หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1138

ตอนที่ 1138

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1138 กดดัน
เสามังกรทองสามเสาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

แผ่รัศมีออกไปเป็นร้อยลี้ ทุกคนต่างอึ้งทึ่งไปเมื่อเห็นเสาเหล่านี้พร้อมกับความตกตะลึงอัดแน่นในดวงตา…

ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากเพียงใด เรื่องนี้พวกเขาเคยผ่านการทดสอบด้วยตนเองมาหมดแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าการรับตำแหน่งศิษย์ระดับนี้หมายถึงอะไร นั่นหมายความว่าคนที่สามารถได้รับเป็นชั้นสูงของชั้นสูงกระทั่งในวังสวรรค์บรรพกาลที่เคยครอบครองทวีปเทียนหลัว

ทวีปเทียนหลัวในปัจจุบันตามการคาดการณ์ของทุกคนอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่สี่อันดับแรกเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่…ภาพที่เบื้องหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกยากจะเชื่อเพราะทั้งสามคนช่างไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย

“พวกเขาสามคนเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำทั้งหมดเลยหรอ?” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ก่อนที่จะเกิดการอุทานนับไม่ถ้วน

“เป็นไปไม่ได้มั้ง? ศิษย์ระดับมังกรทองคำจะหาง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือว่าพวกเขาจะมีกลโกง?”

“ถ้ามีวิธีหลีกเลี่ยงประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็คงไม่ส่งผลให้ศิษย์ระดับมังกรทองคำหายากขนาดนี้หรอก”

“ทั้งสามคนไม่ธรรมดาแน่นอน”

“…”

ในบรรดาเสียงเหล่านี้ บางคนก็ตั้งข้อสงสัย แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมรับความเป็นจริงเนื่องจากต่างเคยผ่านกับประตูมังกรทะยานสวรรค์มาแล้วและรู้ว่าทรงพลังเพียงใด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบช่องโหว่

ยามนี้ทั่วบริเวณตกอยู่ในความโกลาหล พวกแคว้นเซี่ยก็มีใบหน้าตกตะลึง ส่วนเซี่ยหงดูน่าเกลียดไปเลยทีเดียว นานก่อนที่เขาจะควบคุมตนเองและคำรามใส่มู่เฉิน “แกเนี่ยนะ? แกสามารถรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำได้เรอะ?!”

ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาต่อสู้กัน มู่เฉินอยู่ในขุมพลังเกือบจะบรรลุรัดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่อย่างมากก็เทียบเคียงกับขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น ทว่าการที่จะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม นอกจากนี้ยังต้องมีไพ่ตายจำนวนมากถึงจะมีโอกาส

พวกแคว้นเซี่ยเงียบกริบลงเช่นกัน ไม่มีท่าทางกร่างอีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์ระดับมังกรทองคำสามคน พวกเขาสูญเสียความมั่นใจหมดสิ้น

“หุบปาก!”

เซี่ยหยู่ถลึงตาใส่เซี่ยหงพลางคำรามก่อนที่จะฉายแววตาลึกซึ้งมองเซียวเซียวและหลินจิ้ง ขณะนี้เขารู้สึกถึงอันตรายเลือนรางที่ถูกปล่อยออกมาจากสตรีสองคนนั้น

และมู่เฉินอีกคน…แม้ไอ้นั่นจะดูเหมือนอยู่ในขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ด้วยการรับรู้ที่เฉียบแหลมเซี่ยหยู่สามารถสัมผัสได้ว่ามู่เฉินก็เป็นคนที่ซ่อนตัวลึกเช่นกัน

คราวนี้…เขาเตะแผ่นเหล็กเข้าอย่างจัง

ใบหน้าของเซี่ยหยู่กระตุกเล็กน้อยด้วยความเสียใจในใจ เขาเสียใจที่ทำไมไม่จัดการด้วยตัวเองเมื่อพบกับมู่เฉินในอุโมงค์เดินทาง ถ้าเขาทำอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถฆ่ามู่เฉินได้

แต่ขณะนี้มู่เฉินไม่รู้ไปหาผู้ช่วยเหลือลึกลับสองคนมาจากไหน เผชิญหน้ากับการรวมตัวนี้แม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ หากต่อสู้กัน

เสามังกรทองคำทั้งสามเสาคงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจางหายไป ส่วนมู่เฉิน เซียวเซียวและหลินจิ้งก็เก็บป้ายพลางมองไปที่พวกเซี่ยหยู่ “ตอนนี้เจ้ายังอยากได้สมบัติของพวกข้าอยู่อีกไหม?”

สายตาของเซี่ยหยู่มืดครึ้ม จากนั้นดวงตาก็วูบไหว ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับเซียวเซียวและหลินจิ้ง “แม่นางทั้งสอง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสองคนมาจากไหน? ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเห็นเจ้าทั้งสองในทวีปเทียนหลัวมาก่อน ตัวข้าชื่อว่าเซี่ยหยู่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างแคว้นเซี่ยของข้ากับมู่เฉิน หากแม่นางไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ แคว้นเซี่ยของข้าจะไม่ลืมพระคุณ”

แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นศิษย์ระดับมังกรทองคำ แต่เซี่ยหยูก็ยังคงมั่นใจในการรับมือหากหญิงสาวทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะตัวเขาก็เป็นศิษย์ระดับเดียวกัน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้

มู่เฉินไม่ได้ห้ามปรามอะไรเซี่ยหยู ตรงกันข้ามเขากลับหรี่ตามองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากเขาไม่คิดว่าแค่แคว้นเซี่ยจะสามารถยั่วยุองค์หญิงทั้งสองที่มีภูมิหลังน่ากลัวได้…

ซึ่งก็ตามที่มู่เฉินคาดไว้ เซียวเซียวเหลือบมองเซี่ยหยู่อย่างเย็นชาก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นราวกับว่าไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้

ทันใดนั้นหลินจิ้งก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ นางหยิบม้วนกระดาษสีทองออกมาจากแขนเสื้อโบกไปมา “เจ้าคือองค์ชายใหญ่-รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยเหรอ เยี่ยมเลย น้องชายเจ้าติดหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้าไว้เมื่อไม่นานมานี้และบอกว่าข้าสามารถไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อขอได้”

เมื่อเซี่ยหงได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงทันที

มุมริมฝีปากของเซี่ยหยู่ก็กระตุกก่อนที่จะปรายตามองไปที่เซี่ยหงด้วยท้าทางที่น่าเกลียด ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยด? นั่นจะทำให้คลังหลวงของแคว้นเซี่ยร่อยหรอไปเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเขาแม้แต่บิดาของพวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะจ่าย

“ทำไม? แคว้นเซี่ยคิดจะเบี้ยวหนี้เหรอ?” เมื่อหลินจิ้งเห็นสีหน้าของเขา ใบหน้าของนางก็บูดบึ้งไม่น่าดู

เซี่ยหยู่หายใจเข้าลึกตอบว่า “เงินจำนวนนี้มหาศาลมาก ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ แม่นางคงต้องไปถามท่านพ่อของข้าดู”

เขาไม่มีทางยอมรับหนี้หรอก ถ้าหลินจิ้งกล้าแสดงใบแจ้งหนี้นี้กับบิดาของเขาจริงๆ ละก็ นางอาจถูกเก็บอย่างทันท่วงที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีไม่กี่คนที่กล้ารีดไถเงินจากแคว้นเซี่ย

เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดของเขาก็พยักหน้าราวกับว่าไม่คิดถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดของเซี่ยหยู “งั้นข้าจะไปเยี่ยมแคว้นเซี่ยในอนาคตแล้วกัน”

มุมปากของเซี่ยหยู่และเซี่ยหงกระตุกพลางมองไปที่หลินจิ้งด้วยสายตาคล้ายกับมองคนโง่

แต่เมื่อพวกเขามองไปที่หลินจิ้งด้วยแววตาแบบนั้น ฉับพลันพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาที่คล้ายกัน ซึ่งทำให้พวกเขาอึ้งไปและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แต่มู่เฉินก็ไม่สนใจที่จะอธิบายให้พวกเขาฟัง เนื่องจากพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองโง่เขลาเพียงใดในอนาคตเมื่อรับรู้ตัวตนของหลินจิ้ง พี่น้องจอมโง่คู่นี้คิดจริงๆ หรือว่าจะไม่มีใครกล้าไปที่แคว้นเซี่ยเพื่อทวงหนี้?

ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้ของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม เอาแค่ผู้อาวุโสเล็กๆ ของแคว้นนหวูก็เพียงพอแล้วที่จะสั่งสอนแคว้นเซี่ยว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร

“พี่เซี่ยมีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่เช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหยู่

เขาไม่คิดที่จะต่อสู้กับพวกเซี่ยหยู่ที่นี่ เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากและหากต้องต่อสู้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบสวรรค์และรับพิธีชำระล้าง ส่วนบัญชีกับเซี่ยหยู่ก็จัดการในอนาคตแล้วกัน

เมื่อเซี่ยหยู่เห็นรอยยิ้มของมู่เฉินก็กำหมัดแน่นขึ้นพร้อมกับเปลวไฟโหมกระหน่ำในใจ ตอนแรกมดอย่างมันที่เขาเซี่ยหยูสามารถบี้ได้อย่างง่ายดาย กลับไปมาอย่างสบายต่อหน้าเขา ซึ่งเขายังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายด้วย

แต่ไม่ว่าจะรู้สึกโกรธแค่ไหน เซี่ยหยูก็ไม่กล้าที่พูดหรือยั่วยุอีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าหากการต่อสู้เกิดขึ้นพวกเขาไม่ได้เปรียบแน่นอน

จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยก็เงียบกริบ เพราะแม้แต่เซี่ยหยู่ยังไม่กล้าพูดแล้วพวกเขาจะกล้าได้ยังไง?

เมื่อทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ ก่อนหน้าเซี่ยหยู่มีท่าทีสูงส่งกับมู่เฉินคิดว่าจะสามารถปราบปรามเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร ทำให้เขาดูน่าสังเวชมาก

เซี่ยหยู่สัมผัสได้ถึงสายตาทุกคนที่จ้องมองมาอย่างสะใจ ทว่าเขาได้แต่รับไว้ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเซี่ยหยู่นิ่งเงียบไป เขาก็ยิ้มอ่อนไม่สนใจอะไรทะยานออกไปพร้อมกับหญิงสาวสามคนติดตามไปอย่างใกล้ชิด

ทั้งสี่จากไปท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน แต่คราวนี้ไม่มีใครหยุดพวกเขาอีก มากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะแย่งสมบัติที่พวกเขาได้รับจากเกาะมังกร

สถานะของศิษย์ระดับมังกรทองสามคนเพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาทั้งหมด

พวกเซี่ยหยู่เฝ้าดูมู่เฉินจากไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูด อากาศที่ครอบงำหายไปอย่างสมบูรณ์ ดูราวกับมะเขือเฉา

“พี่ใหญ่…” เซี่ยหงเปิดปากพูดอย่างไม่พอใจ ตอนแรกเขาคิดว่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินเพื่อแก้แค้นให้กับแขนที่ต้องเสียไป แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากถึงขนาดที่เซี่ยหยู่ยังกลัวจนไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว

“หุบปาก!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดครึ้มขณะถลึงตาใส่เซี่ยหง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่สร้างความขุ่นเคืองกับมู่เฉิน พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร?

เผชิญหน้ากับการรวมตัวของพวกมู่เฉิน แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเซี่ยหยู่ก็รู้สึกกดดัน เนื่องจากเขามั่นใจว่าสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการกับหลินจิ้งและเซียวเซียวผู้ลึกลับได้

เมื่อถูกตำหนิใบหน้าของเซี่ยหงก็มีสีเขียวสลับสีขาว อึดใจก็กัดฟัน “เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างนี้เหรอ? ท่านพ่อย้ำก่อนออกเดินทางหนักหนา ชื่อเสียงของแคว้นเซี่ยจะปล่อยให้จอมยุทธ์กระจ้อยร่อยเหยียบย่ำไม่ได้เด็ดขาด”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน เขามองไปยังทิศทางที่พวกมู่เฉินไป อึดใจก็ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ หรอก หึ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันได้ผู้ช่วยเหลือที่ทรงพลังสองคนมาจากไหน แต่…มันคิดว่าข้าไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นเรอะ? ข้าเชื่อว่าจาโหลหลัวและคนอื่นๆ ก็ต้องตั้งระวังสำหรับศิษย์ระดับมังกรทองคำที่ปรากฏตัวมาจากที่ไหนไม่รู้ ในเวลานั้นเราสามารถร่วมมือกับพวกเขากำจัดคนนอกเหล่านี้ ”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเซี่ยหยู่ก็เปลี่ยนเป็นน่าขนพองสยองเกล้าขณะพูดขึ้นอย่างน่ากลัว “ในเมื่อมู่เฉินกล้าท้าทายแคว้นเซี่ย ก็ขอข้าดูหน่อยสิว่ามันมีความสามารถพอไหม!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท