หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1161

ตอนที่ 1161

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1161 ร่วมมือกัน
คลื่นหลิงป่าเถื่อนสร้างหายนะในห้องโถง

ลวดลายแสงถักทอเป็นร่างมังกรอย่างคลุมเครือ ปลดปล่อยเสียงคำรามรุนแรงจนโถงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

“ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร…”

เมื่อมู่เฉินมองไปที่ค่ายกลที่คุ้นเคย ดวงตาก็กะพริบด้วยความตกใจ เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอกับค่ายกลนี้ในหอสองแห่งนี้

ยิ่งกว่านั้นยังเป็นฉบับสมบูรณ์แบบอีกด้วย!

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่แผ่ออกเต็มโถงก็ถอนหายใจในใจ เมื่อเทียบกับค่ายกลที่เขาสร้างขึ้น ก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูดเลย!

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปีเส้นสายแสงในค่ายกลก็ยังคงโชติช่วง เอิบอาบด้วยระลอกคลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัว

“กลัวว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็คงติดแหง็กอยู่ในค่ายกลนี้ หนีไปไม่ได้” มู่เฉินเลียริมฝีปาก ดูเหมือนค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์นี้น่าจะใกล้เคียงกับค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง

โดยทั่วไปแล้วค่ายกลขั้นจงซือขั้นกลางก็จะมีพลังมากพอที่จะจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นปลายได้

จอมพลสองยืนอยู่กึ่งกลางของค่ายกล ด้วยความแข็งแกร่งของเขาและความช่วยเหลือจากค่ายกล แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มที่คล้ายคลึงกับเขาก็จะถูกปราบปรามหากหลงเข้ามาในนี้

แต่น่าเสียดายที่การเตรียมการทั้งหมดไร้ประโยชน์เมื่อนักรบราชันปีศาจมาถึง

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจต่อหน้าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์ สายตาของซูชิงหยิงที่ด้านข้างก็จับจ้องมาก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”

มู่เฉินเหลือบมองนางย้อนถาม “เจ้าหมายถึงอะไร? เจ้าคงไม่คิดจริงๆ ว่าข้าสามารถทำลายค่ายกลระดับนี้ได้หรอกมั้ง?”

“การทำลายเป็นไปไม่ได้แน่นอน” ซูชิงหยิงไม่ได้เพ้อฝันเช่นนี้ เพราะค่ายกลระดับจงซือเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ

“แต่แม้ว่าค่ายกลจะทรงพลังก็ไม่มีคนควบคุมแล้วและเจ้าก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นข้าอยากให้เจ้าลองดูว่าจะสามารถเปิดช่องเพื่อให้ข้านำแมลงหงส์ออกมาได้หรือไม่”

มู่เฉินดีดนิ้วเบาๆ ขณะครุ่นคิดก่อนจะพูด “ถ้าแบบนั้นก็ใช่ว่าไม่ได้”

เนื่องจากเขามีความเข้าใจถ่องแท้กับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร จึงเป็นไปได้ที่จะเปิดทางได้

“จริงเหรอ?” ซูชิงหยิงเผยความสุขบนใบหน้า ตอนแรกนางแค่หยั่งเชิงถามดูว่ามู่เฉินสามารถเปิดทางได้หรือไม่ ดังนั้นนางจึงไม่คาดหวังมากเกินไป เพราะว่าค่ายกลระดับจงซือเหนือชั้นเกินไป แม้กระทั่งสำหรับความเข้าใจของมู่เฉินที่มีต่อค่ายกล

แต่เห็นได้ชัดว่าคำตอบของมู่เฉินทำให้นางมีความสุขมาก

“ลองดูได้” มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่ซูชิงหยิง “แต่ทำใมข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วยล่ะ”

หากนางได้รับแมลงหงส์มาจริงๆ นางจะสามารถฟื้นกองทัพสังหารวิญญาณได้จริงเหรอ? ถ้าซูชิงหยิงกลับคำ มู่เฉินจะไม่ทำงานเก้อเหรอ?

เพราะยังไงซูชิงหยิงก็ไม่ใช่เซียวเซียวหรือหลินจิ้ง ดังนั้นเขาจึงมีข้อสงสัยในตัวนาง

ซูชิงหยิงไม่ได้โกรธกับข้อสงสัยของมู่เฉิน “อาจารย์ของข้าเป็นศิษย์สำนักโบราณแห่งหนึ่งและแมลงหงส์ของจอมพลสองก็มาจากสำนักนั้น ดังนั้นข้าถึงรู้เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้”

“นอกจากนี้ที่ข้าพูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นเรื่องเท็จ หากเจ้าต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณจริงๆ ก็จะต้องใช้แมลงหงส์เพื่อบีบให้พลังออกมา ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาข้า”

“ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความร่วมมือนี้”

ซูชิงหยิงมองไปที่มู่เฉิน ทั้งสองคนสบตากันทำให้แม้แต่อากาศก็แข็งค้างเล็กน้อย ก่อนที่มู่เฉินจะยิ้มบางจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ตกลง”

เช่นเดียวกับที่ซูชิงหยิงกล่าว ถ้าเขาต้องการฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณก็ต้องร่วมมือกับนาง ส่วนซูชิงหยิงจะรักษาสัญญาหรือไม่ ก็ค่อยดูไปทีละเปลาะก็แล้วกัน

“ถ้างั้นก็สนุกกับความร่วมมือกันนะ” ซูชิงหยิงยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางไม่กลัวที่มู่เฉินจะปฏิเสธ

“ข้าต้องการเวลาสักหน่อย” มู่เฉินไม่รอช้า เขาหันหลังเดินไปทางค่ายกลก่อนจะหลับตาลง แสงหลิงเปล่งประกายบนปลายนิ้วก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งจะบินฉวัดเฉวียนออกมา รวมเข้ากับค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารอย่างระมัดระวัง

ด้วยความเข้าใจต่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารในปัจจุบันของเขาการเปิดทางในค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ชัดว่าเขาไม่โง่พอที่จะเปิดเผยเรื่องนี้

การเปิดเผยไพ่ตายโดยไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่ใช่นิสัยของมู่เฉิน

“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ซูชิงหยิงเอ่ยพลางถอยห่างออกไประยะหนึ่งไปยืนอยู่หน้าประตู เพื่อกั้นพวกหน้าแหลมที่จะเข้ามาขัดขวางมู่เฉิน

ซูชิงหยิงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความช้าของมู่เฉิน เพราะนี่เป็นค่ายกลระดับจงซือ ถ้ามู่เฉินสามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย ก็จะเป็นซูชิงหยิงเองที่จะสงสัย

ซูชิงหยิงนั่งอยู่บริเวณประตูสัมฤทธิ์เขียว มองไปที่ภาพเงาของมู่เฉินก่อนที่จะจ้องมองไปยังร่างสง่างามของจอมพลสอง

“แมลงหงส์…” สายตานางกะพริบเล็กน้อยขณะที่ยิ้มบางพร้อมกับดวงตาลุกโชน หากนางได้รับแมลงตัวนี้มาได้ ด้วยวิธีการชำระของสำนัก นางก็มีความมั่นใจในการเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน

โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ เวลาก็เคลื่อนผ่านไป

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ซูชิงหยิงเดินขึ้นไปหาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นยังไงบ้าง?”

หากมู่เฉินทำไม่สำเร็จนางก็ต้องยอมแพ้กับแมลงหงส์นี้ เพราะด้วยพลังที่นางมีเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านค่ายกลไปได้

ภายใต้สายตากังวลของนาง มู่เฉินก็ยิ้มบางก่อนที่จะพลิกนิ้ว คลื่นหลิงผันผวนมาจากค่ายกลขนาดใหญ่ก่อนที่ทางจะค่อยๆ เปิดออกเป็นรอยแยกครึ่งจั้ง

“โชคดีที่ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง” มู่เฉินยิ้ม

ซูชิงหยิงฉายความสุขบนใบหน้าด้วยความตื่นเต้นในสายตา ขณะที่หน้าอกอวบอิ่มสะท้อนขึ้นลง

“ข้าจำเป็นต้องควบคุมเส้นทาง ดังนั้นเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองที่จะเข้าไปรับแมลงหงส์” มู่เฉินยิ้มให้ซูชิงหยิง

อาจมีกับดักอื่นๆ ในห้องโถงที่มู่เฉินไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะทดสอบและทิ้งปัญหาไปให้ซูชิงหยิง

ซูชิงหยิงรู้เรื่องนี้ดี แต่นางก็ไม่ปฏิเสธเนื่องจากมู่เฉินทำสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ต่อไปนางจะต้องรับผิดชอบในการเรียกแมลงหงส์

“ถ้างั้นข้าก็รบกวนพี่มู่ด้วย” ซูชิงหยิงพยักหน้าอย่างแน่วแน่ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลโดยไม่ลังเลใดๆ

เมื่อนางเดินเข้าไปค่ายกลก็เกิดการพลิกผันเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปล่อยการโจมตีใดๆ

ซูชิงหยิงก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหลังจากที่เข้ามานางก็เดินไปที่หน้าบัลลังก์อย่างราบรื่น

นางมองร่างสง่างามก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ จากนั้นใบหน้านางก็จริงจังขึ้นก่อนจะวาดตราประทับเร็วรี่

อ็อก

ในเวลาเดียวกันนางก็กัดลิ้นตัวเอง เลือดไหลออกมาจากปากกลายเป็นเม็ดสีแดงเข้มพร้อมกับกลิ่นหอมเปล่งออกมา

เมื่อกลิ่นหอมกระจายออกไป จุดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของจอมพลสองขยับขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งออกมาทางรูโลหิต

นี่เป็นแมลงสีแดงเข้มที่มีปีกสวยงามราวกับหงส์ ทว่ามันตัวเล็กมากทำให้ดูแปลกพิกลนัก

อย่างไรก็ตามตอนนี้ดวงตามันปิดอยู่และโอบตัวไว้ราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็บินออกมาตามสัญชาตญาณพุ่งไปยังเม็ดเลือดและกลืนกิน

ซูชิงหยิงแบมือ แสงสีแดงก็ตกลงมา นางมองไปที่แมลงน่าหลงใหลด้วยความตื่นเต้นบนใบหน้า

นางคว้าแมลงหงส์ล้ำค่ามาได้อย่างง่ายดาย!

แม้ว่ามันจะตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่มีอยู่ภายในร่างกายเล็กจ้อยนี้

ซูชิงหยิงหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะจับแมลงหงส์อย่างระมัดระวังจากนั้นก็หันกลับมาเตรียมจากไป

“แม่นางซูกรุณารอสักครู่” ทว่าขณะที่นางกำลังจะออกจากค่ายกลเสียงของมู่เฉินก็ดังก้องขึ้นจากนอกค่ายกล

ซูชิงหยิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “พี่มู่ ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณอย่างแน่นอนหลังจากที่ข้าออกไป”

ขณะที่นางพูดก็ไม่หยุดเดิน ใบหน้าดูสบายใจขึ้นมาก ด้วยแมลงหงส์นางจะไม่มีคู่ต่อสู้ใดๆ ภายใต้ระดับตี้จื้อจุน ตราบเท่าที่นางใช้พลังเพียงเล็กน้อยแม้ว่าแมลงจะหลับอยู่ก็ตาม

ถ้านางหวาดกลัวมู่เฉินมาก่อนหน้า ความกลัวก็ไม่มีอีกแล้วในตอนนี้

มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงที่เดินเข้ามาก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็โบกมือ ทางเดินในค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารหายไปอย่างช้าๆ

เวลาเดียวกันคลื่นหลิงรุนแรงก็กวาดขึ้นในค่ายกล มังกรที่สร้างขึ้นมาจากคลื่นหลิงจ้องมองไปที่ซูชิงหยิง

ฝีเท้าของซูชิงหยิงหยุดกึกชั่วขณะ นางมองไปที่ค่ายกลที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยความหวาดผวาและตกใจบนใบหน้า

“จะ…เจ้าควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร” สายตาของซูชิงหยิงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

เห็นชัดว่าค่ายกลเก้าเทพมังกประหารถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ซึ่งทั้งหมดเกิดโดยฝีมือมู่เฉิน ขณะนี้ซูชิงหยิงเข้าใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินแสดงละครฉากใหญ่

อันที่จริงตอนที่มู่เฉินเปิดทางเขาก็ได้ควบคุมค่ายกลนี้แล้วโดยที่นางไม่รู้ตัว

มู่เฉินไม่ตอบกับต่อความตกใจของซูชิงหยิง แต่มองไปที่นางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้นช้าๆ

“แม่นางซู ไม่รู้ว่าเจ้าสามารถช่วยข้าฟื้นฟูกองทัพสังหารวิญญาณตอนนี้ได้หรือยัง?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท