หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1147

ตอนที่ 1147

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1147 การต่อสู้ที่รุนแรง
ตู้ม! ตู้ม!

น้ำในทะเลสาบสวรรค์ไหลย้อนกลับ ผนึกอมตะราชันนับไม่ถ้วนระดมยิงย้อนกลับไปหาเซี่ยหยู่

“ไอ้เวร!”

เมื่อมองการโจมตีที่ย้อนกลับมา เซี่ยหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะสบถ เขากัดฟันกรอดด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะรับการโจมตีของเขาได้ง่ายขนาดนี้

และการเผชิญกับผนึกอมตะราชันที่พุ่งกลับมา แม้แต่เซี่ยหยู่ก็ยังไม่กล้าที่ดูถูกพลังของตนเอง เพราะเขารู้ชัดเจนว่าหากตราเหล่านั้นโจมตีเข้าใส่ กระทั่งเขาเองก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ

“โฮก!”

ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้า ร่างราชันฟากฟ้าอ้าปากกว้างแผดเสียงคำราม คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมไหวออกมา

“เสียงคำรามราชัน!”

คลื่นกระแทกที่รุนแรงทำให้รอยแตกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในมิติ ตราศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็พังทลายลงเมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทก

ปัง ปัง ปัง!

ในเวลาไม่กี่อึดใจผนึกอมตะราชันก็ถูกลบออกทั้งหมด น้ำในทะเลสาบรอบๆ ก็เต็มไปด้วยหลุมน้ำที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม

เมื่อผู้ชมเห็นพลังทำลายล้างเช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ความแข็งแกร่งที่เซี่ยหยู่แสดงออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้

“ร่างเทห์สวรรค์ที่แกฝึกฝนมีต้นกำเนิดเดียวกันกับของจาโหลหลัวจริงด้วย!” เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินอย่างมืดมน เขาสามารถยืนยันได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินเหมือนกับของจาโหลหลัวจากการแลกกระบวนท่ากันเมื่อครู่

เนื่องจากมีดวงตะวันทรงกลดและพลังที่เหมือนกัน

ทว่าร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัวมืดมนคล้ายกับหลุมดำลึกและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ขณะที่ของมู่เฉินสว่างไสวและยิ่งใหญ่ราวกับดวงอาทิตย์

ใบหน้าของมู่เฉินสงบเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เซี่ยหยู่เคยปะทะกับจาโหลหลัวมาแน่นอนแล้ว ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะเคยเห็นร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัว

“ส่งวิธีฝึกร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเจ้ามา ไม่เพียงแต่ข้าจะเสนอราคาที่น่าพอใจให้ นอกจากนี้แกยังได้ชื่อว่ามิตรกับแคว้นเซี่ยของข้าอีกด้วย” เซี่ยหยู่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาลุกโชน ในอดีตสาเหตุที่เขาพ่ายแพ้จาโหลหลัว เนื่องมาจากร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่อีกฝ่ายได้รับการฝึกฝนซึ่งครอบงำมากกว่าของเขา จากการคาดการณ์ของเขาพลังของร่างลึกลับนี้น่าจะเข้าสู่สามสิบอันดับแรก!

นั่นคือการจัดอันดับที่น่ากลัวแม้แต่ในแคว้นเซี่ยร่างเทห์สวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดก็เป็นร่างเทพราชันของบิดาเขาที่อยู่ในอันดับสี่สิบเท่านั้น

หากเขาสามารถได้รับทักษะฝึกฝนร่างลึกลับของมู่เฉิน เขาก็มั่นใจที่จะผงาดเหนือกว่าจาโหลหลัวและแม้แต่จู้เยี่ยน ก้าวขึ้นเป็นเจ้าทำเทียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว

ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาที่เขาข้ามเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน พลังของร่างเทห์สวรรค์ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างแท้จริง ยิ่งร่างเทห์สวรรค์มีอำนาจมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นเขาต้องได้รับร่างลึกลับนี้มาให้ได้!

“เอายังไง? ไม่ว่าจะราคาเท่าไรแคว้นเซี่ยของข้าก็ยินดีจ่าย!” เซี่ยหยู่จับจ้องไปที่มู่เฉิน

ทว่าเผชิญหน้ากับแววโลภมากของเซี่ยหยู่ มู่เฉินก็ไม่พูดอะไร เขากระทืบเท้าโดยไม่แสดงออกใดๆ รัศมีสีทองลอยอยู่บนฝ่ามือของร่างเทพสุริยะ ก่อร่างเป็นคทาสีทองขนาดใหญ่ในพริบตา

“เปิดเจ็ดตะวัน คทาขวางฟ้า!”

นิ้วของมู่เฉินชี้ออกไป คทาทะลุผ่านมิติราวกับพายุทองคำพุ่งเข้าหาร่างราชันฟากฟ้า

ชัดเจนว่านี่คือคำตอบของเขา

“ไอ้สามหาว! ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะซัดแกให้เดี้ยงก่อนแล้วก็เอาทักษะลึกลับของแกมา!” เมื่อเซี่ยหยู่เห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดุร้ายทันที

ตู้ม!

เขาวาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นข้างหลังพร้อมกับพลังงานไร้ขอบเขตพุ่งเข้าสู่ร่างราชันฟากฟ้า

“ทักษะเทห์สวรรค์ คทาราชัน!”

คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกพร้อมกับลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างราชันฟากฟ้ากลายเป็นคทาเปล่งประกายแวววาวไม่มีที่สิ้นสุด

ทะเลสาบสวรรค์แหวกออกจากกันเมื่อกระบวนท่าโจมตีครั้งใหญ่สองสายปะทะกัน

ครืน! ครืน!

ทันใดนั้นเสียงราวกับฟ้าฟาดก็โหมกระหน่ำไม่รู้จบ คลื่นหลิงรุนแรงพัดออกมาทำให้เกิดคลื่นขนาดหมื่นจั้งในทะเลสาบสวรรค์โดยรอบ

เมื่อผู้ชมเห็นกระบวนท่าฟาดฟันดุร้าย พวกเขาก็อึ้งไปด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตระหนักว่าร่างเทห์สวรรค์ที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินยังคงพราวไปด้วยประกายสีทองโดยไม่จางลงแม้แต่น้อย

“มู่เฉินสามารถสู้กับเซี่ยหยู่ถึงขั้นนี้ได้หรือเนี่ย?!” มีคนอดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้เซี่ยหยู่ได้ดึงพลังทั้งหมดออกมารวมทั้งทักษะเทห์สวรรค์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เปรียบอย่างชัดเจน

“ร่างเทห์สวรรค์ร่างนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน!” มีคนสายตาเฉียบแหลมสามารถบอกได้เหตุผลสำคัญที่มู่เฉินสามารถต่อสู้กับเซี่ยหยู่ถึงระดับนี้ได้ด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ก็เพราะร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเขา

“ถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไปและเซี่ยหยู่ไม่มีกระบวนท่าอื่นๆ อีก เขาก็คงทำอะไรมู่เฉินไม่ได้แล้วจริงๆ…” ใครบางคนถอนหายใจขณะที่มองมู่เฉินด้วยสายตาตกตะลึง เนื่องจากการที่สามารถต่อสู้กับเซี่ยหยู่ได้อย่างทัดเทียมด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น บ่งบอกว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด

“หลังจากการต่อสู้นี้อันดับห้าบนทำเนียบจะเป็นของมู่เฉินแน่นอน”

ขณะที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ต่อสู้กัน

ลำแสงสีทองก็พุ่งทะยานออกมาจากระยะไกล

จาโหลหลัวยืนบนเรือมังกรทองคำโดยสองมือไพล่หลัง กระจกทองแดงลอยคว้างอยู่ แสงหลิงวูบไหวบนกระจกซึ่งแสดงให้เห็นภาพการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหยู่

“ร่างเทพสุริยะที่มันฝึกฝนแตกต่างจากของข้า ดูเหมือนว่าร่างนั่นมีความลึกซึ้งอย่างแท้จริง ต่อให้การฝึกคล้ายกันแต่ก็ชำระร่างเทห์สวรรค์ที่แตกต่างกัน” จาโหลหลัวมองไปที่ร่างเทพสุริยะในกระจกขณะที่สายตาวูบไหว

“ดูเหมือนเซี่ยหยู่จะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อจัดการกับมู่เฉิน เมื่อคลื่นหลิงของเจ้านั่นหมดลงอย่างสมบูรณ์ ข้าก็จะเคลื่อนไหวฆ่ามันได้” จาโหลหลัวยิ้มบาง เขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับมู่เฉินอย่างยุติธรรมและปะทะกันตรงๆ เขาคิดจะฆ่ามู่เฉินในขณะที่อีกฝ่ายอ่อนแอ

จาโหลหลัวไม่สนใจสำหรับคนนอกจะมองว่าเขาชนะการต่อสู้แบบไร้ศักดิ์ศรี! ในโลกนี้คนที่ยืนหยัดสุดท้ายเท่านั้นที่จะชนะ!

เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจ จาโหลหลัวก็ควบคุมเรือมังกรทองคำเตรียมเข้าสู่สนามรบก่อนที่เซี่ยหยู่จะสังหารมู่เฉิน

ฟิ้ว!

ทว่าสายตาของจาโหลหลัวก็ต้องหดเกร็งทันที สองนิ้วแตะออกไปบนมิติที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าขณะที่กระบี่ยาวที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกอย่างน่ากลัว ฉีกท้องฟ้าเข้ามา

เคร้ง!

ดัชนีปะทะกับกระบี่ยาว ทำให้กระบี่แตกเป็นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในเวลาเดียวกันภาพเงาก็ปรากฏขึ้นในอากาศอย่างลึกลับ

“หุ่นเงา?” จาโหลหลัวมองไปที่ร่างนั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนที่จะมองไปยังระยะไกล มีคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนเรือมังกรทองคำแล้วพุ่งมาเบื้องหน้าเขาในช่วงสั้นๆ

เมื่อเห็นการมาถึงของคนผู้นี้ คิ้วของจาโหลหลัวก็เลิกขึ้น เนื่องจากเขาพบว่านางก็คือหญิงสาวลึกลับที่อยู่ข้างมู่เฉิน—หลินจิ้ง

“เฮ้ ทำตัวดีๆ หน่อย ไปหาจิตทะเลสาบสวรรค์โน้นไป อย่าวิ่งวุ่นวาย” หลินจิ้งโยนไข่มุกดำที่ปกคลุมไปด้วยอักขระโบราณในมือ ขณะมองไปที่จาโหลหลัวและพูดขึ้น

จาโหลหลัวหรี่ตามองไปที่หลินจิ้ง ก่อนจะหยุดสายตาจ้องไข่มุกดำแล้วม่านตาหดเกร็ง

นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากไข่มุกนั่น

ไข่มุกชิ้นนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์?! ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? ทำไมนางถึงมีของล้ำค่าเช่นนี้เหมือนเป็นของธรรมดาได้?!

สายตาจาโหลหลัววูบไหว จากนั้นก็หยุดการควบคุมเรือพลางยิ้ม “แม้ว่าเจ้าจะหยุดข้าได้ มันก็ตายอยู่ดี”

เซี่ยหยู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย แม้จะมีร่างเทพสุริยะมู่เฉินก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

ทว่าเมื่อหลินจิ้งได้ยิน นางก็ยิ้มอ่อน “งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหมล่ะ?”

“ฮ่าๆ”

จาโหลหลัวยิ้มแต่ไม่ตอบ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจจะวางเดิมพัน แต่เขาก็หยุดเคลื่อนไหวลงแล้วเนื่องจากเขารู้ว่าต่อให้เขาฝ่าการขัดขวางของหลินจิ้งไปได้ สมรภูมิตรงนั้นก็จบลงแล้ว

“แม้ว่าเจ้าจะขัดขวางข้า แต่ก็ไม่มีใครช่วยเขาได้… เซี่ยหยู่เชิญคนมาช่วยก่อนหน้านี้” จาโหลหลัวเงยหน้าขึ้นมองระยะไกลด้วยความหมายลึกซึ้ง

เวลาเดียวกันอีกสองจุดในทะเลสาบสวรรค์

จู้เยี่ยนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเซียวเซียว แต่ไม่ได้ขยับ เขาเพียงแค่หยุดเซียวเซียวไม่ให้ไปยังทิศทางของมู่เฉิน

อีกจุดหนึ่งใบหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลงขณะมองไปที่ซูชิงหยิงที่มาปรากฏตัวต่อหน้า ซูชิงหยิงยักไหล่ใส่อย่างไม่ยี่หระ “เซี่ยหยู่จ้างข้าแพงมากเพื่อขัดขวางเจ้า ข้าไม่ต้องการลงมือหนัก ดังนั้นรบกวนเจ้าอยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม?”

สายตาของจิ่วโยวเต็มไปด้วยแววเย็นเยือก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับ นางจ้องไปที่ซูชิงหยิง “เซี่ยหยู่-ตาย-แน่!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท