หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1154

ตอนที่ 1154

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1154 ประชันร่างเทห์สวรรค์
ในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์

การเคลื่อนไหวแปลกประหลาดส่งผลให้ความปลื้มปีติฉายบนใบหน้าของมู่เฉิน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงรอยประทับที่ปรากฏในห้วงแห่งจิต

แต่คราวนี้ความผันผวนจากรอยประทับเหล่านั้นดูเหมือนจะแตกต่างกับก่อนหน้านี้

นั่นเป็นเพราะไม่ได้มีจิตทะเลสาบเก้าสิบเก้าดวง แต่มีเพียงหนึ่งเดียว!

แต่ความผันผวนที่เปล่งออกมาก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน หากจิตทะเลสาบสวรรค์ทั้งเก้าสิบเก้าดวงมีลักษณะคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า ความผันผวนหนึ่งเดียวนี้ก็เสมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังโลก

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปากของมู่เฉิน นั่นหมายความว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องแล้ว

สิ่งที่เรียกว่า ‘จิตทะเลสาบสวรรค์ดวงที่ร้อย’ นั้นไม่สามารถได้รับโดยวิธีทั่วไป

ครืน!

ขณะที่มู่เฉินรู้สึกมีความสุขในหัวใจ ทะเลสาบเหนือจู้เยี่ยน จาโหลหลัว เซียวเซียวและหลินจิ้งก็สั่นสะเทือนรุนแรงก่อนที่จะเทลงมาล้อมรอบพวกเขาราวกับน้ำตก

น้ำตกมีพลังงานบริสุทธิ์มาก หนาแน่นจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นสะเก็ดระยิบระยับ

สะเก็ดถูกสร้างขึ้นจากคลื่นหลิงที่ควบแน่นอย่างมาก เพียงแค่เศษละอองก็เทียบเท่ากับของเหลวจื้อจุนพิสุทธิ์หลายหมื่นหยด

เมื่อน้ำตกไหลลงมาทั้งสี่คนก็เร้าร่างเทห์สวรรค์ออกมาเพื่อรับการชำระล้าง

จู้เยี่ยนเป็นคนแรกที่เปิดเผยร่างเทห์สวรรค์ เปลวไฟไร้ขอบเขตรวมตัวอยู่ข้างหลังเขากลายเป็นเงาเพลิงขนาดใหญ่ในอึดใจ แรงครอบงำของเปลวไฟทำให้มิติบิดเบี้ยว ร่างนั้นราวกับเทพอัคคีอย่างไรอย่างนั้น

“นั่นคือร่างเทพอัคคีของจู้เยี่ยนเหรอ? ลือกันว่านี่เป็นหนึ่งในร่างเทห์สวรรค์ล้ำค่าเผ่าเทพอัคคี อยู่อันดับที่สามสิบสี่ของทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!” เมื่อจู้เยี่ยนนำร่างเทห์สวรรค์ออกมา ความโกลาหลก็กวนตัวทันที ทุกคนฉายความโลภในดวงตา ร่างเทห์สวรรค์อันดับแบบนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ขั้วอำนาจอย่างแคว้นเซี่ยก็ยังไม่มี

มู่เฉินจ้องไปที่ร่างเทห์สวรรค์ร่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจชื่นชม ตามการคาดการณ์นี่อาจเทียบได้กับร่างเทพสุริยะของเขาเลยก็ว่าได้

ท้ายที่สุดแล้วร่างเทพสุริยะน่ากลัวในแง่ของศักยภาพ แต่เวลานี้ยังอยู่ในสถานะร่างต้น ดังนั้นในแง่ของการจัดอันดับอาจอยู่ในอันดับสามสิบเท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับร่างเทพอัคคี

ในอดีตตอนที่มู่เฉินยังอ่อนแอ เขาเจอเหล่าจอมยุทธ์ที่ไม่ได้มีรากฐานแข็งแกร่งจึงสามารถผงาดเหนือกว่าได้ด้วยร่างเทพสุริยะ แต่ในขณะนี้เขาปะทะกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ร่างเทห์สวรรค์ที่เจอก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นสามารถจินตนาการได้ว่าบางทีวันหนึ่งเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีร่างเทห์สวรรค์ที่เหนือกว่าตัวเอง

ถึงเวลานั้นก็ถึงคราวของเขาต้องกระอักบ้าง

ดังนั้นก่อนที่สถานการณ์ดังกล่าวจะปรากฏขึ้นเขาต้องพัฒนาร่างเทพสุริยะให้ได้ในวังโบราณแห่งนี้ ด้วยวิวัฒนาการเขาจะสามารถรักษาความได้เปรียบที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ได้

ขณะที่มู่เฉินครุ่นคิด ด้านหลังของหลินจิ้งก็เกิดแสงพรั่งพรูออกมาอย่างอ่อนโยนราวกับว่าสามารถยอมรับและหลอมรวมกับทุกสรรพสิ่งได้

แสงก่อร่างเป็นเงาขนาดใหญ่และสง่างามเปล่งประกายแวววาวราวกับหยกดูเหมือนว่าสามารถรวมเข้ากับอะไรก็ได้ ในมือถือขวดหยกซึ่งตรงปากขวดมีความผันผวนที่น่าอัศจรรย์คลุมเครือเล็ดลอดออกมาราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวได้รับการหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน

เมื่อนางเร้าร่างเทห์สวรรค์ของตัวเองออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักถึงบางอย่างจนต้องหายใจเข้าลึกๆ

“คัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ที่หลินจิ้งฝึกฝนคือร่างเทพหยก ซึ่งอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปดในทำเนียบ!” หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้านพร้อมกับความตกใจบนใบหน้า

ร่างเทพหยกไม่ได้มีชื่อเสียงนักในมหาพันภพ แต่ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ เป็นเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนโหดเหี้ยมเกินไปและทรัพยากรที่ต้องการก็เป็นสิ่งที่ต่อให้คั้นขั้วอำนาจระดับสูงยังอาจไม่สามารถฝึกได้สำเร็จ

เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของร่างเทพหยกไม่ใช่เรื่องการจัดอันดับ แต่เป็นความสามารถในการรวมเข้ากับทุกสรรพสิ่ง ตราบใดที่ผู้ฝึกสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้นหากตัดสินใจที่จะฝึกร่างเทห์สวรรค์ที่สูงขึ้นในอนาคต พวกเขาใช้ร่างเทพหยกเป็นรากฐานได้ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถฝึกร่างเทห์สวรรค์ร่างใหม่ได้เร็วมากขึ้น พลังก็จะมีข้อดีของทั้งสองร่างรวมไว้เช่นกัน ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน

ดังนั้นแม้ว่าร่างเทพหยกจะอยู่ในอันดับที่ยี่สิบแปด แต่ความเก่งกาจก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิบอันดับแรก!

“มีพ่อที่ดีก็เยี่ยมแบบนี้แหละ”

กระทั่งมู่เฉินก็อดถอนหายใจไม่ได้ อาจมีเพียงยอดยุทธ์ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้นที่สามารถจัดหาทรัพยากรให้กับบุตรสาวเพื่อฝึกฝนร่างเทพหยกได้

จู้เยี่ยนตกใจไปเล็กน้อยเมื่อร่างเทพหยกปรากฏตัวเบื้องหน้า เขามองไปที่หลินจิ้งรากฐานที่ปรากฏของหญิงสาวทำให้เขาชักหวั่นใจ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ต้องมีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าเซียวเซียว

แววตาของจาโหลหลัวมืดครึ้มโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ไม่รู้ว่าร่างเทห์สวรรค์ของเซียวเซียวคือร่างอะไร?” ขณะที่รู้สึกถึงความผันผวนในส่วนลึกของทะเลสาบสวรรค์มู่เฉินก็มองไปที่เซียวเซียวอีกครั้ง บิดาของนางคือเทพจักรพรรดิอัคคีที่มีชื่อเสียง ดังนั้นร่างเทห์สวรรค์ที่เขาเตรียมไว้ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน

แม้ว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะไม่เคยพบปะกัน แต่บุตรสาวของพวกเขาก็ต้องมีจิตวิญญาณการแข่งขันของสตรีอยู่ในใจ

เซียวเซียวหลับตาลง ประกายสีรุ้งพวยพุ่งออกมาที่ด้านหลัง กลั่นตัวเป็นเงาขนาดใหญ่ซึ่งเป็นรูปร่างที่สง่างามนัก ทว่าร่างนี้มีส่วนล่างเป็นงูที่มีเกล็ดระยิบระยับทำให้ดวงตาของคนมองละลานไปหมด

“นั่นคือร่างอะไร?” เมื่อมู่เฉินเห็นร่างเทห์สวรรค์นั่นก็ตะลึงงัน นั่นเป็นเพราะตามความรู้ที่มีดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีร่างเทห์สวรรค์ดังกล่าวอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง

เห็นได้ชัดว่าเซียวเซียวฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับซึ่งไม่ได้อยู่ในการจัดอันดับ แต่จากความผันผวนที่เปล่งออกมาแม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยอันตรายที่มาจากมัน

เขารู้สึกได้ว่าร่างเทห์สวรรค์ลึกลับนี้อาจไม่ด้อยไปกว่าร่างเทพสุริยะ

“หรือว่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นผู้คิดค้นขึ้นเอง? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่ากลัวเกินไปแล้ว” มู่เฉินแอบเดาะลิ้น

ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป มีหลายคนมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ลึกลับของเซียวเซียวด้วยความสงสัย ทว่าเนื่องจากพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานะของเซียวเซียว พวกเขาจึงไม่สามารถคาดเดาได้

ขณะนี้มู่เฉินมองไปที่จาโหลหลัวด้วยสายตาเฉียบคม

อีกฝ่ายก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยไอสังหารที่กะพริบอยู่ในดวงตา ก่อนที่เขาจะยกมุมปาก มือวาดตราประทับขึ้น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ควบแน่นอยู่ข้างหลังพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้แผ่นดินร้าวกระจายออกไป มิติถึงกับโยกคลอน

ทุกคนมองเห็นดวงอาทิตย์มหึมาลอยขึ้นพร้อมกับภาพเงาขนาดใหญ่นั่งอยู่กวาดมองโลก

ระลอกทรงพลังแผ่ไปในมิติ

มู่เฉินมองไปที่ร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัว ม่านตาก็หดตัวลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวคล้ายกับของเขามาก แต่ร่างเทห์สวรรค์ของเขาเป็นสีทองขณะที่ของจาโหลหลัวเป็นสีดำ

นอกจากนี้ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวยังเป็นดวงตะวันสีดำหมุนรอบตัวเองคล้ายกับหลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งในโลกได้

ถ้าเปรียบร่างเทพสุริยะที่มู่เฉินฝึกฝนเป็นความรุ่งโรจน์สง่างาม งั้นร่างเทพสุริยะของจาโหลหลัวก็คล้ายกับหลุมดำที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นที่มอง

ทั้งสองร่างมีความคล้ายคลึง แต่ก็เดินสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่เมื่อจาโหลหลัวเร้าร่างเทพสุริยะออกมาคลื่นหลิงรอบๆ ตัวมู่เฉินก็เดือดพล่านรุนแรงพร้อมกับความมันวาวกลั่นข้างหลัง ร่างเทพสุริยะของเขากำลังจะถูกเรียกออกมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

แต่สุดท้ายก็ถูกระงับลงไป ก่อนที่เขาจะเหลือบมองไปที่จาโหลหลัว ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงมีความรู้สึกว่าระหว่างพวกเขาจะต้องมีคนถูกทำลาย

หนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถคงอยู่!

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส จากนั้นก็ยิ้มบาง “หลังจากการชำระนี้ร่างเทพสุริยะของข้าจะไปถึงจุดสูงสุด ในเวลานั้นร่างเทพสุริยะของแกจะถูกข้าทำลาย”

มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าร่างเทพสุริยะของแกจะกลายเป็นหินลับมีดให้ข้ามากกว่ามั้ง”

“โอ้? ด้วยอะไร? คนที่สูญเสียการชำระล้างเหรอ?” จาโหลหลัวยิ้มไม่เชิงยิ้ม

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของมู่เฉินขณะมองไปที่จาโหลหลัว “แกคิดว่าข้าเสียการชำระล้างไปแล้วเหรอ?”

เมื่อพูดจบมู่เฉินก็ค่อยๆ กางแขนออก

ดวงตาของจาโหลหลัวหรี่ลง แต่ขณะกำลังจะพูดม่านตาก็หดแคบลง เนื่องจากเขาเห็นเวิ้งน้ำที่อยู่ใต้เท้าของมู่เฉินระเบิดออกมาด้วยเกลียวแสงแวววาวมากมาย

ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็วจากภายในทะเลสาบสวรรค์!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท