หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1170

ตอนที่ 1170

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1170 หนึ่งฝ่ามือ
ในโถงยังมีเสียงจากการปะทะกันดังก้อง

ขณะที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้ามู่เฉิน

การทำนายของเขาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ซากศพใต้เสาขยับออกไปเล็กน้อยภายใต้คลื่นกระแทก แม้ว่าจะแทบไม่ทันสังเกตเห็นได้ แต่ก็ให้ความหวังกับมู่เฉินในการทำลายค่ายกล

แน่นอนว่าเขารู้ดีถ้าศพเหล่านั้นยังคงมีเจตจำนงเหลืออยู่ วิธีนี้ของเขาก็จะไร้ผล

หากพวกมันขัดขืน มู่เฉินก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้จากคลื่นกระแทกที่เขาสร้างขึ้นอย่างแน่นอน

แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินโชคดี

หลังจากผ่านไปนับหมื่นปีซากศพเหล่านั้นก็ถึงที่สุด เจตจำนงที่เหลืออยู่หายไปหมดสิ้น สามารถช่วยคงค่ายกลไว้เท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินเจอข้อบกพร่อง

แต่การที่จะมาถึงจุดนี้ได้ก็เกิดจากความพยายามก่อนหน้านี้ของเขาในการมองโครงร่างค่ายกล เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ

ไม่เพียงแต่มู่เฉินต้องคำนวณพื้นที่เท่านั้นและต้องยังตีให้ตรงเผงเพื่อที่จะส่งคลื่นกระแทกไปยังซากศพ

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกและไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณ รัศมีจั้นยี่กวาดออกไปโจมตีตรงจุดเดิมอย่างรุนแรง

ตู้ม! ตู้ม!

ทั้งโถงสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับคลื่นกระแทกกวาดออกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนพื้นดิน

แต่ไม่ว่ารอยแยกจะขยายไปมากเท่าไรก็ไม่สามารถเข้าไปในส่วนค่ายกล ได้แต่ล้อมอยู่รอบนอกราวกับมังกรดุร้ายขดตัว

ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงศพที่เป็นเป้าหมายที่อยู่ใต้เสาก็สั่นสะท้านไม่หยุด ค่อยๆ ขยับออกมาที่ละนิด

มันค่อยๆ เคลื่อนออกจากรัศมีของเสา

การโจมตีใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแม้แต่การหายใจของมู่เฉินก็ยังหนักหน่วงขึ้นเนื่องจากการควบคุมกองทัพสังหารวิญญาณเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาในตอนนี้

พื้นดินรอบนอกดูเละเทะอย่างยิ่ง แต่สายตาของมู่เฉินยังคงจับจ้องไปที่ศพ เขาคำนวณระยะทางคร่าวๆ แล้วหรี่ตาลง

“อีกนิดข้าก็สามารถเคลื่อนศพออกจากเสาหินได้แล้ว”

มู่เฉินพึมพำร่างกายขมวดขึง ด้วยความคิดสายหนึ่งกองทัพสังหารวิญญาณก็คำรามพร้อมกับรัศมีจั้นยี่กระแทกกับพื้นอีกครั้ง

ตึง!

พื้นสั่นสะเทือน ศพก็ขยับไปอีกเล็กน้อย

สำเร็จ!

มู่เฉินยินดี จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นค่ายกลสั่นไหว คลื่นหลิงที่สมดุลและทรงพลังเริ่มสับสนวุ่นวายในขณะนี้

เสาต้นที่แปดสึกกร่อนทันที รอยแตกเริ่มแพร่กระจายออกไป เห็นได้ชัดว่าหลังจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากซากศพเสาต้นนี้ก็เริ่มมีร่องรอยของการพังทลาย

ค่ายกลซึ่งอาศัยเสาทั้งแปดเผยให้เห็นข้อบกพร่องจากการพังทลายของเสาต้นที่แปดที่กำลังอ่อนแอลง

มู่เฉินมองเกลียวแสงหลิงที่แล่นแปลบปลาบพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตาของเขา จากการรับรู้ของเขาค่ายกลที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อเก็บกองทัพสังหารวิญญาณเข้าในป้าย เขาเดินไปที่ชายขอบค่ายกลแล้วดีดนิ้ว ชุดเกราะสีแดงเข้มปรากฏขึ้นห่อหุ้มบนร่างกายของเขาทั้งหมดไว้

นี่คือชุดเกราะสงครามมังกรแดงที่เขาได้มาจากเซี่ยหงซึ่งมีความสามารถในการป้องกันที่ดี ตอนนี้เขาต้องการเข้าสู่ค่ายกลก็จะต้องเตรียมการให้พร้อม

เมื่อเสร็จสิ้นการเตรียมการมู่เฉินก็หายใจเข้าลึกย่างเท้าเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ลังเล

ฟู่ ฟู่!

เมื่อมู่เฉินก้าวเข้ามาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพายุคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพัดเข้ามา แรงกดดันนั้นทำให้เขาราวกับกำลังแบกรับภูเขาทั้งลูก

มู่เฉินค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างช้าๆ

เขาเคลื่อนไหวช้ามาก ราวกับต้องแบกรับความกดดันหนักแน่นในทุกย่างก้าว เกราะมังกรแดงเอิบอาบประกายแสงสีแดงเข้ม ทว่าแสงถูกระงับไว้อย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สามารถกระจายออกไปได้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากชุดเกราะ

เนื่องจากตอนนี้ค่ายกลไม่เป็นระเบียบ เขาจึงไม่ต้องทนทุกข์กับการโจมตีจากศพทั้งแปด ทว่าคลื่นหลิงที่น่ากลัวในค่ายกลก็ยังคงทำให้เขายากที่จะก้าวไปข้างหน้า

นอกจากนี้เขายังต้องเปลี่ยนเส้นทางอยู่ตลอดเวลาเพื่อค้นหาจุดอ่อนของพายุคลื่นหลิง ถ้าเขาเคลื่อนไหวผิดพลาดก็ต้องได้รับผลกระทบหนักหน่วง

ดังนั้นมู่เฉินจึงใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินข้ามเขตแถวแสงเพียงพันจั้ง เหงื่อเย็นปกคลุมร่างกายเขา

เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ ดอกไม้แมนดาลาที่น่าหลงใหลก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินไม่ได้ผ่อนคลายกลับยังเกร็งแน่นขึ้นขณะที่เขามองไปที่ศพที่อยู่ตรงหน้าเสาสุดท้าย

ตราบเท่าที่เขาสามารถผ่านรัศมีของเสาหินต้นนี้ไปได้ เขาก็จะสามารถผ่านค่ายกลได้

ทว่ามู่เฉินก็ต้องขมวดคิ้ว เขาพบว่าศพนี้ปิดกั้นเส้นทางเดียวที่มี เนื่องจากด้านข้างทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำรุนแรง ถ้าเขาถูกห่อหุ้มอยู่ภายในก็ตายคาที่แน่นอน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียกกองทัพสังหารวิญญาณออกมา นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงที่ทรงพลังจะไปกระตุ้นค่ายกลอย่างแน่นอน ในเวลานั้นการโจมตีทั้งหมดจะมุ่งเน้นมาที่เขา

ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นั้นแม้จะมีกองทัพสังหารวิญญาณ เขาก็จะเหนื่อยล้าจนตายในที่สุด

ตอนนี้ทางเลือกเดียวคือผ่านพ้นไปได้ด้วยตัวเอง

มู่เฉินเม้มปากใบหน้าดูเคร่งขรึม แม้ค่ายกลนี้จะไม่ธรรมดา แต่ศพเหล่านั้นผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะถูกขัดขวางโดยศพนี้ศพเดียว!

คิดถึงจุดนี้มู่เฉินก็กระทืบเท้าพุ่งออกไปโดยไม่ลังเลใดๆ พุ่งเข้าหาศพนั้น

เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พริบตาก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้าศพนั้นก่อนจะพุ่งผ่านไป

ขณะนั้นเองศพก็ลืมตาโพลง แสงหลิงพรั่งพรูออกมา

มันยื่นมือที่เหี่ยวแห้งออกตบเบาๆ ไปทางขวามือ

ตู้ม!

รอยแตกปรากฏขึ้นในมิติ คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกไป

สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่น่าตกใจใบหน้าของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง เขารีบเร้ากายามังกรหงส์โดยไม่รั้งรอ จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวย้อมร่างกายของเขาเป็นสีทอง

ผลัวะ!

มือแห้งกรังตบลงบนชุดเกราะมังกรสีแดงของมู่เฉินเบาๆ

ราวกับว่าเป็นภูเขาไฟปะทุออกมาที่ด้านหลังของเขา มู่เฉินปลิวออกไปนอกค่ายกลทันที

มู่เฉินร่วงลงที่บันได ร่างกายก็ตึงเกร็ง

ลายฝ่ามือที่สามารถมองเห็นได้เผยบนแผ่นหลังชุดเกราะ หลังจากนั้นก็มีประกายแสงสีแดงเข้มปะทุขึ้น ชุดเกราะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

ตู้ม!

เสียงร้องโศกเศร้าดังออกมาจากชุดเกราะขณะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!

อาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ทรงพลังถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

อ็อก!

เมื่อเกราะสงครามมังกรแดงถูกทำลาย มู่เฉินก็กระอักเลือดออกจากปาก แสงร่างกายหรุบหรู่ลงอย่างรวดเร็ว จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวก็จางลงก่อนที่จะหายไป

ใบหน้าของมู่เฉินซีดจางก่อนที่จะหันหน้ากลับไปด้วยความกลัวมองไปที่ศพนั้น ตอนนี้มันกลับสู่สภาวะสงบ แต่ฝ่ามือน่าสะพรึงเมื่อครู่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของมู่เฉิน

ถ้าเขาไม่ได้สวมชุดเกราะสงครามมังกรแดงและกระตุ้นร่างกายให้อยู่ในสภาพป้องกันเต็มที่ เขาอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว

“น่ากลัวชะมัด ศพทั้งหมดนี้จะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่รู้สึกได้อีกครั้งถึงความแข็งแกร่งที่น่าตกใจของวังสวรรค์บรรพกาล ในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามารถสร้างขุมกำลังสูงสุดและได้รับการประกาศให้เป็นผู้นำ แต่ในวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขาถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกชั้นสูงเท่านั้น

แต่ต่อให้เป็นวังสวรรค์บรรพกาลอันทรงพลังก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำลายล้างได้เมื่อจักรวรรดิต่างมิติบุกเข้ามา ดังนั้นสามารถเห็นได้ว่าพวกปีศาจต่างมิติน่ากลัวเพียงใด

พวกมันคือศัตรูคู่อาฆาตของทุกผู้ทุกนามในมหาพันภพ!

มู่เฉินเม้มปากด้วยท่าทางเคร่งขรึม ชั่วครู่ต่อมาเขาก็จัดระเบียบอารมณ์ตนเองพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดอกไม้น่าหลงใหลที่อยู่สุดห้องโถง

มู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ ร่างกายก็คลายลง เขาหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ผ่อนคลายออกราวกับโล่งใจในที่สุด

“ในที่สุดก็เจอเจ้าสักที”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท