หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1140

ตอนที่ 1140

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1140 ความเป็นปฏิปักษ์
สองสายตาฟาดฟันที่กลางอากาศแม้แต่มิติก็ยังบิดเบี้ยว

สายตาของจาโหลหลัวคล้ายกับเหวเมื่อมองมาที่มู่เฉิน รอยยิ้มบางเบาที่ประดับบนริมฝีปากเสมอเหมือนจะจางหายไป เนื่องจากเขารู้สึกถึงคลื่นผิดแผกในร่างของมู่เฉิน มากจนมิติที่อยู่เบื้องหลังเขาก็สั่นไหวเบาบาง ก่อนจะก่อร่างเป็นภาพเงาขนาดใหญ่

ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาฝึกฝนถูกกระตุ้นออกมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

ทว่าสุดท้ายจาโหลหลัวก็สามารถปราบปรามลงได้ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

เมื่อไอสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของจาโหลหลัวคลื่นหลิงที่คล้ายกับภูเขาไฟก็ระเบิดออกจากร่างกาย ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นมืดมน แรงกดดันเพิ่มขึ้นจากร่างเขา

ภูเขาที่อยู่ใต้เท้าสั่นสะท้านราวกับว่ากำลังกลัวที่จะถูกทำลาย

ฮึ่ม!

เมื่อจาโหลหลัวเปิดเผยเจตนาฆ่า มู่เฉินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเดียวกัน แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกายพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังออกมา มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนบนแขนของเขา ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา

มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นเลือนรางพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตสั่นสะท้านทั่วขอบฟ้า

ทั้งสองคนแค่สบตากันก็เปิดเผยเจตนาฆ่าออกมา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่สัมผัสได้ถึงร่างเทพสุริยะของกันและกัน

ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ หากพวกเขาต้องการให้ร่างเทห์สวรรค์เกิดวิวัฒนาการก็จะต้องเอาชนะคู่แข่ง เพราะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับวิวัฒนาการขั้นสุดท้าย

เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินปลดปล่อยคลื่นหลิง นางก็หมุนเวียนพลังงานโดยไม่ลังเล ผลึกเพลิงพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อึ้งไปชั่วขณะ ชัดว่าทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ชายสองคนนี้ถึงดูเหมือนจะเปิดศึกมรณะ ทว่าพวกนางก็รู้สึกงงงวยชั่วครู่ ก่อนจะจ้องมองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับคลื่นหลิงน่าอัศจรรย์ผันผวนออกจากร่างกาย

เมื่อเทียบกับมู่เฉินแล้วจาโหลหลัวเป็นคนแปลกหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนต่อกรยาก แต่เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เลือกที่จะช่วยเหลือสหายอย่างมู่เฉินเต็มกำลัง

ดังนั้นทั้งสามสาวจึงปลดปล่อยคลื่นหลิงออกมาที่เบื้องหลังมู่เฉิน การเคลื่อนไหวของพวกนางระงับคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัวอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดที่ถูกผลักกลับไปในระยะร้อยจั้งรอบร่างจาโหลหลัว

เมื่อจาโหลหลัวเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลงก่อนที่จะเหลือบเซียวเซียวกับหลินจิ้ง เขาสัมผัสได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่มาจากทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตนเอง

หากนี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวเขาไม่เกรงกลัวมู่เฉินสักนิด แต่อีกฝ่ายมีกลุ่มทรงพลัง ถ้าพวกเขาต่อสู้กันชัดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เมื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้จาโหลหลัวก็ไม่คิดที่จะดำเนินการใดๆ ที่ไม่จำเป็น เขาค่อยๆ ดึงจิตสังหารในส่วนลึกของดวงตากลับเข้าไป ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มให้มู่เฉิน “ไม่คิดว่าเจ้าก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน เป็นโชคชะตาที่เราได้เจอกันวันนี้”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีการรวมตัวทรงพลัง แต่จาโหลหลัวก็ยังคงนิ่งสงบโดยไม่เปิดเผยความเกรงกลัวใดๆ เพียงแค่จิตใจนี้อย่างเดียวก็ทำให้มู่เฉินยกย่องในใจ จาโหลหลัวไม่ธรรมดาแท้จริงสมกับเป็นผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะ

“ชะตากรรม” มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ถ้าเป็นคนไม่รู้อะไรอาจคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานด้วยซ้ำ แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ต้องสังหาร

ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่สหาย แต่เป็นศัตรู

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจาโหลหลัวเป็นหนึ่งในศัตรูยิ่งใหญ่ที่สุดในการชิงวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ แต่มู่เฉินก็ไม่คิดใช้ประโยชน์จากสตรีเพื่อกำจัดอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะเขารู้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน จาโหลหลัวก็มีหนทางหลบหนีไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ตอนนี้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการได้รับพิธีชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง

แน่นอนว่าแม้เขาจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะสู้ในขณะนี้ แต่มู่เฉินก็ยังคงจ้องมองไปที่จาโหลหลัวแบบตื่นระวังในดวงตา

“ฮ่าๆ ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จาโหลหลัวก็ยิ้มสบายอารมณ์ก่อนที่จะถอยหลังหลบฉากออกไป

“ชายคนนั้นเคี้ยวยาก เราประมาทไม่ได้ เจ้าไปแตะกระดานเหล็กแบบนั้นได้ยังไง?” เซียวเซียวมองไปที่จาโหลหลัวที่ถอยห่างออกไปพลางเลิกคิ้วขึ้น ชายคนนั้นทรงพลังมากและยังเก่งบุ๋นและบู๊ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ นางเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ปะทะกัน ถึงอย่างนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย

“นี่เป็นการพบกันครั้งแรก ข้าไม่เคยไปได้ยั่วอะไรเขา” มู่เฉินยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เพียงแต่ว่าพวกข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ”

ในฐานะผู้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมู่เฉินและจาโหลหลัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเซี่ยหยู่ มู่เฉินรู้ชัดว่าต่อให้เขาต้องการถอย จาโหลหลัวก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา ดังนั้นระหว่างพวกเขาสองคนจึงมีเพียงหนึ่งเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ได้

“งั้นก็ฆ่าเขาซะ” หลินจิ้งตบไหล่มู่เฉินขณะให้กำลังใจ “แม้ชายคนนั้นจะไม่ธรรมดา แต่เจ้าจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้ยิ้มแน่นอน”

“เชื่อมั่นในตัวข้าขนาดนี้เลยหรอ…” แม้แต่มู่เฉินก็ประหลาดเล็กน้อย

ริมฝีปากของหลินจิ้งโค้งขึ้นขณะตอบ “ท่านแม่ของข้าประเมินเจ้าไว้สูงมากในตอนนั้น ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการกับชายคนนั้นได้ก็น่าอายเกินไป”

มู่เฉินกลอกตากับคำพูดของนาง

จิ่วโยวที่อยู่ด้านข้างก็เม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มล้อเล่น “แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนสี่อันดับแรกของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ทวีปเทียนหลัวไม่มีความเป็นมิตรให้เจ้าเลยนะ”

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาเหลือบมองไปที่เซียวเซียวและหลินจิ้ง “ข้าก็ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อนสนับสนุน”

เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันกลุ่มของพวกเขาก็ทรงพลังมาก กระทั่งจู้เยี่ยนที่เผชิญหน้ายังทำได้เพียงถอยหนี

เมื่อหญิงสามคนได้ยินคำพูดของเขาก็กลอกตาบน

“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี? ทะเลสาบสวรรค์อยู่เบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าไปไม่ได้” เซียวเซียวดึงหัวข้อกลับมาอย่างรวดเร็วขณะมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ขนาดใหญ่

มู่เฉินหรี่ตาลงขณะที่มองไปรอบๆ ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า “ทะเลสาบสวรรค์น่าจะถูกผนึกไว้ ซึ่งเป็นไปสูงที่จัดตั้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้พลังเพื่อเข้าไป”

“ถ้างั้นเราจะทำยังไง?” หลินจิ้งถาม เป้าหมายอยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงุ่นง่านที่ไม่สามารถเข้าไปได้

ทว่ามู่เฉินกลับสงบนิ่งตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบ รอจนกว่าป้ายยินยอมจากเก้าตำหนักมาที่นี่ ผนึกก็จะเปิดออกเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นโอกาสให้เข้าไป”

ก่อนเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล เขาได้รับข้อมูลเหล่านี้จากมั่นถัวหลัวมา

เมื่อพวกหญิงสาวได้ยินคำพูดของเขา พวกนางรู้สึกโล่งใจก่อนที่จะนั่งลงบนยอดเขาเริ่มคุยกันเพื่อรอการมาถึงของคนอื่นๆ

พวกเขาไม่รอนานนัก เสียงลมแหวกอากาศก็ดังกึกก้องมาจากระยะไกล ร่างแสงลุกเป็นไฟปรากฏขึ้นหลังจากไม่กี่ลมหายใจ

“หืม เจ้านั่นออกมาแล้วเหรอ? เร็วจริง?” หลินจิ้งมองไปที่ร่างเพลิงก็อุทาน

คิ้วของมู่เฉินกระตุกเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มาถึงก็คือจู้เยี่ยนที่ก่อนหน้านี้ถูกกักไว้ในค่ายกล

จู้เยี่ยนยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับลาวาไหลท่วมร่าง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของพวกมู่เฉินก่อนจะจ้องตอบ “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาสัญญา”

เขาหมายถึงการที่มู่เฉินดักจับเขาเอาไว้ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะเล่นกลในค่ายกล ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรักษาสัญญาที่จะให้กับดักสลายไปตามเวลาที่ผ่านไป

แม้ว่าเขาจะมีหนทางหลบหนีถ้ามู่เฉินไม่คิดปล่อย แต่อย่างน้อยการรักษาสัญญาเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่คาดคิด

มู่เฉินยิ้มให้จู้เยี่ยน “เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้”

จู้เยี่ยนยิ้มบาง “แม้ว่าข้าจะผิดคาดที่เจ้ารักษาสัญญา แต่ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยเรื่องนั้นไปง่ายๆ หรอกนะ”

“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” มู่เฉินพยักหน้า ในเมื่อเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหว เขาก็ไม่เคยหวังว่าเรื่องนี้จะเกิดสันติสุขได้

“เจ้ามาจากเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” ที่ด้านหลังเซียวเซียวก็มองไปที่จู้เยี่ยนด้วยความสนใจ รอยยิ้มแฝงรสชาติบางอย่างปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง

จู้เยี่ยนปรายตามองไปที่เซียวเซียวพลางขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากนาง หญิงสาวลึกลับคนนี้มาจากไหน? เขาไม่เห็นนางอยู่กับมู่เฉินตอนนั้น

เซียวเซียวยิ้มอ่อนก่อนที่งูน้อยเจ็ดสีจะเลื้อยมาบนไหล่พลางแลบลิ้นให้จู้เยี่ยน

เมื่อจู้เยี่ยนมองไปที่งูเจ็ดสี ม่านตาก็หดเกร็งพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไป “อสรพิษกลืนฟ้า? เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ? เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”

ตอนนั้นการเดิมพันระหว่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเผ่าเทพอัคคีส่งผลให้เพลิงจักรพรรดิของพวกเขาถูกยึดเอาไป สุดท้ายกระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดจะออกจากสมาธิ แต่ก็ไม่สามารถสยบเทพจักรพรรดิอัคคีได้ นี่เป็นความอัปยศอดสูของเผ่าเทพอัคคี ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกันเพราะพวกเขาจะฟัดกันทุกครั้งที่เจอ หลายปีที่ผ่านมาจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอัคคีมากมายพยายามสู้เพื่อชิงเพลิงจักรพรรดิกลับมา

ด้วยเหตุนี้เผ่าเทพอัคคีจึงรู้ตื้นลึกหนาบางแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเป็นอย่างดีและรู้ว่าอสรพิษกลืนฟ้าเป็นสมบัติของนายหญิงแคว้นนี้

ในเมื่อเซียวเซียวมีอสรพิษกลืนฟ้า นางก็ต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายหญิงคนนั้น

“เขาเป็นพ่อข้าน่ะ” เซียวเซียวยิ้มบางโดยไม่คิดปิดบังความจริง

เปลวไฟพวยพุ่งออกจากร่างของจู้เยี่ยนลาวาไหลริน เขาสูดหายใจเข้าลึกจับจ้องไปที่เซียวเซียว ตอนนี้เขาลืมความแค้นที่มีต่อมู่เฉิน มีเพียงเซียวเซียวเท่านั้นที่อยู่ในสายตา

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็ขอเชิญองค์หญิงไปเยี่ยมเยียนเผ่าเทพอัคคีสักหน่อย แล้วให้บิดาเจ้านำเพลิงจักรพรรดิมาเพื่อแลกเปลี่ยน”

ระเบิดเพลิงเชี่ยวกรากพรูออกมาจากร่างจู้เยี่ยนแผดเผาท้องฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท