หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1157

ตอนที่ 1157

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1157 ไม่สมบูรณ์?
ฮึ่ม!

ทันทีที่มู่เฉินลืมตาขึ้นก็ราวกับว่ามีแสงพร่างพราวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครกล้ามองไปตรงๆ ทุกคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยง

แหล่งกำเนิดของแสงก็คือดวงตาของมู่เฉิน

แต่ในขณะนี้ดวงตาของเขาดูดำสนิทยิ่งขึ้น ราวกับว่ามีทะเลสาบสวรรค์ในส่วนลึกของดวงตาซึ่งดูลึกซึ้งมาก

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดออกจากร่างกายมู่เฉินพุ่งทะยานระหว่างฟ้าดิน

“คลื่นหลิงแปรปรวนนี้…น่าจะเป็นระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด!” จอมยุทธ์หลายคนดวงตาเป็นประกายเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงาน ดูเหมือนมู่เฉินจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดจากพิธีชำระขั้นสมบูรณ์ครั้งนี้

แต่ก็ไม่มีใครแปลกใจ ตรงกันข้ามพวกเขาค่อนข้างงงงัน ทำไมการชำระล้างที่สมบูรณ์แบบที่สุดกลับพามู่เฉินมาถึงแค่ระดับนี้เท่านั้น?

เพราะตอนแรกมู่เฉินก็อยู่ในขั้นเก้าระยะต้นอยู่แล้ว ใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการปรับแต่งคลื่นหลิงก็สามารถเข้าสู่ขั้นเก้าระยะปลายสุด

ดังนั้นผลลัพธ์ในยามนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อเลยทีเดียว

“โอ้ เดี๋ยวก่อน… คลื่นหลิงของมู่เฉินยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!” ขณะที่ผู้คนกำลังงงงวย ทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายมู่เฉินยังไม่คงที่และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตู้ม ตู้ม!

ระลอกคลื่นหลิงแผ่กระจายออกมาราวกับน้ำท่วมทรงพลัง ไต่ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุดของระยะปลายสุด ก่อนจะพยายามบุกโจมตีระยะเต็ม

ทว่านั่นก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แตะได้เพียงขอบเขตระยะเต็มเท่านั้น

แต่โชคดีที่ความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากมู่เฉินแกร่งกร้าวมาก หลังจากพยายามหลายครั้งในที่สุดก็ก้าวผ่านขอบเขต คลื่นหลิงของเขาแผ่กระจายออกไปในลักษณะของกระแสพลัง

มู่เฉินบรรลุขั้นเก้าระยะเต็มเรียบร้อย!

ด้วยความช่วยเหลือของพิธีชำระล้างทะเลสาบสวรรค์ขั้นสมบูรณ์ มู่เฉินก้าวข้ามจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นสู่ระยะเต็มได้!

“การชำระล้างขั้นสมบูรณ์สมคำล่ำลืออย่างแท้จริง” หลายคนถอนหายใจในหัวใจ การชำระล้างดังกล่าวเปรียบกับเวลาการเพาะบ่มพลังหลายปีของพวกเขาเลยทีเดียว

ทว่าไม่มีใครรู้สึกประหลาดใจกับความสำเร็จในการบรรลุสองขั้นของมู่เฉิน เพราะนี่คือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์เลยนะ

ขณะที่ทุกคนกำลังอุทานเกี่ยวกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นของมู่เฉิน หญิงสาวทั้งสามคนก็มุ่นคิ้วบางเบา บางทีคนอื่นอาจคิดว่ามู่เฉินพอใจที่สามารถเพิ่มขุมพลังได้สองขั้น แต่พวกนางไม่ได้มีมุมมองแบบเดียวกัน เนื่องจากพวกนางเห็นว่ายากเพียงใดที่มู่เฉินจะก้าวเข้าสู่การพัฒนา เขาต้องพยายามหลายครั้งกว่าจะก้าวผ่านขอบเขตของระยะเต็มได้

ซึ่งนั่นเกิดจากการที่มีพลังงานไม่เพียงพอ

สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉินจิงเจ๋อและจิ่วโยว ซึ่งพวกเขารับการชำระล้างขั้นสูงเท่านั้นขณะที่ของมู่เฉินเป็นขั้นสมบูรณ์แบบนะ! ในเมื่อการชำระล้างของทะเลสาบสวรรค์เป็นหนึ่งในรากฐานของวังสวรรค์บรรพกาล พิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์จึงถูกมองว่ามีความสำคัญมาก ว่ากันว่าในเวลานั้นศิษย์คนใดที่สามารถได้รับกระบวนการนี้จะเป็นจอมยุทธ์คนสำคัญของวังโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ทรงพลังเพียงใด

ดังนั้นภายใต้การคาดการณ์นี้ มู่เฉินก็น่าจะเข้าสู่ระยะเต็มแบบง่ายดาย แต่สถานการณ์นี้ทำให้พวกนางงงงวย

ยิ่งไปกว่านั้น… เมื่อพวกนางมองไปที่ร่างเทพสุริยะที่เอิบอาบด้วยประกายแสงสีทองคล้ายกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่าได้รับการปรับปรุงอย่างดีเยี่ยมผ่านการชำระล้าง

แต่… การเพิ่มประสิทธิภาพนั้นก็ไม่เป็นไปตามที่พวกนางคาดไว้

หญิงสาวทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตกัน คลื่นหลิงในพิธีการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ไม่ให้มู่เฉินบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างง่ายดายและไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับร่างเทห์สวรรค์อย่างมาก แล้วพลังงานทั้งหมดนั้นไปไหน?

หรือการชำระล้างขั้นสมบูรณ์อ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป?

หากเป็นเช่นนั้นมู่เฉินก็สูญเสียมากเกินไปแล้ว

หญิงสาวทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจมู่เฉิน ตอนแรกเขาน่าจะยืนในตำแหน่งเดียวกับจู้เยี่ยนและจาโหลหลัวจากความช่วยเหลือของพิธีชำระล้าง แต่เมื่อมองจากเวลานี้ดูเหมือนว่าความหวังกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว

แม้ว่ามู่เฉินจะถือว่าก้าวเข้าสู่ระยะเต็ม แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันในระดับเดียวกันยกตัวอย่างเช่นฉินจิงเจ๋อ หากเขาต่อสู้กับจาโหลหลัวผลลัพธ์จะจบลงด้วยการถูกบดขยี้

แน่นอนว่ามู่เฉินไม่สามารถตัดสินด้วยวิธีธรรมดา ตอนที่เขาอยู่ในขั้นเก้าระยะต้น เขาก็สามารถฆ่าเซี่ยหยู่ที่อยู่ในระยะเต็มได้ ในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าเขาจะพบใครบางคนที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับนี้ก็ตาม

แต่ตอนนี้คงเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับเขาที่จะทำเช่นนั้น

ขณะที่หญิงสาวทั้งสามถอนหายใจ คลื่นหลิงทรงพลังที่เอิบอาบร่างมู่เฉินก็หดกลับอย่างรวดเร็ว ร่างเทพสุริยะก็จางหายไป

มู่เฉินก้มมองร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าสงบ ไม่มีความผิดหวังบนใบหน้า

ในฐานะจอมยุทธ์ที่ผ่านพิธีชำระล้างขั้นสมบูรณ์ เขารู้ดีว่าตอนแรกความแข็งแกร่งของร่างเทพสุริยะกับตัวเขาจะสามารถเพิ่มในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้

“ฮะฮ่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะดวงจู๋นะ” ทันใดนั้นเสียงเยาะเย้ยก็ดังขึ้น มู่เฉินเห็นจาโหลหลัวมองมาด้วยท่าทางสองมือไพล่หลัง

เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกได้ว่าการชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์

“ใช่สิ” มู่เฉินพยักหน้าอย่างใจเย็นตอบสนองต่อการเยาะเย้ยของจาโหลหลัว

เมื่อจาโหลหลัวเห็นท่าทางสงบของมู่เฉินก็ยิ้มบาง “น่าเสียดายตอนแรกข้าคิดว่าจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างพวกเรา แต่เมื่อมองตอนนี้เจ้าล้มเหลวในการคว้าโอกาสนี้ซะแล้ว”

การชำระล้างขั้นสมบูรณ์ของมู่เฉินไม่สมบูรณ์ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นจาโหลหลัวก็รู้สึกว่ายังมีช่องว่างระหว่างเขากับมู่เฉินอยู่

ตัวเขาอยู่ในระยะเต็มมานานหลายปี ผ่านการขัดเกลาตามเวลาเพื่อสะสมรากฐาน ขณะที่มู่เฉินเป็นเพียงจอมยุทธ์ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระยะนี้ด้วยพื้นฐานที่อ่อนแอกว่า

ดังนั้นจาโหลหลัวมั่นใจว่าจะเป็นคนที่ได้รับชัยชนะหากพวกเขาต่อสู้

ทว่าเผชิญกับคำพูดพวกนี้ มู่เฉินก็จ้องมองไปที่จาโหลหลัวก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ก็น่าเสียดายจริงๆ”

เสียงราบเรียบอีกตามเคย

แต่รอยยิ้มของจาโหลหลัวกลับค่อยๆ หายไปขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาหรี่แคบลง หรือว่าไอ้นี่ผิดหวังจนไม่สนใจอะไรแล้ว?

ทว่าจาโหลหลัวก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงฟื้นสติอย่างรวดเร็วก่อนที่จะพยักหน้าให้มู่เฉินด้วยรอยยิ้ม “หวังว่าเจ้าจะยังคงสงบสติอารมณ์แบบนี้ได้ เมื่อข้าทำลายร่างเทพสุริยะของเจ้า”

“ได้”

มู่เฉินคลี่ยิ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่หลังรอยยิ้ม

เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉินเปลือกตาของจาโหลหลัวก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกไม่สบายใจในใจ

“ไอ้สารเลวที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มด้วยรากฐานที่อ่อนแอ ทักษะและร่างเทห์สวรรค์ก็ไม่สามารถเทียบกับข้าได้ ยังคิดจะพลิกสถานการณ์เรอะ? แค่ปลอมเป็นเทพเพื่อหลอกผีก็หวังจะทำให้ข้าตกอยู่ในความสงสัย เพ้อฝันเกินไปแล้ว!”

จาโหลหลัวหายใจเข้าลึกพร้อมกับคลื่นในใจขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะโบกมือ กลายเป็นร่างแสงพุ่งออกไปจากทะเลสาบสวรรค์อย่างรวดเร็ว

เมื่อจาโหลหลัวไปแล้ว ทะเลสาบสวรรค์ก็ระเบิดความโกลาหลอีกครั้ง ทุกคนเริ่มผละไป อย่างไรก็ตามทะเลสาบสวรรค์เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย ยังมีหอของเหล่าจอมพลและจักรพรรดิฟ้าในตำนานรออยู่

หากพวกเขาสามารถได้รับหนึ่งในมรดกเหล่านั้น พวกเขาก็จะมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ในมหาพันภพแน่นอน

จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินและเซียวเซียว ซึ่งหญิงสาวก็สังเกตเห็น นางมองกลับไปด้วยความเฉยเมย

จู้เยี่ยนไม่ได้พูด แต่ดวงตาลุกโชนด้วยไฟการต่อสู้ก่อนที่เขาจะกระทืบเท้ากลายเป็นลูกไฟพุ่งจากไป

ซูซิงหยิงยิ้มให้มู่เฉินพลางมองมาด้วยความสนใจ แต่สุดท้ายก็โบกมือจากไป

เมื่อทุกคนจากไป มู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นใกล้พรรคพวก เขาเงยหน้าขึ้นมองส่วนลึกวังโบราณด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะการชำระล้างที่ทะเลสาบสวรรค์สิ้นสุดลงแล้ว เราเดินทางกันต่อเถอะ”

เป้าหมายต่อไปของเขาก็คือหอคัมภีร์เทพซ่อน

ซึ่งมีวิธีการวิวัฒนาการของร่างเทพสุริยะ

ในเวลานั้นจะเป็นศึกมรณะระหว่างเขากับจาโหลหลัว

มู่เฉินมองไปยังทิศทางที่จาโหลหลัวออกไป มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาวูบไหว

เพื่อที่จะรับมือกับแก ข้าเตรียมตัวมาจนถึงระดับนี้แล้ว หวังว่าถึงตอนนั้นแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท