หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1199

ตอนที่ 1199

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1199 เผ่าฝูถู
“เผ่าฝูถู”

ชื่อนี้สั่นสะเทือนหัวใจของมู่เฉิน สายตาของเขาเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าวิชามหาเจดีย์น่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฝูถู

หากเขาเดาได้ถูกต้องละก็ พวกที่ขังมารดาของเขาไว้ก็น่าจะเป็นเผ่าฝูถู!

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมารดาที่เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือที่มีพลังคล้ายกับระดับเทียนจื้อจุนถึงต้องจากไปเพื่อปกป้องเขาและบิดา

แม้เขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเผ่าฝูถู แต่เขาก็รู้ว่าหนึ่งในเผ่าโบราณของมหาพันภพน่ากลัวเพียงใด

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดายังต้องระวังเมื่อเผชิญกับอำนาจเช่นนี้

“มิน่าท่านแม่ถึงไม่ต้องการให้ข้าเผยวิชามหาเจดีย์บ่อยครั้งเกินไป นางกลัวว่าข้าจะถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถูนี่เอง ด้วยพลังของพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่สำหรับข้าหากพวกเขาค้นพบ”

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงละวิชามหาเจดีย์เอาไว้ มิหนำซ้ำยังซ่อนไว้ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะจับได้

เขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือมารดาและเขาไม่ต้องการที่จะนำปัญหาที่ไม่จำเป็นไปให้มารดาเพราะความประมาท

เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นสีหน้าของมู่เฉินก็คิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเพราะต้องไปที่เผ่าโบราณเพื่อคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์ เขายิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ร่างมหาเทพปฐมกาลจะเลือกผู้ฝึกด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้ามั่นใจเพียงพอก็เดินทางไปที่นั่นได้”

“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องมีพลังมากพอก่อน! มิฉะนั้นอย่าไปเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอโบราณนั่นเลย” ขณะที่พูดท่าทางของจักรพรรดิฟ้าก็กลายเป็นเคร่งเครียด

มู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาไม่ใช่คนโง่ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าหมัวเฮอยังมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้จะเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาก็คงปรารถนาครอบครองแน่นอน ดังนั้นถ้าเป็นใครบางคนในเผ่าของพวกเขาได้รับก็ดีไป แต่ถ้ามีคนอื่นต้องการรับก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ

ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้

“ทำไมตอนนั้นอาจารย์ไม่ไปรับร่างมหาเทพนิรันดร์ล่ะขอรับ?” มู่เฉินนึกขึ้นได้ก็ถามออกมา จักรพรรดิฟ้าฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เช่นกัน ดังนั้นเขาน่าจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วย

รากฐานของเผ่าหมัวเฮอทรงพลังก็จริง แต่จักรพรรดิฟ้าและวังสวรรค์บรรพกาลก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นถ้าเป็นจักรพรรดิฟ้าก็มีคุณสมบัติที่จะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์

จักรพรรดิฟ้าส่ายหัวด้วยความเสียดาย “ข้าก็คิดเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ร่างมหาเทพนิรันดร์มีเจ้าของแล้วในยุคข้า ดังนั้นไม่มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้”

“โอ้?”

มู่เฉินสั่นไหว แม้แต่คนอย่างจักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถรับร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รึ? แล้วใครคือเจ้าของคนก่อนที่ขนาดจักรพรรดิฟ้ายังต้องยอมแพ้ให้?

“ฮ่าๆ เขาเป็นจอมยุทธ์ทรงอำนาจ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในจุดสุดยอดของมหาพันภพ แม้กระทั่งข้ายังต้องยอมรับกับความด้อยของตัวเอง ไม่งั้นข้าก็อยากจะลองรับร่างมหาเทพนิรันดร์สักครั้ง ถ้าข้าสามารถได้รับมา แม้แต่ไอ้เก้าซากก็ไม่สามารถทำให้อะไรกับข้าได้” จักรพรรดิฟ้ายิ้มด้วยความชื่นชมนับถือฉายบนใบหน้า

คนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับความนับถือจากจักรพรรดิฟ้าต้องดำรงอยู่อย่างไม่ธรรมดาแน่นอน มู่เฉินเริ่มชักจะอยากรู้ “ผู้อาวุโสคนนั้นคือใครขอรับ?”

“ในสมัยโบราณเขาเป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดินิรันดร์ เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในผู้นำของยุคนั้น เขาพึ่งพาพลังของตัวเองเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระดับเทียนหลายคนซึ่งจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของจักรวรรดิปีศาจ” จักรพรรดิฟ้าอธิบาย

“เทพจักรพรรดินิรันดร์”

มู่เฉินพึมพำชื่อซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เห็นได้ชัดว่าฉายานี้มาจากร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาครอบครอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจอมยุทธ์ผู้นี้

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ยิ่งคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์มากยิ่งขึ้น

“หนทางนี้ยังห่างไกล เจ้าควรมุ่งเน้นการฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ให้ถึงขีดสุดซะก่อน” จักรพรรดิฟ้าสอนสั่งเมื่อเห็นความปรารถนาร้อนแรงในแววตาของมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาไม่ใช่คนที่กัดมากกว่าจะเคี้ยวได้ แม้ว่าในใจเขาจะคาดหวังกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็รู้ว่าต้องเดินไปทีละก้าว ตอนนี้ต่อให้ร่างนี้จะถูกวางไว้ตรงหน้า เขาก็ไม่สามารถฝึกฝนได้

หลังจากพูดคุยกันมากมาย มู่เฉินก็เห็นร่างจักรพรรดิฟ้าเริ่มจางหายไปมากขึ้น นี่ทำให้แววตาของมู่เฉินมืดครึ้ม เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิฟ้าถึงขีดจำกัดแล้ว

เศษเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้กำลังจะหายไปตลอดกาล

มั่นถัวหลัวที่อยู่ข้างๆ ได้แต่นิ่งเงียบ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เมื่อเห็นท่าทางของพวกเด็กๆ จักรพรรดิฟ้าก็ยิ้มขณะที่ลูบหัวมั่นถัวหลัวอย่างรักใคร่ “มู่เฉินมีศักยภาพมหาศาล หากเขาต้องการความคุ้มครองจากเจ้าในอนาคต โปรดทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเขา”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ

จักรพรรดิฟ้ามองมู่เฉินนิ่ง “ข้าฟูมฟักดอกแมนดาลาน้อยคล้ายกับบุตรสาวอันเป็นที่รัก ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทของข้า นางก็ถือว่าเป็นพี่สาวของเจ้าด้วยเช่นกัน”

มู่เฉินรู้สึกอึกอักไปบ้าง นี่เป็นเรื่องยากที่เขาจะเปิดปากเรียกเมื่อมองไปที่รูปร่างกระจ้อยร่อยของมั่นถัวหลัว แต่เขารู้ว่าที่จักรพรรดิฟ้าทำเช่นนั้นก็เพื่อฝากลูกสาว มู่เฉินผงกศีรษะพลางยิ้ม “ศิษย์พี่หญิง ข้าฝากตัวด้วย”

เมื่อมั่นถัวหลัวที่อยู่ในความโศกเศร้าได้ยินตำแหน่งที่มู่เฉินเรียก นางก็ยิ้มพลางกลอกตาใส่อีกฝ่าย ความเศร้าดูลดลงไประดับหนึ่ง

จักรพรรดิฟ้าพยักหน้าขอบคุณกับภาพนี้ เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวมีนิสัยโดดเดี่ยวและยากสำหรับนางที่จะมีสหายสนิท แต่เขาสังเกตเห็นความไว้วางใจระหว่างมู่เฉินกับนาง ยามนี้มู่เฉินยังอ่อนแอ แต่เขาเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้จะเติบโตเป็นยอดยุทธ์ในอนาคตที่สามารถปกป้องมั่นถัวหลัวได้

“มหาพันภพอาจดูสงบสุขในขณะนี้ แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติกำลังจับตามองพวกเราอยู่เสมอ พวกมันเหล่านั้นลึกลับมาก ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน จากความรู้สึกข้า แม้การรุกรานครั้งก่อนจะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็เหมือนยังซ่อนพลังไว้ ดังนั้นถ้าพวกมันบุกเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะยิ่งใหญ่เกินคณนา จากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะปกป้องจักรวาลนี้แล้ว” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ

มู่เฉิน มั่นถัวหลัวและจิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ

จักรพรรดิฟ้าไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างค่อยๆ จางลง สุดท้ายกลายเป็นจุดแสงมหาศาลกระจายออกร่วงลงในทะเลสาบสวรรค์และหายไปในที่สุด

มองดูการลาจากของจักรพรรดิฟ้า ทั้งสามก็ยังคงนิ่งเงียบเป็นเวลานานบรรยากาศหดหู่อบอวลรอบตัว

ในที่สุดมั่นถัวหลัวก็ควบคุมความเศร้าขณะที่หันมองไปทางมู่เฉิน “ไปกันเถอะ”

มู่เฉินพยักหน้า “เราควรทำยังไงกับวังโบราณนี้ดี?”

วังสวรรค์บรรพกาลเป็นดินแดนที่จักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นมาหลายปี ด้วยสภาพการเพาะบ่มที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าสามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะดีต่อขั้วอำนาจมาก

มั่นถัวหลัวครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเอ่ยปาก “เดี๋ยวเราย้ายไปไว้ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เถอะ แต่นั่นต้องจัดระเบียบพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือใหม่ซะก่อน”

มู่เฉินพยักหน้าเงียบๆ พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือปัจจุบันหละหลวมมาก หากคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมในวังโบราณก็ย่อมหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องจัดการจัดระเบียบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนก่อน

เมื่อก่อนมั่นถัวหลัวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นจะมีคลื่นใต้น้ำหากนางต้องการจัดเรียงการกระจายอำนาจใหม่ แต่ตอนนี้พลังของนางเพิ่มขึ้น มิหนำซ้ำมู่เฉินก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุน ซึ่งเมื่อบวกกับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์อันดับสองในภูมิภาคทางเหนือรองจากมั่นถัวหลัว

ด้วยไพ่ตายเหล่านี้แม้ว่าขั้วอำนาจอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือต้องการที่จะต่อต้าน ทั้งสองก็สามารถปราบจนราบคาบได้

เมื่อตัดสินใจได้มู่เฉินก็พยักหน้าเบาๆ ให้ร่างรองทั้งสอง พวกเขายิ้มพุ่งลงไปในทะเลสาบสวรรค์เริ่มการเพาะบ่มเสริมกำลังทันที

มู่เฉินยังคงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา เพียงแค่คิดเขาก็จะสามารถเรียกร่างรองทั้งสองกลับมาได้ในพริบตา ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลกันเท่าไรก็ตาม

หลังจากให้ร่างรองทั้งสองเข้าไปในทะเลสาบสวรรค์เขาก็พยักหน้าให้มั่นถัวหลัว นางสะบัดมือ อุโมงค์มิติปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

มู่เฉินพุ่งเข้าไปพร้อมกับจิ่วโยว มั่นถัวหลัวอยู่รั้งท้าย สายตานางมองไปที่ทะเลสาบสวรรค์ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลมาจากหางตา ก่อนที่นางจะหันหลังก้าวออกไป

อุโมงค์ค่อยๆ หายไป ความสงบสุขกลับคืนสู่มิตินี้อีกครั้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่ดังสะท้อนในมิติ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท