หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1185

ตอนที่ 1185

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1185 ราชันปีศาจ? จักรพรรดิฟ้า?
เงียบ!

ทุกคนตกตะลึงไปแม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าเหรอ? แต่ทำไมถึงกินเลือดเนื้อคน? นั่นไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิฟ้าสมควรทำเลย!

“ฮ่าๆๆๆ !”

เมื่อเห็นสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน ลู่หยวนก็อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ ใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมในขณะนี้ซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว

“ลู่หยวน แกทำอะไรลงไป?!” มีคนแผดเสียงคำรามลั่น สถานการณ์นี้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้ากลืนกินเลือดเข้าไปก็เพราะลู่หยวน

ลู่หยวนเผยรอยยิ้มประหลาดตอบว่า “ข้าทำอะไรลงไปเหรอ? ข้าก็กำลังช่วยพวกแกชุบชีวิต ‘จักรพรรดิฟ้า’ ไง”

“ชุบชีวิตจักรพรรดิฟ้า?” ทุกคนอึ้งไป หรือว่าจักรพรรดิฟ้ายังไม่ตาย?

“นั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า!” ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงง เสียงคำรามก็ดังขึ้น มั่นถัวหลัวก้าวออกมาพลางจ้องมองจักรพรรดิฟ้าเขม็ง

คนอื่นอาจไม่รู้สึกแต่นางบอกได้ว่านั่นไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะก็ตาม!

“โอ้? เขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้า แล้วเขาคือใคร?” ลู่หยวนถาม

ใบหน้ามั่นถัวหลัวดูน่ากลัวลงเล็กน้อย นางจ้อมเขม็งไปที่ลู่หยวนพูดย้ำทีละคำ “ลู่หยวน ที่แท้แกก็อยู่ภายใต้การควบคุมของราชันปีศาจ”

“ราชันปีศาจ?!”

คำพูดของนางก่อให้เกิดคลื่นในหัวใจของผู้คน ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนที่จะมองลู่หยวนด้วยความหวาดผวา ราชันปีศาจที่รุกรานทวีปเทียนหลัวยังไม่ตายเรอะ?

ลู่หยวนอึ้งไปก่อนที่จะปรบมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่คิดว่าเจ้าจะเดาได้”

เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศแห่งมหาพันภพ เขากลับยอมรับอย่างง่ายดาย

“ลู่หยวน แกรนหาที่ตายแล้ว!” จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายคนหนึ่งคำรามลั่น

“ลู่หยวน เมื่อไรที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป แกและตำหนักเทพปีศาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที!”

ลู่หยวนยิ้มอ่อนตอบ “งั้นพวกแกก็ต้องส่งข่าวออกไปให้ได้ก่อนน่ะสิ”

สายตาของจอมยุทธ์ทั้งหลายมืดมนลง พวกเขานำวัตถุส่งสัญญาณต่างๆ ออกมาบดขยี้ วัตถุเหล่านี้สามารถส่งข้อมูลผ่านช่องมิติกลับไปสู่สำนักของตนเองได้

ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อขยี้ป้ายส่งสัญญาณ เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่าข้อมูลสลายหายไป ราวกับว่าไม่สามารถเล็ดลอดออกมาจากพื้นที่แห่งนี้ได้

พวกเขาเงยหน้าขึ้นทันควันและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสุสานจักรพรรดิฟ้า คล้ายกับปราการปิดสนิทบริเวณนี้ทั้งหมด

ปราการดังกล่าวดูบอบบาง แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถสั่นไหวได้ ช่างชั่วร้ายอย่างยิ่ง มันกำลังกลืนกินคลื่นหลิงในสุสานจักรพรรดิฟ้าอย่างต่อเนื่อง

เผชิญกับสถานการณ์นี้ความโกลาหลก็พล่านไปในหมู่จอมยุทธ์

“รวมพลังช่วยกันฆ่าไอ้คนทรยศ!”

ทว่าจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าสถานการณ์เริ่มบานปลาย พวกเขาก็คำรามลั่น ร่างแสงแปดสายทะยานไปใส่ลู่หยวน

พวกเขาบอกได้เลยว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากฝีมือลู่หยวน ดังนั้นหากพวกเขาฆ่าลู่หยวนได้ก็จะสามารถออกจากสถานการณ์นี้ได้

การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งคนและขั้นต้นเจ็ดคน ต่อให้เป็นลู่หยวนก็ต้องตกอยู่ในอันตราย

ทว่าท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยกับสถานการณ์นี้ รอยยิ้มเย้ยหยันกลับปรากฏบนใบหน้าเขาแทน

“ระวัง!”

มั่นถัวหลัวรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบตะโกนเตือนทันที

ทว่าขณะที่เสียงของนางดังก้อง ร่างแสงทั้งแปดก็เข้าใกล้ลู่หยวนแล้ว ‘จักรพรรดิฟ้า’ ที่กลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสามคนเข้าไปก็ปรือตาขึ้น

นิ้วเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเส้นแสงสีดำก็เหมือนรวมเข้าในมิติ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ในเวลาเดียวกันมิติก็ฉีกออกเป็นริ้วๆ หมอกสีดำน่ากลัวปะทุออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปากแปดปากที่น่ากลัว พุ่งกัดไปทางร่างแสงทั้งแปด

ปากเคลื่อนไหววูบวาบ มองดูราวกับว่าร่างแสงทั้งแปดพุ่งเข้าไปในปากเอง

กร๊อบ!

ปากขยับเคี้ยว เสียงแหลมและเลือดก็สาดกระเซ็นออกมา ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นจะได้ตอบสนองร่างก็กลายเป็นชิ้นเนื้อและเลือด แม้แต่วิญญาณก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์

มีเฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดแขนตัวเองเปลี่ยนให้กลายเป็นเลือดเนื้อพุ่งเข้าไปในปาก ขณะที่ร่างหลักถอยหนีออกมา

กร๊อบ กร๊อบ

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นเจ็ดคนถูกฆ่าตายทันทีจากฝีมือของ ‘จักรพรรดิฟ้า’ จากนั้นปากก็เปิดออก เลือดเนื้อพุ่งออกมา ก่อนที่จะถูกเขมือบเข้าไป

ขณะที่เขากินเลือดเนื้อทั้งหมดเข้าไปนั้น ร่างกายจักรพรรดิฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย ริ้วพลังชีวิตเริ่มปรากฏบนร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังค่อยๆ ฟื้นตัว!

“ทุกคนทำไมต้องพยายามอย่างไร้ประโยชน์ด้วยล่ะ? วันนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหาร ผลลัพธ์นี้ถูกกำหนดตั้งแต่ที่พวกเจ้าเดินทางเข้ามาที่นี่แล้ว” ลู่หยวนยิ้มบางเมื่อมองไปยังทุกคนที่ฉายสีหน้าหวาดผวา

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางมองไปที่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ พลางเอ่ยอย่างช้าๆ “มันคือราชันปีศาจนั่นใช่ไหม?”

ลู่หยวนพยักหน้ายิ้ม

“ข้าต้องขอบคุณพวกมันที่นำนายท่านออกจากการผนึกของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง เนื่องจากกระบี่จะสามารถสัมผัสพลังงานปีศาจในร่างข้าได้” ลู่หยวนยกมือขึ้น หมอกสีดำปรากฏบนฝ่ามือตามด้วยเสียงคำรามโหยหวน

“ที่แท้แกก็ติดเชื้อจากรัศมีปีศาจแล้วสินะ” มั่นถัวหลัวพยักหน้าพูดต่ออย่างเฉยเมย “มิน่าล่ะแกถึงลอบโจมตีข้า แกคงติดเชื้อตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

ลู่หยวนยิ้มตาหยี “ไม่ถือว่าติดเชื้อหรอกมั้ง เพราะข้ายินยอมเอง พลังของนายท่านเกินกว่าจินตนาการของแก แม้แต่จักรพรรดิฟ้ายังต่ำต้อยกว่านายท่าน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ต้องสละทุกอย่างเพื่อผนึกนายท่านหรอก”

“แต่ถ้าผนึกยังคงอยู่ต่อ แม้แต่นายท่านก็จะถูกฆ่าตายจริงๆ ดังนั้นจึงต้องเกิดการเปิดวังสวรรค์บรรพกาลในครั้งนี้”

ดวงตาทุกคู่หดลง การเปิดวังโบราณในครั้งนี้เกิดจากลู่หยวนหรือ? วัตถุประสงค์ก็คือล่อลวงทุกคนให้มาเป็นอาหารของราชันปีศาจเพื่อให้หลุดพ้นจากผนึกและชุบชีวิต?

มั่นถัวหลัวเค้นเสียง “หยุดพูดให้ดูดีเถอะ ที่แกติดเชื้อก็คงเป็นเพราะมีจิตใจไม่ตั้งมั่น ทำให้ราชันปีศาจจับจุดอ่อนในใจได้ การตัดสินใจทั้งหมดในตอนนี้ของแกไม่ใช่ความต้องการของแกอีกต่อไป แต่ถูกควบคุมโดยผู้อื่นเหมือนเป็นหุ่นเชิด”

มุมปากของลู่หยวนกระตุก รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลง สายตาจ้องมั่นถัวหลัวอย่างโหดเหี้ยม ริ้วรัศมีปีศาจพล่านในดวงตา

ทว่าเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแค่ยิ้มน่าขนลุกออกมา “แกก็พล่ามไปเถอะ เมื่อไรที่นายท่านฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้แกสัมผัสกับความตายที่ดีกว่าอยู่!”

“กลัวว่าแกรอถึงเวลานั้นไม่ได้หรอก!”

มั่นถัวหลัวเย้ยหยัน จากนั้นม่านตาก็เหลือบมองมู่เฉิน ริมฝีปากนางขยับส่งเสียงเข้าไปในโสตประสาทของมู่เฉิน “ข้าจะสกัดมัน เจ้าไปแย่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิมาให้ได้ มีเพียงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิที่สามารถหยุดยั้งราชันปีศาจไม่ให้ฟื้นขึ้นมาได้”

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะกัดฟันพลางพยักหน้า

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็ทะยานออกไป พุ่งไปหาจักรพรรดิฟ้า

“การต่อสู้ที่ไร้จุดหมาย” ลู่หยวนล้อเลียน

ฮึ่ม

มิติสั่นสะเทือน ปากปีศาจฉีกเปิดออกพยายามกัดกินมั่นถัวหลัว ท่าทางเรียบง่ายแต่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เพราะได้เห็นตัวอย่างจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นทั้งเจ็ดคนไปแล้ว

ทว่ามั่นถัวหลัวแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นหลายขุม นางไม่ได้ตื่นตระหนก ตบฝ่ามือออกไป แสงสีดำพุ่งออกมาก่อตัวเป็นลวดลายดอกแมนดาลาขนาดใหญ่ตรงหน้า พันรอบปากปีศาจขัดขวางไม่ให้เปิด

“มู่เฉิน!”

จังหวะนั้นมั่นถัวหลัวก็คำรามออกมา

วาบ!

มู่เฉินเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสง เป้าหมายของเขาไม่ใช่จักรพรรดิฟ้าหรือลู่หยวน แต่เป็นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ!

เขาเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ปรากฏตัวต่อหน้ากระบี่เกล็จักรพรรดิในพริบตา

เมื่อมองฉากนี้ลู่หยวนก็เยาะเย้ย “มั่นถัวหลัว แกติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าข้า แกลืมไปหรือไงว่ามีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิได้?”

พอมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปวูบหนึ่ง แต่เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขากัดฟันมือคว้ากระบี่แน่น แม้ว่าจะไม่ได้ผลก็ต้องลองสักตั้ง

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะเหลือบมาหาลู่หยวนด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด “ก็เป็นเพราะข้าติดตามจักรพรรดิฟ้ามานานกว่าแกไง ข้าถึงรู้เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิว่าคืออะไร”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของลู่หยวนก็หดลงหันขวับไปมองมู่เฉิน

เวลานี้มู่เฉินคว้าด้ามกระบี่เกล็ดจักรพรรดิไว้แน่นพลางแผดเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นแสงสีทองมลังเมลืองไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดออกมา ก่อตัวเป็นเงาร่างสีม่วงทองสูงร้อยจั้งพร้อมกับรัศมีอมตะเอิบอาบออกมา

เมื่อภาพเงามหึมาปรากฏขึ้น แขนทั้งสองของมู่เฉินก็ใช้แรงถึงขีดสุด

เคร้ง!

เสียงกระบี่โบราณเปล่งก้องระหว่างสวรรค์และโลก ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท