้าเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามนี่เอง… กระทั่งบิดาข้ายังนับถือเขาด้วยความเคารพอย่างสูง นี่เป็นโชคชะตาแท้จริงที่ข้าได้พบกับองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูวันนี้” ใบหน้าของเซียวเซียวอึ้งไปเล็กน้อย เพราะชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิสงครามไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบิดาของนางและนางก็รู้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพที่แม้แต่บิดานางยังให้ความสำคัญมาก

ดวงตาของหลินจิ้งเปล่งประกายขณะที่พูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นบิดาของพี่สาวเหรอ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงบิดาพี่หลายครั้ง เขาเป็นวีรบุรุษในใจข้า ถ้าข้ารู้จักตัวตนของพี่สาวก่อนหน้า ข้าต้องยกไข่มุกจิตตะมังกรให้แน่นอน”

หลินจิ้งรักและภูมิใจในตัวบิดามากตั้งแต่รู้ความ ดังนั้นนางจึงให้ความเคารพเทพจักรพรรดิอัคคีที่ยืนอยู่บนจุดเดียวกับบิดาของนางด้วย เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายความตื่นเต้นที่ฉายบนใบหน้าของนางก็ไม่ใช่ของปลอม

เซียวเซียวยิ้มบาง นางรู้สึกโชคดีอยู่ในใจที่มู่เฉินมาทันเวลา มิฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นและพวกนางกางไพ่ตายออกมา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่คุ้มที่จะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายเพียงเพื่อไข่มุกจิตตะมังกร

มู่เฉินมองหญิงสาวสองคนที่เข้ากันได้ดีก็รู้สึกโล่งใจมาก ทั้งคู่มีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ต่อให้พวกนางจะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ก็มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉินจึงกังวลว่าพวกนางจะมีอารมณ์ไม่พอใจ หากเป็นเช่นนั้นเขาที่อยู่ตรงกลางคงอิหลักอิเหลื่อน่าดู

แต่โชคดีที่ทั้งสองคนมีมารยาทและไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้มพวกนั้น

“ทำไมเจ้าถึงมาที่วังสวรรค์บรรพกาล” มู่เฉินมองไปที่เซียวเซียวถามด้วยความประหลาดใจ

“วังนี้ก่อตั้งโดยจักรพรรดิฟ้า ช่วงนี้ข้าออกจากการสมาธิฝึกฝนพอดีก็เลยมาดูซะหน่อย ตอนแรกข้าคิดจะไปภูมิภาคทางเหนือเพื่อหาเจ้า แต่ข้าเชื่อว่างานนี้เจ้าไม่น่าพลาด จึงรีบเดินทางมาที่นี่แทนน่ะ”

เซียวเซียวยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วจริงๆ”

ตอนที่พวกนางอยู่ในเขตหลงเฟิ่ง มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นสามเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่ถึงสองปีเขาก็ก้าวเข้าขั้นเก้าเรียบร้อยแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนดังกล่าวทำให้เซียวเซียวตกใจเล็กน้อยในใจ

“ไม่เร็วเท่าเจ้าหรอก” มู่เฉินยักไหล่ เมื่อเขามาถึงที่นี่เซียวเซียวก็ไม่ได้ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ การเพาะบ่มพลังของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจู้เยี่ยนซึ่งอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม มิหนำซ้ำนางยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของระดับนี้เลยทีเดียว

“นี่คือไข่มุกจิตตะมังกรเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ไข่มุกเหนือบัลลังก์ นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลินจิ้งกับเซียวเซียวจึงต่อสู้กัน

หลินจิ้งและเซียวเซียวสบตากันก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด

“แล้วพวกเจ้าจะแบ่งกันยังไง?” มู่เฉินถามเนื่องจากมีไข่มุกมีเพียงชิ้นเดียว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะเป็นคนตัดสินใจให้

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดเขา นางก็ยิ้มพูดขึ้นก่อน “ให้พี่เซียวไปเถอะ นางยังไม่ได้รับป้ายยินยอมและนี่ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับข้าด้วย”

แม้ว่าไข่มุกจิตตะมังกรจะล้ำค่า แต่ด้วยสถานะของนางก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติอะไรแบบนี้มาก่อน ในสายตาของนางไข่มุกนี้ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียวเซียว

เมื่อเซียวเซียวได้ยินการเลือกของหลินจิ้ง นางก็ลังเลชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขอบคุณ “งั้นต้องขอบคุณน้องหลินจิ้งนะ สิ่งนี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า หากจากนี้หากเราพบสมบัติข้าจะชดใช้ให้”

งูเจ็ดสีเลื้อยออกมาจากไหล่ตวัดลิ้นยาวไปที่ไข่มุกจิตตะมังกรด้วยความตื่นเต้น

“พี่เซียวเกรงใจไปแล้ว ไปเอาสมบัติเถอะ” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ

เซียวเซียวพยักหน้าเดินไปที่บัลลังก์ แต่เมื่ออยู่ห่างจากบัลลังก์ประมาณร้อยจั้งมู่เฉินก็ปรากฏตัวข้างๆ และหยุดนางไว้

“หืม?” เซียวเซียวอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความสงสัย หลินจิ้งและจิ่วโยวก็ตามมาดูด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

“มีปัญหาเหรอ?” จิ่วโยวเข้าใจมู่เฉินดีที่สุด นางรู้ว่ามู่เฉินไม่มีทางถูกล่อลวงโดยไข่มุกนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาหยุดเซียวเซียวไว้

เมื่อเซียวเซียวและหลินจิ้งได้ยินคำพูดของจิ่วโยว ดวงตาของพวกนางก็หดลง

มู่เฉินจ้องไปที่บัลลังก์และพยักหน้าเบาๆ “ มันแปลกนิดหน่อยน่ะ…”

ตอนที่เซียวเซียวขยับใกล้เข้าไป เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยที่ซ่อนเร้นอยู่จนแม้แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็ยังไม่รู้สึกตัว

มู่เฉินย่อตัวลงวางมือลงบนพื้นแล้วหลับตา

เมื่อหญิงสาวทั้งสามคนเห็นภาพนี้ก็กระจายตัวสร้างแนวป้องกันโดยมีมู่เฉินอยู่ตรงกลาง

มู่เฉินอยู่ในท่านี้ครู่หนึ่งก่อนที่จะลืมตาโพลง แสงหลิงวูบไหวอยู่ในฝ่ามือเขา “มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ”

ตู้ม!

เมื่อพูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือลงกะทันหัน ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากฝ่ามือ

ปัง ปัง ปัง!

เสียงระเบิดดังก้อง หินก้อนใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ พื้นเริ่มพังทลาย

เมื่อพื้นพังทลาย หญิงสาวทั้งสามก็มองเห็นเส้นใยหลิงปรากฏบนพื้นและเชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่โดยมีบัลลังก์เป็นรากฐาน

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ม่านตาของพวกนางหดเกร็งก็คือใต้พื้นดินที่พังทลายสามารถมองเห็นมังกรขาวขดตัวซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ในดวงตาของมังกรตัวนั้นไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย

มังกรขดตัวอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่แปลกเลยว่าทำไมหญิงสาวทั้งสามคนถึงไม่รู้สึกถึง เหตุผลที่มู่เฉินสัมผัสได้ เป็นเพราะมีค่ายกลซ่อนอยู่ใต้ดิน

“นี่มันศพมังกรวิเทศ…” แต่ละคนมองมังกรสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายก็พูดด้วยความประหลาดใจ

พวกนางไม่ได้กลัวศพมังกรวิเทศตัวนี้มากนัก แต่เป็นค่ายกลที่ทำให้พวกนางรู้สึกว่าถูกคุกคาม

“นี่มันค่ายกลอะไร?” เซียวเซียวถามด้วยความสงสัย นางมีความรู้สึกว่าถ้านางก้าวเข้าไปในค่ายกลโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ คงต้องจ่ายราคาไม่น้อย

“นี่คือค่ายกลศพวิญญาณ หากก้าวเข้าไปพลังงานหลิงจะถูกยับยั้ง ดูจากรัศมีความตายที่รวมอยู่ในนั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็จะถูกลดระดับลงเหลือเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น” มู่เฉินตอบ

เซียวเซียวและหลินจิ้งสะดุ้ง หากขุมพลังของพวกนางถูกระงับเหลือเพียงขั้นเจ็ด พวกนางต้องถูกเขมือบโดยศพมังกรวิเทศแน่นอน ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่ด้วย

“งั้นตอนนี้เราควรทำยังไง?” เซียวเซียวขมวดคิ้ว ถ้านางทำลายค่ายกลรุนแรงอาจส่งผลต่อไข่มุกจิตตะมังกรด้วย

เมื่อมู่เฉินได้ยินความกังวลของนางก็ยิ้มบาง

“ถ้าเป็นค่ายกลก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

**สุภาษิต น้ำท่วมวังราชามังกร วังราชามังกรอยู่ใต้ทะเลเลยเปรียบเหมือนว่าสองสิ่งใหญ่มาชนกัน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท