หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1186

ตอนที่ 1186

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1186 การฟื้นตัวของราชันปีศาจ
เคร้ง!

เสียงกระบี่ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก ทำให้เกิดคลื่นความผันผวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป

ขณะเดียวกันแสงกระบี่แก้วใสก็กระจายออก ช่างดูอ่อนโยนและเหมือนจะไม่มีความสามารถในการทำลายล้างใดๆ ทว่าเมื่อแสงกระบี่เอิบอาบ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทุกคนก็สามารถรู้สึกถึงความกลัวที่เพิ่มขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ

พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าตัวเองถูกแสงกระบี่กวาดเข้าใส่ก็จะถูกทำลายทันที

วัตถุชิ้นนี้ทรงพลังอะไรเพียงนี้

“ปะ…เป็นไปได้ยังไง?!”

ภาพนี้ทำเอาลู่หยวนตกตะลึงและอดพึมพำออกมาไม่ได้ ไม่ใช่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นวัตถุที่มีเพียงจักรพรรดิฟ้าเท่านั้นที่สามารถดึงออกมาได้เรอะ? แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มทำได้อย่างไร?

แววตาของลู่หยวนเปลี่ยนไปเมื่อสังเกตเห็นเงาสีม่วงทองที่อยู่ด้านหลังมู่เฉิน ซึ่งน่าจะเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝน เขารู้สึกถึงรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์ที่เปล่งออกมา

นั่นเป็นรัศมีอมตะ

ให้ความรู้สึกว่ากระทั่งมู่เฉินตาย แต่ร่างเทห์สวรรค์ก็ยังคงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

“นั่นคือร่างเทพสุริยะนิรันดร์รึ?!” ม่านตาของลู่หยวนแคบลง ในที่สุดก็จดจำร่างเทห์สวรรค์นั่นได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งนี้คือความหวังของเขาที่มีต่อจาโหลหลัว แต่น่าเสียดายที่จาโหลหลัวพ่ายแพ้ในมือมู่เฉิน

ส่วนมู่เฉินก็ได้บรรลุเป้าหมายสำเร็จ

“ณ วังสวรรค์บรรพกาล จักรพรรดิฟ้าเคยกล่าวไว้ว่าผู้สืบทอดต้องครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์” มั่นถัวหลัวมองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงของลู่หยวนก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “นอกเหนือจากการยอมรับจากจักรพรรดิฟ้า เงื่อนไขในการดึงกระบี่เกล็ดจักรพรรดิออกมาอีกหนึ่งประการก็คือการได้รับการยอมรับจากอาวุธ ซึ่งก็คือร่างเทพสุริยะนิรันดร์”

“เนื่องจากไม่มีใครคนไหนในวังสวรรค์บรรพกาลสามารถฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ สิ่งนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือน คนที่เข้าร่วมกลางคันอย่างแกไม่ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เป็นปกติ”

พูดถึงจุดนี้ มั่นถัวหลัวก็หัวเราะเยาะ นางยื่นมือออกมาจับบนอากาศ ลวดลายมืดมนก็พันรอบปากชั่วร้ายจนมันไม่สามารถแบ่งพลังออกมาโจมตี

“มู่เฉินลงมือ!”

ขณะเดียวกันเสียงคำรามของนางก็ดังขึ้นในโสตประสาทของมู่เฉิน

เมื่อได้ยินเสียงของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็จับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิแน่น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานที่น่ากลัวในนั้น ทำให้แม้แต่พัดเทพสายลมก็ราวกับหิ่งห้อยโผบินเบื้องหน้าดวงจันทร์

แน่นอนว่าเขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงพลังออกมาทั้งหมดโดยขุมพลังที่มีปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะจุดชนวนในร่างก็ตาม

แต่โชคดี…กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของราชันปีศาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้มู่เฉินควบคุม กระบี่สั่นสะเทือนแผดเสียงพุ่งสูงเสียดฟ้า

ฮึ่ม!

ลำแสงขนาดหมื่นจั้งนำพามู่เฉินทะยานออกไปด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นก็สัมผัสได้เพียงประกายแสงวูบไหวไปเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมองตามวิถีของมันได้เลย

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิปรากฏขึ้นเบื้องหน้าร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในพริบตา จากนั้นก็เสือกแทงเข้าไปในร่าง ตั้งใจจะผนึกอีกครั้ง

ชี่!

ทว่าทันทีที่กระบี่แทงเข้าไป ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เนื่องจากเขาพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ ‘จักรพรรดิฟ้า’ แต่เป็นลู่หยวน!

กระบี่แทงเข้าไปที่ในร่างลู่หยวน รัศมีกระบี่น่าสะพรึงพล่านออกมาทำให้ร่างลู่หยวนถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าว

แต่ที่ทำให้มู่เฉินตะลึงใจหวาดผวาก็คือใบหน้าของลู่หยวนที่แต่เดิมควรอยู่อีกทิศทางหนึ่งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและเจ็บปวด

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยความเต็มใจ

ถ้าไม่ใช่เขา หรือว่าจะเป็นราชันปีศาจรึ?!

ม่านตาของมู่เฉินหดลง จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของมั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวาในเวลานี้

ท่าทางราวกับว่าพวกเขาเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว

แปะ

ขณะที่ในใจมู่เฉินตีวนไม่หยุด ทันใดนั้นมือสีขาวซีดก็เอื้อมมาจากด้านหลังลู่หยวนแล้ววางลงบนไหล่

“ฮ่าๆ เจ้าทำได้ดีมาก” เสียงอ่อนโยนดังก้องจากด้านหลังลู่หยวน ร่าง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ในชุดเขียวอมฟ้าก็ก้าวย่างออกมา!

ในขณะนี้ดวงตาเขาเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว รัศมีปีศาจสีดำที่ชั่วร้ายที่สุดในฟ้าดินแผ่ซ่านในดวงตา

ราชันปีศาจฟื้นคืนชีพแล้ว!

ลู่หยวนเอี้ยวคอกลับมามอง ‘จักรพรรดิฟ้า’ ด้วยความยากลำบาก ริมฝีปากขยับราวกับว่ากำลังร้องขอให้ช่วย รัศมีกระบี่ในร่างกำลังจะทำลายเขาออกจากโลกตลอดกาล

“วางใจเถอะ ข้าจะปล่อยให้ทาสที่บริการถึงใจต้องมาตายง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร” ร่างจักรพรรดิฟ้ายิ้ม ก่อนที่จะตบมือ รัศมีปีศาจไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากมือเข้าสู่ร่างลู่หยวน กระจายรัศมีกระบี่ในร่างลู่หยวนจนหมดสิ้น

ทว่าแม้เขาจะช่วยลู่หยวนขับรัศมีกระบี่ออกไป แต่ร่างกายของลู่หยวนก็ถูกปีศาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายปีศาจชั่วร้าย รัศมีปีศาจที่เชี่ยวกรากทำให้ร่างทั้งหมดเปลี่ยนไป นอกจากนี้ลู่หยวนยังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงในร่างกำลังเปลี่ยนไปเป็นรัศมีปีศาจที่ชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว

ยามนี้ตัวเขาเกิดการถูกปฏิเสธจากฟ้าดิน ทำให้เขาไม่สามารถดูดกลืนคลื่นหลิงได้อีกต่อไป

เขาถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตนอกมหาพันภพแล้ว

เมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แววตาของลู่หยวนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ก้มหัวคำนับให้อีกฝ่าย “ขอบคุณนายท่ายที่ทำให้ข้าเกิดใหม่!”

มู่เฉินถอนกระบี่ถอยกลับทันทีพร้อมกับใบหน้ามืดมนลง ไม่คิดว่าสุดท้ายราชันปีศาจก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ สถานการณ์ปัจจุบันเกินการควบคุมแล้ว

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็ตึงเกร็ง จอมยุทธ์คนอื่นๆ ถึงกับฉายแววตื่นตระหนกบนใบหน้า คนตรงหน้าคือราชันปีศาจแห่งเผ่าปีศาจต่างมิตินะ!

กระทั่งจักรพรรดิฟ้าที่เป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพในตอนนั้นยังทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายไว้ ตอนนี้เมื่อมันถูกปล่อยออกมา ทุกคนที่นี่ยังไม่พอที่จะแงะขี้ฟันเลย

หลังจากที่เปลี่ยนร่างลู่หยวนให้กลายเป็นร่างปีศาจ ราชันปีศาจก็ยืดเอวพลางยิ้ม “จักรพรรดิฟ้าเป็นจอมยุทธ์พิเศษจริงๆ วิชาสามพิสุทธิ์น่าเกรงขามอย่างแท้จริง หากไม่ใช่โชคช่วย ข้าคงถูกมันฆ่าตายแล้ว”

ขณะพูดสายตาก็เบนไปยังฝูงชนอย่างพอใจ “แต่การเห็นอาหารสดมากมายตั้งแต่ฟื้นคืนชีพนี่มันมีความสุขจริงๆ”

“วิ่งเร็ว!”

จอมยุทธ์แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ก่อนที่จะเร้าคลื่นหลิงเต็มพิกัดเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด พยายามที่จะหลบหนีออกจากสุสานจักรพรรดิฟ้า

ทว่าราชันปีศาจก็เพียงยิ้มเยาะเย้ยพลางเปิดปาก รัศมีปีศาจครอบงำกวาดไปยังจอมยุทธ์ที่หลบหนี เปลี่ยนพวกเขาเป็นหมอกเลือดเนื้อ ก่อนที่จะสูบกินเข้าไป

“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ข้าจะคืนชีพได้ ดังนั้นขอข้ากินให้อิ่มก่อน” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เหยียดฝ่ามือออก ทันใดนั้นกระแสรัศมีปีศาจรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาราวกับมังกรปีศาจ เริ่มกลืนกินจอมยุทธ์ที่หนีกันจ้าละหวั่น

ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความโกลาหลโดยสิ้นเชิง

กระทั่งมั่นถัวหลัวยังถูกพัวพันด้วยมังกรปีศาจหลายสิบตัว ต่อให้นางมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็สามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น

ตู้ม!

มู่เฉินกวัดแกว่งกระบี่เกล็ดจักรพรรดิ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถดึงพลังกระบี่ออกมาได้ แต่ก็ยังพึ่งพาเพื่อปกป้องตัวเองได้ ทว่าเขาก็ยังคงดูอยู่ในสภาพน่าสมเพช

ในความโกลาหลวุ่นวาย ราชันปีศาจก็ยิ้มตาหยีพลางโบกมือเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่โบกมือก็จะมีร่างจอมยุทธ์ฉีกขาดและถูกกลืนกิน

หลังจากกินจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นต้นไปหลายคน เขาก็หันไปเห็นเซียวเซียว หลินจิ้งและจิ่วโยว ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “สาวน้อยให้ข้าชิมหน่อยว่าเลือดเนื้อของเจ้าสดแค่ไหน”

เขายิ้มบางชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็แผ่ออกมาปกคลุมหญิงสาวทั้งสามคนเอาไว้

เผชิญหน้ากับการจู่โจมกะทันหัน หญิงสาวทั้งสามคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง พบกับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ พวกนางไม่มีกระทั่งโอกาสในการหลบหนี

วาบ!

แต่ทันใดนั้นร่างของมู่เฉินก็ทะยานเข้ามาพร้อมกับกระบี่เกล็ดจักรพรรดิกำแน่นในมือ บนกระบี่กระจายด้วยแสงสีทอง เขายืนจังก้าเบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสามคน

ปัง!

รัศมีปีศาจกวาดเข้ามา เสื้อท่อนบนมู่เฉินกลายเป็นฝุ่นผงทันที มันยังทิ้งรอยลึกไว้บนร่างเขาราวกับใบมีดแหลมคม ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแสงกระบี่ละก็ เขาถูกทำลายไม่เหลือหลอแล้ว

แต่กระนั้นร่างของเขาก็ยังสั่นเทิ้มรุนแรง ทำท่าจะล้มลงทุกขณะ ถ้าล้มลงเมื่อไรเขาจะต้องตายแน่นอน

ที่ข้างหลังเมื่อหญิงสาวสามคนเห็นสภาพของมู่เฉินก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง

“มู่เฉิน!”

เสียงของพวกนางเต็มไปด้วยความกังวล

“ไป!”

ดวงตาของมู่เฉินแดงก่ำพลางส่งเสียงคำราม ยามนี้เขาไม่มีพลังงานมากพอ ได้แต่ให้หญิงสาวทั้งสามพยายามหนีไปขณะที่เขายังทนรับรัศมีปีศาจเอาไว้ได้

แม้เขาจะรู้ว่าไร้ประโยชน์ที่ทำ แต่ด้วยนิสัยเขาไม่มีทางมองหญิงทั้งสามต้องจบชีวิตต่อหน้าต่อตา ถึงพวกนางจะต้องตายก็ต้องหลังจากเขาจบชีวิตลงแล้ว

“ฮ่าๆ ช่างเป็นฉากที่น่าประทับใจ… ในเมื่อแกต้องการตายก่อน งั้นข้าสนองความต้องการให้เอง” ราชันปีศาจหัวเราะเบาๆ กับภาพเบื้องหน้าแล้วสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาตั้งใจจะฆ่ามู่เฉินให้สิ้นซาก

เผชิญหน้ากับรัศมีปีศาจนี้แม้แต่มู่เฉินก็เผยความสิ้นหวังบนใบหน้า หากสิ่งมีชีวิตระดับนี้สนใจเขาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เขาก็ต้องตายคาที่ทันที

ตู้ม ตู้ม!

รัศมีปีศาจล้นทะลักออกมา เปลี่ยนวิสัยทัศน์เขาจนมืดดำ

จะจบแบบนี้แล้วเหรอ?

ตู้ม ตู้ม!

ดวงตาของมู่เฉินหลุบลงจากรัศมีปีศาจ แต่ก่อนที่วิสัยทัศน์จะถูกแทนที่ด้วยความมืดตลอดกาล เปลวไฟเหนือล้ำก็ล้นทะลักออกมาจากมิติว่างเปล่า แผดเผารัศมีปีศาจ

ฟิ้ว!

เหมือนจะเป็นอุกกาบาตที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟเจาะผ่านมิติตกลงมาที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

เพลิงลุกโชติช่วง ในที่สุดมู่เฉินที่หลุบตาลงก็เห็นวัตถุเบื้องหน้าได้ชัดเจน นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำขนาดใหญ่ปักลงบนพื้นดินซึ่งกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ เผาผลาญรัศมีปีศาจทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขา

ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะอย่างเกียจคร้านก็ดังขึ้น

“เฮ้ แม้ว่าแกจะเป็นราชันปีศาจ แต่ก็มากลั่นแกล้งลูกสาวสุดที่รักของข้าแบบนี้ไม่ดีมั้ง?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท