หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1159

ตอนที่ 1159

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1159 หอสอง
แท่นดอกบัวสีแดงเข้มวางอยู่ในส่วนลึกของโถงเสียหาย

ซึ่งยังคงเปล่งประกายแวววาวอ่อนโยนดูแปลกตามาก

แต่สายตาของมู่เฉินไม่ได้จดจ่อที่แท่นนั้น แต่จับจ้องไปที่ดอกไม้สีดำน่าหลงใหล

ดอกไม้มีขนาดประมาณสิบกว่าจั้ง ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ทุกกลีบใบดูราวกับเกิดมาจากฟ้าดินที่สมบูรณ์แบบ

ทว่าเมื่อมองเข้าไปให้ชัดเจนก็จะรู้ว่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ ดอกตูมอ่อนข้างลำต้นแตกออกไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ

มู่เฉินคิดว่าสิ่งนี้คงต้องเกิดขึ้นตอนที่มั่นถัวหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นางแยกดอกตูมอ่อนออก ผนึกร่างหลักไว้เพื่อหลบหนีออกไปจากวังสวรรค์บรรพกาลและรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้

เวลานี้ดอกไม้ตั้งอยู่เงียบๆ บนแท่นดอกบัวราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนน่าสะพรึงกลัวที่มาจากดอกไม้ราวกับว่าลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งทำให้เขาต้องแอบเดาะลิ้น

หลังจากถอนหายใจ มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบร่างหลักของมั่นถัวหลัวก่อนจะได้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน

แต่มู่เฉินก็สงบใจตัวเอง จากนั้นก็สังเกตโถงจำภูมิทัศน์เพื่อที่จะได้จดรายละเอียดภัยคุกคามทั้งหมดที่อยู่รอบๆ

โถงเงียบสงบเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวน่าขนลุกและร่องรอยการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการสู้รบรุนแรงขึ้นที่นี่

ทั้งห้องเงียบสงบ แต่มู่เฉินรู้สึกได้ถึงอันตรายภายใต้ความเงียบ

มู่เฉินหรี่ตาลงมองไปรอบๆ ก่อนดวงตาจะหดเกร็งหลังจากสิบลมหายใจสั้นๆ สายตาของเขาพุ่งตรงไปที่กองโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสารอบห้องโถง

มีโครงกระดูกจำนวนมากมายนอนอยู่รอบๆ แต่หลังจากที่มู่เฉินตรวจสอบก็รู้ว่าโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสาเหล่านั้นไม่ได้นอนแบบระเกะระกะ พวกมันมีท่านั่ง แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนใดๆ มาจากพวกมัน แต่มู่เฉินก็ยังคงรู้สึกถึงอันตรายเลือนราง

นอกจากนี้แม้ตำแหน่งจะดูซับซ้อน แต่กลับวางไว้อย่างคลุมเครือในรูปแบบค่ายกล ถ้ามู่เฉินเดาถูกน่าจะมีค่ายกลที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกเหล่านั้น

ซึ่งต้องเป็นค่ายกลที่น่ากลัวอย่างแน่นอน

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้ามั่นถัวหลัวเคยบอกว่านางถูกลู่หย่วนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าอีกฝ่ายต้องการฆ่าก็จะจัดการให้สิ้นซาก ดังนั้นสถานที่ที่นางเลือกผนึกรักษาตัวเองจะต้องมีพลังเพื่อปกป้องด้วย

ถ้าเขาเดาไม่ผิดค่ายกลที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกน่าจะเป็นความหวังอย่างหนึ่งของมั่นถัวหลัว ทว่านี่ก็ทำให้มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเนื่องค่ายกลขัดขวางเส้นทางของเขาเต็มๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเขาเข้าไปในโถงจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

“นี่เป็นปัญหาตอนนี้” ตามการคาดการณ์แม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่สามารถผ่านและนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้

มู่เฉินรู้สึกปวดหัวจี๊ด นี่ยังไม่ใช่สุสานจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาจะยังให้มั่นถัวหลัวเข้ามาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมิติระเบิดแน่

“ข้าต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้ประสบความสำเร็จ” มู่เฉินหรี่ตาครู่ต่อมาหัวใจก็สั่นสะท้านก่อนที่แสงแปลกประหลาดจะวาบขึ้นในดวงตา

ความช่วยเหลือจากภายนอก… มู่เฉินกำมือป้ายโบราณก็ปรากฏขึ้นนี่เป็นป้ายของจอมพลสองที่เขาได้จากงานประมูล!

ซึ่งเป็นป้ายกองทัพสังหารวิญญาณของจอมพลสอง!

มู่เฉินมองไปที่ป้ายกองทัพหัวใจก็กระโจนขึ้น มั่นถัวหลัวบอกว่ากองทัพสังหารวิญญาณสิ้นชีพลงหลังจากที่สังหารนักรบปีศาจระดับตี้จื้อจุนจำนวนมาก แต่จอมพลสองจะต้องรักษาพวกเขาเอาไว้บางส่วนด้วยวิธีพิเศษ

หากเขาสามารถใช้ป้ายกองทัพนี้สั่งการกองทัพสังหารวิญญาณ การผ่านห้องโถงนี้เพื่อนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาก็อาจใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้มู่เฉินยังมีความคิดลึกซึ้งลงไปอีก นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับเขา

โอกาสในการแสดงให้หอคัมภีร์เทพซ่อนได้เห็น

แววตามู่เฉินพราวระยับ เขาพบร่างหลักของมั่นถัวหลัวจากภาพที่วาบผ่านไปซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

มู่เฉินเชื่อว่านี่อาจเป็นการสร้างขึ้นโดยหอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นได้

นั่นเป็นเพราะหอคัมภีร์เทพซ่อนต้องการดูผลงานของเขา ดูว่าเขาจะสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้สำเร็จหรือไม่

หากเขาทำสำเร็จอาจได้รับการตอบรับเพื่อเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนก็ได้

แน่นอนว่าถ้าเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียทั้งร่างหลักของมั่นถัวหลัวและวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ

ซึ่งนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่สำหรับเขา

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็กลายเป็นเคร่งเครียด หากเขาสูญเสียวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะก็จะทำให้เกิดการหยุดชะงักและสูญเสียความได้เปรียบในอนาคตและการสูญเสียร่างหลักของมั่นถัวหลัวก็หมายความว่าฮ่องเต้เซี่ยจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

ด้วยพลังในปัจจุบันของมั่นถัวหลัว นางสามารถหยุดฮ่องเต้เซี่ยไว้ได้เพียงคนเดียว แต่ยังมีลู่หย่วนประมุขตำหนักเทพปีศาจ ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว

ดังนั้นเขาจะล้มเหลวไม่ได้!

มู่เฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นเขาก็มองไปที่โถงโบราณซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของหอหนึ่ง

เนื่องจากบนเสาหินทั้งหลายต่างสลักคำว่าหนึ่งไว้

“ไปหาหอจอมพลสองเพื่อรับกองทัพสังหารวิญญาณด้วยป้ายกองทัพ”

ทันทีที่มีความคิดเช่นนี้ มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนรุนแรงของพื้นที่รอบตัว ไม่กี่อึดใจทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป

สิ่งที่ปรากฏคือขอบฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่

ยอดเขาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโอ่อ่าพร้อมด้วยหอสูงตระหง่านซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณทำให้ทั่วฟ้าดินปกคลุมด้วยรัศมีเก่าแก่

มู่เฉินสามารถมองเห็นหอที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งพันจั้ง ทำให้ผู้คนถูกมองว่าเป็นมดที่เบื้องหน้า

ด้านบนสูงสุดของหอก็ปรากฏกระดานซึ่งมีคำอันทรงเกียรติ ‘หอสองฟ้า’

ป้ายเอิบอาบด้วยเกลียวแสงสีทองคลุมเครือพร้อมด้วยพลังไร้ขอบเขตพวยพุ่งทำให้แม้แต่มิติยังผันผวน

“นี่คือหอสองฟ้าเรอะ” มู่เฉินมองไปที่หอโบราณก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลังเลกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังหอเบื้องหน้า

แน่นอนว่าขณะเดินทางไวมู่เฉินก็กระจายประสาทสัมผัสออกไปเพื่อมองหากับดักที่อยู่รอบๆ

แต่โชคดีที่ครั้งนี้ราบรื่นสำหรับเขา ราวกับว่ากับดักทั้งหมดถูกทำลายจากการต่อสู้ครั้งใหญ่

ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหอโบราณ เขาตรวจสอบอย่างระเอียดก็พบว่าประตูสัมฤทธิ์เขียวปิดด้วยผนึกที่ไม่สามารถเปิดได้ด้วยพละกำลังที่เขามีตอนนี้

มู่เฉินขมวดคิ้วชั่วครู่ต่อมาสายตาก็ปะทะไปที่กระดานบนประตู ป้ายมังกรทองคำปรากฏขึ้นในมือเขา

ป้ายเปล่งประกายแสงสีทองก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในกระดาน มีร่องรอยแสงส่องลงมาที่ประตูปิดสนิท

แกร็ก

ในที่สุดประตูสัมฤทธิ์เขียวก็เปิดออกอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาคลึงป้ายมังกรทองคำในมือพลางถอนหายใจ ในวังสวรรค์บรรพกาล ป้ายประจำตัวมีความสำคัญแท้จริง ซึ่งจำเป็นมากไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม

ขณะที่ประตูสัมฤทธิ์เขียวเคลื่อนตัวเปิด รัศมีรกร้างก็พวยพุ่งออกมา มู่เฉินเหมือนจะได้ยินเสียงสังหารหมู่ที่มาจากประตูบานนั้น

เมื่อประตูเปิดออกอย่างสมบูรณ์มู่เฉินก็ฟื้นสติ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในโถงของหอสองฟ้า

ห้องโถงใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้สถานที่ที่เคยโอ่อ่าดูยุ่งเหยิงไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่กรีดผ่านไว้โดยรอบ

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาดวงตาก็จดจ่อไปที่ปลายโถงพร้อมกับแววตกตะลึงกะพริบวูบวาบในดวงตา

เขาเห็นบัลลังก์สีทองที่มีภาพเงาในชุดสีม่วงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์เปล่งรัศมีครอบงำพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัว ปราบปรามกระทั่งสวรรค์และโลก

แรงกดดันที่พัดเข้ามาทำให้ปฏิกิริยามู่เฉินเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าร่างเงาชุดสีม่วงไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นร่างที่มีอยู่จริง!

นอกจากจอมพลสองแล้ว ใครกันจะมีแรงกดดันแบบนี้อีก!

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือยังมีร่องรอยของพลังชีวิตที่มาจากร่างเงานั้น!

หรือว่าจอมพลสองยังไม่ตาย?!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท