หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1169

ตอนที่ 1169

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1169 วิธีทำลายค่ายกล
ประตูหินบานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก

แสงส่องทะลุผ่านรอยแยก จากนั้นฉากหลังประตูหินก็ปรากฏในครรลองสายตามู่เฉิน

หลังประตูหินเป็นโถงที่เกิดความเสียหายจากการต่อสู้รุนแรงซึ่งมีเสาหินตั้งตระหง่านอยู่จำนวนมาก

บนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยบาดลึก พื้นดินที่นี่ชัดว่าถูกเสริมความทนทานเมื่อในอดีตโดยค่ายกล แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำลายหนัก

มู่เฉินยังสามารถมองเห็นซากศพเปล่งประกายปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังแม้ว่าชีวิตจะดับสูญไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ช่างเป็นฉากที่น่าเศร้า

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมโดยรอบนัก สายตาของเขาจดจ่อที่ดอกไม้น่าหลงใหลทรงเสน่ห์สีดำสนิทที่ปลายโถง

รอบด้านดอกไม้กำลังเปล่งรัศมีแสงสีดำราวกับว่าสามารถกลืนกินรังสีแสงได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายโบราณอยู่ในแสงเหล่านั้น

สายตาของมู่เฉินติดอยู่ที่ดอกไม้ เขารู้ว่านี่คือร่างหลักของมั่นถัวหลัว—ดอกแมนดาลาโบราณ!

“ในที่สุดก็พบแล้ว”

มู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะที่มองไปที่ดอกไม้ ตราบใดที่เขาสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าฮ่องเต้เซี่ยจะเป็นภัยคุกคาม

ทว่าแม้ร่างหลักของมั่นถัวหลัวจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรโดยประมาทเพราะสัมผัสได้ถึงค่ายกลที่ซ่อนอยู่ในสภาพแวดล้อม

มู่เฉินกวาดสายตาออก จากนั้นก็หยุดลงที่เสาหินทั้งแปด ใต้เสาหินมีโครงกระดูกแปดร่างนั่งอยู่ พวกเขาราวกับสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด เป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดา

แต่เขารู้ว่าศพทั้งแปดเป็นจุดกลางของค่ายกล ซึ่งก็คือจุดกำเนิดพลังของค่ายกลนี้

“ค่ายกลนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่สมบูรณ์เลย” ท่าทางของมู่เฉินดูเคร่งเครียดมาก ในการรับรู้ของเขา แม้ว่าค่ายกลนี้จะดูสงบ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากก้าวเข้ามาโดยประมาทก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีทำลายล้างซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ล้มลงได้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น

“ไม่น่าแปลกใจที่มั่นถัวหลัวเลือกที่จะซ่อนตัวที่นี่ในอดีต มิฉะนั้นนางคงไม่สามารถหยุดลู่หยวนไม่ให้เข้าใกล้ได้” มู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าค่ายกลนี้จะช่วยปิดกั้นลู่หยวนในตอนนั้น แต่ก็ปิดกั้นเขาในตอนนี้เช่นกัน

จากสิ่งนี้ก็บอกได้ว่า มั่นถัวหลัวและลู่หยวนในตอนนั้นก็น่าจะอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย

มู่เฉินหดดวงตามองไปที่ค่ายกลก็ตกอยู่ในความเงียบ เขานั่งลงที่ชายขอบก่อนที่จะหลับตาเริ่มศึกษาค่ายกลนี้

ไม่ว่าค่ายกลนี้จะทรงพลังเพียงใด เขาก็ต้องทำลาย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงต้องปล่อยร่างหลักของมั่นถัวหลัวไว้ที่นี่เหมือนเดิม

เมื่อเขาหลับตาเส้นใยพลังงานก็แผ่ขยายออกไป เขาค่อยๆ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกล

เค้าโครงค่ายกลปรากฏขึ้นในสมองเขา

ค่ายกลนี้มีความลึกซึ้งและปล่อยความรู้สึกทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกหวั่นใจ

เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง

ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินอยู่ในหอสอง เหตุผลที่เขาสามารถควบคุมค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารได้อย่างง่ายดายก็คือเขาได้รับแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์มาก่อนและได้ใช้เวลาในการศึกษา ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาข้อบกพร่องและควบคุมได้

แต่ค่ายกลที่เบื้องหน้านี้เป็นค่ายกลระดับจงซือที่ไม่คุ้นเคย

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เขาจะทำลายในช่วงเวลาสั้นๆ

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ใจร้อนกลับทำให้หัวใจสงบลง เริ่มสัมผัสถึงทุกจุดของค่ายกล ถ้าเขาต้องการทำลาย เขาก็ต้องได้รับความเข้าใจเพียงพอเพื่อที่เขาจะได้ค้นหาข้อบกพร่องได้

ขณะที่มู่เฉินนั่งหลับตา พื้นที่ทั้งหมดก็กลับสู่ความเงียบงันล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายรกร้าง

เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดทั้งวัน

เขานั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับและคลื่นหลิงก็พลุ่งพล่านรอบตัวรวมตัวกันเป็นภาพจำลองค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ทว่าโครงร่างก็ไม่เสร็จสมบูรณ์และพังทลายลงเรื่อยๆ ส่วนมู่เฉินก็ยังคงยืนหยัดสร้างขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ภาพจำลองค่ายกลนี้ก็คือค่ายกลทรงพลังซึ่งครอบคลุมทั้งโถง

มู่เฉินพยายามสรุปหาข้อบกพร่อง

อีกครึ่งวันผ่านไป

ฮึ่ม

ทันใดนั้นแสงหลิงก็เบ่งบานเบื้องหน้ามู่เฉิน โครงสร้างของค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่งก็ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพจำลอง แต่ก็ยังคงมีความผันผวนน่าอัศจรรย์ปล่อยออกมา

มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้นและดูอ่อนเพลีย การพยายามในเกือบสองวันนี่เหนื่อยเกินกว่าการต่อสู้กับผู้อาวุโสจั่วเสียอีก

แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาระงับความเหนื่อยล้ามองไปที่ภาพจำลองค่ายกลด้วยดวงตาที่สั่นไหว

“สมกับเป็นค่ายกลระดับจงซือขั้นกลาง ช่างสลับซับซ้อนมากจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เขาเพียงแค่ติดตามโครงร่างเพื่อสร้างภาพจำลองซึ่งก็ต้องใช้พลังงานทั้งหมดเลยทีเดียว หากเขาต้องการตั้งให้สมบูรณ์แม้ว่าจะคั้นพลังจนแห้งกรอบก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้

ค่ายกลนี้ต้องใช้สัญลักษณ์หลิงยิ่งอย่างน้อยสองสามล้านผนึกสายและหากเขาทำผิดพลาดเล็กน้อยในการเชื่อมโยงก็จะทำให้เกิดการล่มสลายของค่ายกล นี่แสดงให้เห็นว่าการตั้งค่ายกลดังกล่าวยากเพียงใด

แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ไร้ผล

มู่เฉินมองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่เบื้องหน้า เขาค้นพบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว นอกเหนือจากการใช้กำลังก็ทำได้เพียงตัดแหล่งที่มาของพลัง

สายตาของเขาเลื่อนไปที่ซากศพใต้เสาทั้งแปด

นั่นคือแหล่งพลังงานสำหรับค่ายกล ซึ่งพวกเขาได้ก่อตัวเชื่อมโยงความสมดุลระหว่างกัน

เนื่องจากความสมดุลนี้ ทำให้ไม่ว่ามู่เฉินจะโจมตีจากทางไหนก็จะถูกทั้งแปดศพรุมโจมตี แต่ถ้าสามารถทำลายความสมดุล ค่ายกลที่ไม่มีใครควบคุมนี้ก็จะสูญเสียความสมดุลคลื่นหลิงทำให้เกิดความไม่เสถียร ซึ่งเขาก็จะมีโอกาส

ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ยากมากที่จะนำไปปฏิบัติจริง

เพราะตราบใดที่มู่เฉินมีแววจะโจมตีเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกโจมตีจากค่ายกล แม้แต่กองทัพสังหารวิญญาณก็ไม่สามารถทนได้

ดังนั้นเขาต้องทำลายสมดุลโดยไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยากับค่ายกล

มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่คิดว่าจะทำลายสมดุลได้อย่างไร

“ข้าไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดการโต้กลับ”

“ความสมดุลของค่ายกลมาจากการควบคุมส่วนกลางของเสาหลักที่อยู่เบื้องหลังศพทั้งแปด ศพเป็นแหล่งพลังงานและเสาหลักเป็นสะพานเชื่อมเข้าด้วยกัน”

“ดังนั้นถ้าข้าสามารถแยกศพออกจากเสาได้ ข้าก็จะสามารถทำลายสมดุลได้!”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาวูบไหว เขาจ้องมองไปที่เสาทั้งแปดต้นและซากศพระบุตำแหน่งไว้ พักใหญ่รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า

เขากระทืบพื้นเบาๆ เพื่อทดสอบว่าพื้นแข็งแรงแค่ไหนก่อนจะยิ้ม “ง่ายล่ะ”

มู่เฉินเริ่มขยับถอย ป้ายกองทัพปรากฏขึ้นในมือ เขาเรียกกองทัพสังหารวิญญาณพร้อมกับรัศมีจั้นยี่สีแดงเข้มกวาดออก

มู่เฉินหลอมรวมคลื่นจิตเข้ากับรัศมีจั้นยี่พร้อมกับใช้งานทันที

โฮก!

กองทัพสังหารวิญญาณปลดปล่อยเสียงคำราม อสรพิษสีแดงเข้มขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเหนือหัวพร้อมกับลวดลายจั้นเหวินนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่บนตัว

อสรพิษเปล่งเสียงคำรามพุ่งลงมาด้วยความน่าสะพรึงกลัว

แต่มันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ค่ายกล กลับเล็งไปที่มุมทางตะวันตกเฉียงเหนือ

ตู้ม!

พื้นที่โถงทั้งหมดสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นภายใต้การโจมตีของอสรพิษ แม้ว่าพื้นดินจะได้รับการเสริมด้วยคลื่นหลิงซึ่งทำให้แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ปากปล่องก็ยังก่อตัวขึ้นบนพื้นดินจากการโจมตีของกองทัพสังหารวิญญาณ

ฝุ่นผงฟุ้งกระจายขึ้น แต่มู่เฉินไม่ได้มองไปที่ปากปล่อง สายตาจ้องอยู่ที่เสาต้นหนึ่งเนื่องจากการโจมตีของเขาจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นเสาต้นนั้น

ความคิดของมู่เฉินเรียบง่ายมาก ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีค่ายกลได้โดยตรง เขาก็จะอาศัยคลื่นกระแทกจากภายนอกเพื่อส่งผลกระทบต่อค่ายกล

ทว่าเนื่องจากมีค่ายกลเป็นตัวกั้น คลื่นกระแทกจึงจะอ่อนลงอย่างมาก แต่ถ้าได้ผลก็จะบรรลุเป้าหมายตามที่เขาต้องการ

แม้ว่าคำอธิบายอาจทำให้งานทั้งหมดดูเรียบง่าย แต่อย่างแรกก็ต้องรู้โครงสร้างค่ายกลทั้งหมดถึงจะหลีกเลี่ยงจุดที่มีคลื่นหลิงหนาแน่น การส่งคลื่นกระแทกมั่วซั่วจะไร้ผล

ดังนั้นสายตาของมู่เฉินจึงจับจ้องไปที่ศพที่อยู่ใต้เสา ขณะคำนวณเวลาในการส่งคลื่นกระแทก

แปดอึดใจต่อมา

ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงทันทีเมื่อเห็นศพสั่นสะท้าน แม้ว่าจะแทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่ศพก็เคลื่อนไปทางด้านหน้าเล็กน้อย

การเคลื่อนนี้สามารถมองข้ามไปได้เลย แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม

เนื่องจากเขารู้ว่าในที่สุดเขาก็พบวิธีที่จะทำลายค่ายกลนี้แล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท