หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1173

ตอนที่ 1173

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1173 สู้กับจาโหลหลัว
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้าไปในดวงดาว

เขาก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไป มิติบิดเบือนและเมื่อสายตากลับมาเป็นปกติเขาก็สังเกตว่าถูกนำมาที่จัตุรัสที่เหมือนจะหลอมมาจากทองคำ

มีเสาทองคำตั้งตระหง่านอยู่บนลานกว้างพุ่งเสียดไปบนก้อนเมฆ ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นอายรกร้างยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายได้

มู่เฉินยืนอยู่ในจัตุรัสมองไปที่แท่นบูชาสีทองตรงกลางพร้อมกับรัศมีสีทองล้อมรอบ หน้ากระดาษทองคำบางเบาลอยอยู่ในแสงสีทองอย่างเงียบๆ

มู่เฉินมองไปที่กระดาษทองคำก็รู้สึกว่าขมับกระตุกขึ้นด้วยความเจ็บปวด

อารมณ์ทั้งหมดบิดเกลียวจนถึงขีดสุดในขณะนี้

เพราะเป้าหมายที่ตามหามาเนิ่นนานในที่สุดก็ปรากฏที่เบื้องหน้าเขาแล้ว

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สูญเสียสติที่เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นของเขาแล้ว เขาคงฝันกลางวันถ้าคิดว่าสิ่งนี้จะรับไปได่อย่างง่ายดาย

ตามการคาดการณ์เขาอาจต้องได้รับการทดสอบเพื่อให้ได้มา ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะคิดมากว่าเป็นการทดสอบแบบใด เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้มู่เฉินก็สู้ไม่ถอยแน่

มู่เฉินปรับหัวใจให้สงบลง นั่งลงบนลานสีทองหลับตารอให้การทดสอบมาถึง

การรอคอยของเขากินเวลาไม่ได้นาน เขาลืมตาขึ้นมองไปอีกทางหนึ่งของจัตุรัส

มิติบิดเบี้ยว แสงสีทองกลั่นตัวเป็นเงา

มู่เฉินมองไปที่ภาพเงาที่คุ้นเคยด้วยสายตาสงบ ใบหน้าไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะชายคนนี้ก็คือจาโหลหลัวที่ได้ฝึกฝนร่างเทพสุริยะเช่นกัน

ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยจักรพรรดิปีศาจลู่หยวนและยังเป็นผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ มู่เฉินไม่เชื่อว่าจาโหลหลัวจะไม่มีหนทางที่จะมาถึงที่นี่

ขณะที่มู่เฉินมองไปอย่างไม่แยแส จาโหลหลัวก็ลืมตาขึ้นและสังเกตเห็นมู่เฉิน

เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงที่นี่ใบหน้าเรียบเฉยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“แกยังไม่ตายเหรอ?” จาโหลหลัวหรี่ตาพลางขมวดคิ้ว

ผู้อาวุโสจั่วแห่งตำหนักเทพปีศาจเป็นคนหยุดมู่เฉินเอาไว้ แม้ว่าผู้อาวุโสจั่วจะจ่ายราคามหาศาลเพื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล แต่พลังที่เขามีก็เพียงพอจะสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ทันที

เดิมทีจาโหลหลัวคิดว่ามู่เฉินถึงวาระแล้ว ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่ลังเล เพราะยังไงเขาก็ไม่สามารถนึกถึงวิธีใดๆ ที่มู่เฉินจะใช้เพื่อหลบหนีจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

ทว่าตอนนี้เรื่องที่เขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลับปรากฏต่อหน้าเขา ซ้ำยังมองมาด้วยอาการยิ้มเยาะ ทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีชีวิตรอดอยู่ได้ภายใต้เงื้อมมือของผู้อาวุโสจั่ว

“ข้ายังไม่ได้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ไม่คิดจะตายอยู่แล้ว” มู่เฉินยิ้มอ่อน

ใบหน้าของจาโหลหลัวมืดครึ้ม แต่ก็เปลี่ยนการแสดงออกรวดเร็วและพูดอย่างไม่แยแสว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าแกใช้วิธีใดในการหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่ว แต่ก็ไม่สำคัญเพราะผลลัพธ์จะเหมือนกันแม้ว่าจะเป็นข้าที่เคลื่อนไหว”

มู่เฉินยิ้มไม่เชิงยิ้มให้จาโหลหลัว “แกไม่คิดมั่งเหรอว่าอาจเป็นมันที่หนีไปแทน?”

ถ้าตาแก่นั่นไม่ได้วิ่งเร็วขนาดนั้นก็จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนคนแรกที่มู่เฉินสังหาร

จาโหลหลัวกอดอกขณะเยาะเย้ย “ถ้าแกมีความสามารถเช่นนั้น แกจะยอมให้ข้ายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกรึ?”

มู่เฉินกำหมัดแน่นป้ายกองทัพก็ปรากฏขึ้น เขาเทคลื่นหลิงเข้าไปและเมื่อกำลังกระตุ้นเขาก็ต้องหรี่ตาพลางส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

เนื่องจากเขาตระหนักว่าเกิดความล้มเหลวในการเรียกกองทัพสังหารวิญญาณ

เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้แยกการเชื่อมต่อของเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ ซึ่งน่าจะเป็นผลงานของหอคัมภีร์เทพซ่อน

“ต้องการให้เราเปิดศึกมรณะอย่างยุติธรรมรึ?”

มู่เฉินพึมพำ แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรแค่เสียดาย เพราะมีเพียงร่างเทพสุริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการพัฒนา

ก็คล้ายกับการเลี้ยงแมลงพิษ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะกัดกินผู้ที่อ่อนแอ ถ้าเขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณเพื่อสังหารจาโหลหลัวก็จะขัดต่อกฎของร่างเทพสุริยะนิรันดร์

“ถ้าข้ารู้แบบนี้ก็ควรฆ่ามันไปก่อนหน้าแล้ว” มู่เฉินรู้สึกเสียดาย แต่อึดใจก็ส่ายหัว

เวลานั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใช้กองทัพสังหารวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะผู้อาวุโสจั่วได้หรือไม่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การให้จาโหลหลัวจากไปถือเป็นการดีที่สุด

ถ้าจาโหลหลัวและผู้อาวุโสจั่วร่วมมือกันใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นการแยกจัดการทีละคนยังดีกว่า เพราะตอนนี้ต่อให้เขาจะไม่สามารถใช้กองทัพสังหารวิญญาณได้ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวจาโหลหลัวหรอก

จาโหลหลัวมองไปที่มู่เฉินที่กำลังถอนหายใจ ก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่ามู่เฉินโชคดีที่หนีรอดพ้นมาจากผู้อาวุโสจั่ว ทันใดนั้นเขาก็เยาะเย้ยเสียงเย็นชาขณะชี้ไปที่แท่นบูชา “แกรู้ไหมว่านั่นคืออะไร?”

“หืม?”

“นั่นคือแท่นบูชาบูชายัญ… แกรู้ไหมว่าต้องบูชาอะไร?” จาโหลหลัวเลียริมฝีปากขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดครึ้ม “ต้องบูชาร่างเทพสุริยะ!”

ดวงตาของมู่เฉินหดลงไปกับคำพูดของจาโหลหลัว

“โดยการสังเวยร่างเทพสุริยะ เพลิงศักดิ์สิทธิ์จะถูกจุดขึ้นเพื่อปรับแต่งร่างเทพสุริยะอีกร่างจนเกิดวิวัฒนาการ”

จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกขณะพูดต่อ “ดังนั้นนี่เป็นโชคดีสำหรับข้าที่แกสามารถมาถึงที่นี่ได้ มิฉะนั้นข้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจุดไฟแท่นบูชาด้วยตนเอง”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่เฉินเข้าใจได้จากคำอธิบายของจาโหลหลัว ไม่คิดว่าแท่นบูชานี้จะต้องมีเครื่องสังเวยด้วย

ข้อมูลนี้น่าจะมาจากลู่หยวน เพราะชายคนนั้นเคยเป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาต้องรู้ความลับหลายอย่างของวังสวรรค์บรรพกาล

“คำพูดของแกทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” มู่เฉินถอนหายใจ ที่แท้จะต้องมีเครื่องสังเวยเพื่อพัฒนาระยะสองเป็นร่างกลาง—ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ นับว่าโชคดีที่เขาไม่ได้ฆ่าเจ้านี่ที่ข้างนอก

“โง่เง่า!”

ตอนแรกจาโหลหลัวต้องการทำลายความเชื่อมั่นของมู่เฉิน ทว่าใบหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเนื่องจากล้มเหลว เขาไม่คิดจะพูดต่อไปอีกกระทืบฝ่าเท้าลงไปแทน

ตู้ม!

คลื่นหลิงเชี่ยวกรากพุ่งขึ้นราวกับพายุกวาดออกจากร่างจาโหลหลัว มิติก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

หลังจากการชำระล้างในทะเลสาบสวรรค์ ขุมพลังของจาโหลหลัวก็มีถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว!

ในแง่ของพรสวรรค์หากเขาสามารถออกจากวังสวรรค์บรรพกาลทั้งที่มีชีวิตอยู่ได้ก็จะมีโอกาสสูงที่จะทะลุไปยังระดับตี้จื้อจุน

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่มาจากจาโหลหลัว ท่าทางของมู่เฉินก็ดูเคร่งขรึมลงเล็กน้อย หากปราศจากกองทัพสังหารวิญญาณจาโหลหลัวก็เป็นศัตรูที่เขาไม่สามารถประมาทได้

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ศึกครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้ชนะคนสุดท้าย เนื่องจากมีเพียงหนึ่งในร่างเทพสุริยะของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถผ่านวิวัฒนาการได้

ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องรุนแรงถึงที่สุด

ตู้ม!

ยามนี้คลื่นหลิงของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของมู่เฉินในลักษณะของภูเขาไฟระเบิดพร้อมกับเกลียวแสงสีทองแล่นแปลบปลาบบนพื้นผิวร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมา

จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตบนผิวหนังของมู่เฉินนำพาความสามารถและความแข็งแกร่งในการป้องกันที่ทรงพลัง

มู่เฉินยืนอยู่เงียบๆ แต่ดูราวกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์ที่เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว

“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าพลังกายของแกจะมาได้ไกลถึงจุดนี้!” จาโหลหลัวมองไปที่มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่ปรากฏเลือนรางอยู่ด้านหลังมู่เฉินม่านตาก็หดเกร็ง ยิ่งเมื่อเห็นแรงกดดันทรงพลังที่มู่เฉินเปล่งออกมา เขาก็รู้สึกเสียใจในใจ ตอนที่เจอมู่เฉินครั้งแรก เขาไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่ายอะไร เพราะด้วยขุมพลังทั้งสองในตอนนั้น เขาไม่รู้สึกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้

แต่ใครจะคาดคิดว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ขั้นเก้าระยะเต็มในระยะเวลาอันสั้นและยังสามารถหลบหนีจากผู้อาวุโสจั่วได้

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็คงจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังตอนที่มู่เฉินและเซี่ยหยู่ต่อสู้กันและฆ่ามู่เฉินให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

แต่ตอนนี้…แม้ว่าอาจจะลำบากเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สายเกินไป

“แกคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นที่มีพลังกายแข็งแกร่งเรอะ?”

จาโหลหลัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่จะกำหมัดเข้าหากัน คลื่นหลิงสีดำมะเมื่อมระเบิดออกจากร่างกายขณะตัวเขาพองขึ้น ร่างกายเขาดูเหมือนว่าถูกหลอมมาจากโลหะสีดำที่มีพลังไม่อาจบรรยายได้ นอกจากนี้ยังมีลวดลายสีดำโบราณแผ่กระจายออกมาบนพื้นผิวของร่างกาย ทำให้เกิดพลังที่น่ากลัว

เสียงคำรามของจาโหลหลัวที่เต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่นดังก้องไปทั่วจัตุรัสทองคำ!

กายาเทพปีศาจ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท