หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1145

ตอนที่ 1145

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1145 สู้กับเซี่ยหยู่
“ไสหัวไป!”

ภายใต้การห่อหุ้มของคลื่นหลิง เสียงคำรามเย็นชาของมู่เฉินกวาดออกไปราวกับคลื่นน้ำ กระทั่งน้ำในทะเลสาบก็ยังซัดเป็นคลื่น

ผู้ชมโดยรอบหลบหลีกเกลียวคลื่น ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาดและตกใจ

เห็นชัดพวกเขาไม่คิดเลยว่าเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างเซี่ยหยู่ มู่เฉินจะตอบกลับแบบทั้งตรงและแรงโดยไม่ไว้หน้าเซี่ยหยู่แม้แต่น้อย

นั่นเซี่ยหยู่นะ! องค์รัชทายาทแคว้นเซี่ย จอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับสี่ของทวีปเชียวนะ!

แม้แต่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัวก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับเซี่ยหยู่ได้ นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้มาจากฐานะ แต่มาจากการต่อสู้เลือดเดือดที่ในอดีต

เมื่อเผชิญกับคนเช่นนี้ แม้แต่จาโหลหลัว ซูชิงหยิงและคนอื่นๆ ก็ต้องต่อสู้อย่างจริงจัง

“มู่เฉินบ้าระห่ำเกินไปแล้ว…” บางคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงต่ำแฝงแววเยาะเย้ย แม้ว่ามู่เฉินจะโดดเด่นขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังขาดอีกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์เจนสนามอย่างเซี่ยหยู่

“ใช่ แต่มู่เฉินก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อไปไกลขนาดนี้ได้ตั้งแต่อายุเพียงนี้”

“ฮ่าๆ เขาจะธรรมดาได้อย่างไรในเมื่อรับตำแหน่งศิษย์ระดับมังกรทองคำ? ถ้าเซี่ยหยู่คิดสู้จริงๆ ข้าคิดว่าชนะหรือแพ้ก็คาดเดาลำบาก” มีคนหลายคนไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยหยู่ ดังนั้นจึงมีความคิดเห็นแง่ดีเกี่ยวกับมู่เฉิน

“ตลกล่ะ! ตัวตนของมู่เฉินในฐานะศิษย์ระดับมังกรทองคำจะเทียบกับเซี่ยหยู่ได้ยังไง? ข้าคิดว่าเขาอาจแค่โชคดีพบช่องโหว่ในประตูมังกรทะยานสวรรค์”

“…”

ขณะที่เสียงสนทนาผู้คนดังก้อง เซี่ยหยู่ก็ยืนกอดอกมองไปที่มู่เฉิน ก่อนจะค่อยๆ ถอนรอยยิ้มบนใบหน้าทีละน้อย

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบพวกเย่อหยิ่งต่อหน้า” เซี่ยหยู่หลุบตาขณะพูดเสียงเบา

“ถ้างั้นเจ้าก็ได้พบแล้ว” มู่เฉินตอบกลับแบบสบายๆ เซี่ยหยู่จ้องหาเรื่องเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำถ้ามีโอกาสก็จะโจมตีอย่างโหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช่ความจริงที่เขาต้องการรับการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาคงซัดเซี่ยหยู่เต็มเหนี่ยวไปแล้ว ยิ่งตอนนี้เซี่ยหยู่ยังพยายามคิดปล้นจิตทะเลสาบ มู่เฉินก็ไม่คิดยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว!

แสงเย็นเยือกวูบวาบในดวงตาของเซี่ยหยู่ก่อนจะพยักหน้า “ดี ในเมื่อแกเรียกร้องความตาย ข้าจะช่วยให้สมหวัง ถึงตอนนั้นข้าจะสงเคราะห์ส่งศพกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ให้”

“ยังไม่แน่เลยว่าใครจะส่งศพใครกลับ” มู่เฉินยิ้มขณะตอกหน้า

“ดูเหมือนค่ายกลรอบตัวเหล่านี้จะทำให้แกมีความมั่นใจมากนะ” เซี่ยหยู่เยาะเย้ย ในมุมมองของเขา เหตุผลที่มู่เฉินกล้าท้าทายเป็นเพราะการห้อมล้อมด้วยชั้นค่ายกลจำนวนมาก แต่มันไม่รู้หรือไงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเข้าสู่ขอบเขตค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังได้?

เผชิญกับหลิงเจิ้นซือที่วางค่ายกลไว้ คนมีสมองก็ไม่คิดทะเล่อทะล่าเข้าไปหรอก ดังนั้นหากมู่เฉินพูดยั่วยุคิดให้เขาพุ่งเข้าไปในค่ายกลก็ผิดคาดไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลชั้นนอกสุด ทำให้เกิดความหวาดกลัวแม้กระทั่งตัวเขา หากเขาเข้าไปต่อให้เป็นความมั่นใจในตัวเอง เซี่ยหยู่ก็ไม่รู้สึกว่าจะสามารถทำลายค่ายกลได้ง่าย

ประจันหน้ากับการเยาะเย้ยของเซี่ยหยู่ มุมปากมู่เฉินก็เผยรอยยิ้มเหยียดคล้ายกัน “แกกล้าท้าทายข้า แต่กลับขี้ขลาด รัชทายาทแคว้นเซี่ยน่าสังเวชจริงๆ”

ใบหน้าของเซี่ยหยู่เย็นชาลงหลายส่วนพลางจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาคมกริบเหมือนใบมีด ราวกับว่าเขาต้องการสับอีกฝ่ายเป็นพันชิ้น!

ทว่ามู่เฉินไม่ใส่ใจกลับยิ้มบาง “ในเมื่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ยอ่อนขนาดนี้ งั้นครั้งนี้ข้าก็จะเสียเปรียบให้หน่อยละกัน ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็หาว่าข้ารังแกเจ้าด้วยค่ายกล”

เมื่อพูดจบเรือมังกรทองคำก็ลอยออกมาจากขอบเขตของค่ายกล

มู่เฉินไม่ได้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงล้ำที่ออกจากแนวป้องกันของค่ายกล นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเซี่ยหยู่ไม่มีความกล้าที่จะเข้ามานี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียเวลามาก ซึ่งมู่เฉินไม่ต้องการให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากนี่คือช่วงเวลาทองคำ เขาต้องเก็บทุกวินาทีเพื่อจับจิตทะเลสาบ นอกจากนี้เขาก็ไม่สามารถอยู่ในค่ายกลได้ตลอด หากเขาบังคับเซี่ยหยู่มากเกินไปและทำให้อีกฝ่ายใช้วิธีการชั่วร้ายโดยการดึงดูดจิตทะเลสาบบางส่วนให้เข้ามาปะทะกับค่ายกล งานนี้มู่เฉินอาจจะพังยับเยินก็ได้

ดังนั้นเขาจึงเลือกก้าวออกไป ทิ้งปราการค่ายกลไว้ข้างหลังเพื่อเป็นการปกป้อง

“คึๆ มู่เฉินปล่อยค่ายกลแล้ว…เขามั่นใจอะไรขนาดนั้น” เมื่อผู้ชมเห็นภาพนี้ต่างก็อดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะการก้าวออกจากแนวป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ต้องการความกล้าหาญและมั่นใจในตนเองมากจริงๆ

“เป็นเพราะเซี่ยหยู่ขี้แหยนะสิ เขาเป็นรัชทายาทแคว้นเซี่ย แต่กระนั้นก็ยังขี้ขลาด มิน่าเขาถึงด้อยกว่าจาโหลหลัว ซูชิงหยิงและจู้เยี่ยน” มีคนส่ายหัวพลางพูดขึ้น

“ใช่สิ…”

ชัดว่าการกระทำของมู่เฉินทำให้ได้รับคำชม ขณะเซี่ยหยู่ถูกตำหนิ

เมื่อเซี่ยหยู่ได้ยินคำพูดจากที่ไกลเหล่านั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่คิดว่าการที่มู่เฉินก้าวออกมาก่อนจะทำให้เขาตกอยู่ในจุดน่าเกลียดชังเช่นนี้

แม้ว่าเขาจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ แต่คนอื่นๆ อาจบอกว่าเขาไม่สมควรได้รับชัยชนะ และถ้าเขาแพ้ก็จะกลายเป็นหินรองเท้าให้มู่เฉินก้าวขึ้นไป ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเขาแพ้ไปครึ่งทางแล้ว

“ไอ้เจ้าเล่ห์!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมนลงเนื่องจากไม่คิดว่าความลังเลเล็กน้อยของตนเองจะทำให้ตกอยู่ในแผนของมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อยแต่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแม้แต่เซี่ยหงก็แพ้คามือ มิหนำซ้ำยังถูกหลอกให้ประทับตราในใบแจ้งหนี้ด้วย

มู่เฉินยิ้มบาง ในเมื่อเซี่ยหยู่ต้องการให้เขาหยุดใช้ไพ่ตาย แกก็ต้องจ่ายราคาในการแลกเปลี่ยนเช่นกัน!

แม้ว่าความคิดเห็นของสาธารณชนจะไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับเขา แต่เซี่ยหยู่ก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธในใจ ก่อนที่จะมองมู่เฉินอย่างไม่แยแสพร้อมกับจิตสังหารกะพริบอยู่ในดวงตา

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่วางแผนที่จะทำให้มู่เฉินเป็นง่อยอยู่ที่นี่แล้ว

เซี่ยหยู่ทิ้งแขนลงข้างลำตัว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตปะทุออกมาจากร่างกายคล้ายกับภูเขาไฟพร้อมกับกวาดคลื่นออกมาทำให้น้ำในทะเลสาบถูกผลักออกไป พื้นที่รอบตัวกลายเป็นสุญญากาศ

คลื่นหลิงอันทรงพลังถูกปล่อยออกมา

เมื่อผู้ชมรู้สึกถึงแรงกดดันคลื่นหลิง ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ระดับของความกดดันอยู่ในขอบเขตระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มและใกล้เคียงกับจุดสูงสุดแล้ว

เซี่ยหยู่คู่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่จะก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน ดูเหมือนสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อมู่เฉินแล้ว

“ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าแผนทุกประเภทเป็นเรื่องตลกต่อหน้าความแข็งแกร่งแท้จริง”

ใบหน้าเซี่ยหยู่ฉายความไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดมือตรงก่อนที่จะกระแทกลงไปหามู่เฉินจากระยะไกล

ครืน!

เมื่อมือของเซี่ยหยู่กดลงมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่ามือกลายเป็นมังกรขนาดใหญ่เอิบอาบด้วยกลิ่นอายสูงส่ง ราวกับว่าเป็นจักรพรรดิ ณ ที่แห่งนี้

“แคว้นเซี่ย ฝ่ามือโอรสสวรรค์!”

ฝ่ามือควบแน่นด้วยกลิ่นอายมังกรของแคว้นเซี่ยซึ่งคล้ายกับจักรพรรดิปกครองโลก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าธรรมดาความกล้าก็ยังแตกสลายด้วยฝ่ามือนี้

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยหยู่เปิดเผยความแกร่งกร้าวทรงพลังทันทีที่ออกกระบวนท่า

ตู้ม ตู้ม!

มังกรตัวใหญ่กลายเป็นตราประทับมังกรแหวกผ่านมิติพุ่งเข้าหามู่เฉิน ช่างดูสูงส่งและครอบงำ

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือของเซี่ยหยู่อาจดูเรียบง่าย แต่พลังที่รวบรวมอยู่นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ

“แคว้นอ่อนแอกล้าที่จะประกาศตัวเองว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์เรอะ?”

ใบหน้าของมู่เฉินสงบลง ถ้าแคว้นเซี่ยสามารถครองทวีปเทียนหลัวได้ทั้งหมดรัศมีก็คงจะน่ากลัว แต่น่าเสียดายที่แคว้นเซี่ยเป็นเพียงผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นในทวีปเทียนหลัวเท่านั้น ซึ่งยังอ่อนหัดเกินไปที่ต้องการกดดันผู้คนด้วยรัศมี

โฮก!

มู่เฉินประกบมือ ทันใดนั้นเกลียวแสงสีทองก็พร่างพราวออกมาจากร่างก่อนที่ทุกคนจะเห็นเงามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน เมื่อเทพอสูรทั้งสองอุบัติขึ้น พลังอำนาจที่ไม่อาจพรรณนาได้ก็กระจายออกไป

นี่เป็นรัศมีจากมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง จักรพรรดิแห่งเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพ ดังนั้นพลังอำนาจจึงน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘รัศมีเทียนจื่อ’ ของแคว้นเซี่ย

“ฝ่ามือมังกรหงส์ปกครองสรรพสิ่ง”

มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ในม่านตาของมู่เฉิน ขณะที่เขาผลักฝ่ามือออกไป จิตวิญญาณเทพอสูรทั้งสองที่อยู่ข้างหลังก็รวมตัวเข้าหาฝ่ามือเขา ยิงออกไปในลักษณะของลำแสงสีทอง

ครืน!

ฝ่ามือทั้งสองกวาดข้ามมิติโดยแต่ละฝั่งมีมังกรอยู่ภายใน เปล่งกลิ่นอายสูงส่งขณะที่ปะทะกัน

พลังสองสายที่น่ากลัวปะทะกัน

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงทะยานออกมาปะทะกับมังกรฝ่ายตรงข้าม

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ทะเลสาบแปรปรวน แต่ใบหน้าของเซี่ยหยู่กลับไม่น่าดูเอาเลย เนื่องจากเขาเห็นว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง มังกรของเขาอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว

แม้มังกรที่เขาได้รับการฝึกฝนจะทรงพลัง แต่ก็อ่อนแอกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน มังกรของเขาคงจะพังทลายไปนานแล้ว

“ไม่คิดว่าแกจะมีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง!” ใบหน้าของเซี่ยหยู่มืดมน แต่ในส่วนลึกกลับปะทุด้วยความโลภ หากเขาได้รับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและให้มังกรของเขาได้กลืนกินละก็จะต้องเพิ่มพลังในการต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน

“วันนี้มู่เฉินต้องตาย!”

ดวงตาของเซี่ยหยู่เปล่งประกายด้วยเจตนาฆ่า จากนั้นเขาก็โบกมือเรียกมังกรที่อ่อนแอลงอย่างรวดเร็วกลับก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไป เกลียวแสงมากมายระเบิดออกข้างหลังก่อนที่ร่างขนาดใหญ่จะควบแน่นอย่างรวดเร็ว

ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิสีทองพร้อมมงกุฎราวกับเป็นผู้ปกครองที่เปล่งรัศมีสูงส่ง

เมื่อผู้ชมเห็นภาพนี้ม่านตาก็หดลงทันทีขณะที่อุทาน “นั่นคือ…ร่างราชันฟากฟ้า?”

อันดับที่สี่สิบห้าของคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง—ร่างราชันฟากฟ้า!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท