หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1192

ตอนที่ 1192

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1192 ผู้ได้รับ
“ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ของข้าหรือไม่?”

เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้าก็ชะงักชั่วครู่ก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากันพลางคลี่ยิ้ม แม้ว่าจักรพรรดิฟ้าจะเป็นจอมยุทธ์น่าเกรงขามในยุคโบราณและวิชาสามพิสุทธิ์ก็ยังเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนวนสามสิบหกกระบวนท่า แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั่วไปก็ยังได้ถูกดึงดูดไว้เหนียวแน่น

ทว่าแม้วิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง ก็ยังไม่เพียงพอที่พวกเขาจะถูกล่อลวง พวกเขามั่นใจว่าทักษะที่คิดค้นขึ้นเองไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาสามพิสุทธิ์

นอกจากนี้หากพวกเขาเรียนรู้วิชาสามพิสุทธิ์ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้รับมรดกและการถ่ายทอดจากจักรพรรดิฟ้า ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ง่ายๆ

พวกเขาให้ความเคารพจักรพรรดิฟ้าเนื่องจากเป็นจอมยุทธ์ทรงคุณธรรม แต่พวกเขาไม่ต้องการรับมรดก นอกจากนี้ยังมีเด็กรุ่นหลังอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นคงจะเป็นเรื่องตลกถ้าพวกเขาแข่งขันกับลูกหลานเพื่อรับมรดก

ทั้งสองอมยิ้ม “โอกาสดีเช่นนี้เก็บไว้ให้คนที่ชะตาต้องกันเถอะ”

จักรพรรดิฟ้ายิ้มดูไม่ได้แปลกใจ เขาบอกได้เลยว่าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา กระทั่งตัวเขาในจุดสูงสุดก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่อยากได้วิชาสามพิสุทธิ์ไป ยิ่งกว่านั้นที่เขาถามก็แค่ลองใจ เนื่องจากเขามีตัวเลือกที่ดีกว่าที่จะเป็นผู้สืบทอดอยู่ในใจแล้ว

จักรพรรดิฟ้าหันมามองมู่เฉินพลางยิ้มให้ “แล้วเจ้าล่ะ?”

มู่เฉินอึ้งไปที่จู่ๆ จักรพรรดิฟ้าก็จ้องมองมาที่เขา พิจารณาคำพูดก่อนหน้า เขาคิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์คงจะตกอยู่ในมือเซียวเหยียนหรือไม่ก็หลินต้ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายนัก เป้าหมายของตัวเขาสำเร็จลุล่วงได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์แล้ว ดังนั้นเขาจึงพอใจอย่างมาก

แต่ใครจะไปคิดว่าเซียวเหยียนกับหลินต้งจะปฏิเสธ ตามมาด้วยจักรพรรดิฟ้าถามเขา นอกจากนี้จักรพรรดิฟ้ายังมองดูเขาด้วยความชื่นชม ความจริงที่เขาสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิฟ้ามากเลยทีเดียว

จิ่วโยวผลักมู่เฉินออกมาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว นี่เป็นโอกาสที่ดี หากมู่เฉินได้รับวิชาสามพิสุทธิ์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างแน่นอน

ภายใต้สายตาของทุกคนมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานาน ข้าอยากได้ แต่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีพรสวรรค์และโชคมากพอ”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าเบาๆ ไม่ผิดสำหรับพวกเขาที่จะปฏิเสธวิชาสามพิสุทธิ์ ในเมื่อพวกเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นมู่เฉินทำก็เท่ากับเสแสร้ง วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังคนอื่นๆ ก็ถูกดึงดูด ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย ดังนั้นเมื่อมู่เฉินยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมายิ่งนัก

“ฮ่าๆ เยี่ยม! เจ้าตรงดีจริงๆ” จักรพรรดิฟ้ายิ้มพลางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าพอใจกับคำตอบของมู่เฉิน

“โชคชะตาของเจ้าเชื่อมโยงกับข้า ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เพื่อไม่ให้คัมภีร์ระดับเสินทงขั้นสุดยอดสูญหาย ข้าจะถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้าเอง”

มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นในใจเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิฟ้า เขาประสานมือคำนับทันที

“ฮ่าๆ เป็นเรื่องน่าดีใจที่ท่านจักรพรรดิฟ้าจะได้ผู้สืบทอด” เมื่อเซียวเหยียนเห็นจักรพรรดิฟ้าคิดจะถ่ายทอดวิชาสามพิสุทธิ์ให้มู่เฉิน เขาก็ยิ้ม เขาค่อนข้างพอใจกับชายหนุ่มคนนี้ ดูเหมือนว่าสายตาของบุตรสาวเขาจะดีเลยทีเดียว

“จอมปีศาจทุนเทียนถูกทำลายสิ้นซากแล้ว ดังนั้นพวกข้าคงไม่อยู่ต่อ”

เซียวเหยียนและหลินต้งพูดขึ้นในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิฟ้ากำลังจะถ่ายทอดวิทยายุทธขั้นสุดยอดให้มู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ที่นี่

จักรพรรดิฟ้าประสานมือให้ทั้งสอง “จักรวรรดิปีศาจไม่เคยคิดยอมแพ้ พวกมันตั้งใจจะทำลายมหาพันภพ อนาคตข้าขอฝากไว้ในมือพวกเจ้าทั้งสอง”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เซียวเหยียนหันไปหามู่เฉินสะบัดมือพร้อมรอยยิ้ม ตะเกียงเก่าพุ่งไปทางมู่เฉิน เขาก็คว้ารับไว้อย่างรวดเร็ว

“มู่เฉินขอบใจมากที่ช่วยชีวิตลูกสาวข้าไว้ หากเจ้าเผชิญกับอันตรายใดในอนาคตต้องการขุมกำลังแคว้นหวู่จิ้งฮั่วของข้าสนับสนุน ก็จุดตะเกียงนี้ซะ ข้าจะมาช่วยด้วยตัวเองทันที” เซียวเหยียนยิ้ม

เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนี่ก็ตกใจ นี่ไม่ใช่ของขวัญธรรมดา เทียบเท่ากับโอกาสในการเรียกยอดยุทธ์ทรงพลังแห่งมหาพันภพ นี่คือตัวช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่แท้จริง

ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้รับสิ่งที่สามารถเชิญจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีมาช่วย

ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึง หลินต้งก็ยิ้มบาง “ในเมื่อพี่เซียวให้สิ่งนี้ ข้าคงต้องทำอะไรบางอย่างเช่นกัน ไม่งั้นยัยหนูของข้าคงบ่นไม่เลิก”

เขาสะบัดนิ้วหินสลักอักขระพุ่งไปหามู่เฉิน “สิ่งนี้คล้ายกับตะเกียงนั่น ขยี้มันแล้วข้าก็จะสัมผัสได้ทันที”

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ หลังจากได้รับของมาก่อนที่จะประสานมือคารวะหลินต้งและเซียวเหยียน “ข้าจะไม่ลืมพระคุณนี้จากผู้อาวุโสทั้งสองอย่างแน่นอน”

ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง เขาบอกได้ว่าทั้งสองคนกำลังให้ความคุ้มครองกับเขาอยู่ เส้นทางของยอดยุทธ์ที่โดดเด่นจำเป็นต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ผู้คนจำนวนมากล้มหายตายจากไปก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงมอบวัตถุนี้ให้เขาเพื่อที่จะได้ให้ความคุ้มครองแก่เขา

หลินต้งและเซียวเหยียนต่างตกใจเพราะไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้าใจความตั้งใจได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม ชายหนุ่มคนนี้ฉลาดมาก ดูเหมือนว่าในอนาคตความสำเร็จของเขาจะไม่ธรรมดา

พวกเขาสองคนพบเจอความยากลำบากมาพอสมควร ดังนั้นจึงไม่คิดดูหมิ่นชายหนุ่ม แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยืนบนจุดสูงของมหาพันภพ แต่เนื่องจากศักยภาพของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีด้วย

“มู่เฉินไปหาข้าที่แคว้นหวูถ้ามีโอกาสนะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความไม่อยากจากไป แต่ในเมื่อบิดามาแล้ว นางก็ทำได้แค่กลับไปเท่านั้น

“แล้วก็เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ของแคว้นเซี่ยนะ ข้าจะไปทวงให้เอง เดี๋ยวจะเอามาแบ่งให้เจ้าเอง” แม้กระทั่งเวลานี้ นางก็ไม่ลืมหนี้ที่แคว้นเซี่ยค้างไว้

“กลับไปครั้งนี้ข้าจะพยายามบรรลุระดับตี้จื้อจุน หวังว่าครั้งหน้าเจ้าจะไม่ถูกข้าแซงหน้าไปนะ” เซียวเซียวก็ยิ้มทรงเสน่ห์

มู่เฉินยิ้มพยักหน้าร่ำลากับสหายทั้งสองคน

หลังจากการกล่าวคำอำลาเทพจักรพรรดิทั้งสองก็พาบุตรสาวไปจากสุสานจักรพรรดิฟ้า

มู่เฉินมองเทพจักรพรรดิทั้งสองที่จากไปก็ฝันที่จะก้าวไปถึงระดับนั้น นั่นคือการเป็นหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาสามารถแบกรับท้องฟ้าที่ถล่มลงได้เลย

“เมื่อมหาพันภพมีบุคคลเช่นนี้ค่อยปกป้องอยู่ ต่อให้จักรวรรดิปีศาจจะบุกเข้ามาอีกครั้ง เราก็คงสามารถต้านรับเอาไว้ได้” จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจก่อนที่จะหันมามองมู่เฉิน “วิชาสามพิสุทธิ์ถูกส่งผ่านทางจิตวิญญาณ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถรับวิธีการเพาะบ่มและประสบการณ์ทั้งหมดของข้าด้วย ซึ่งจะช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น”

การให้ความรู้แบบนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อมู่เฉิน แต่คนที่ทำจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก ทว่าจักรพรรดิฟ้าสิ้นชีพไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สนใจการเจ็บปวดดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อได้ยินมู่เฉินจึงพยักหน้าด้วยความขอบคุณ

“แต่เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จวิชาสามพิสุทธิ์ ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งคล้ายกับร่างหลัก นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการพัฒนา ดังนั้นข้าขอแนะนำให้เจ้าฝึกฝนหลังจากบรรลุระดับตี้จื้อจุน ด้วยวิธีนี้ร่างรองจะมีความแข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนด้วย”

มู่เฉินอึ้งไปกับข้อมูลนี้ เมื่อพูดถึงระดับหนึ่งวิชาสามพิสุทธ์ก็คล้ายคลึงกับการสร้างฝาแฝด เพียงว่าวิชานี้ลึกซึ้งยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่จะมีความแข็งแกร่งอย่างเต็มรูปแบบของร่างหลัก แต่ยังมีศักยภาพในการฝึกฝนและพัฒนาให้แข็งแรงขึ้นเองอีกด้วย

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจักรพรรดิฟ้าถึงสามารถต่อสู้กับจอมปีศาจทุนเทียนทั้งเก้าได้

แต่…ตัวเขายังมีระยะห่างจากระดับตี้จื้อจุนพอสมควร ซึ่งจุดนี้หยุดความก้าวหน้าของอัจฉริยะหลายคนมานักต่อนักแล้ว

แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่ก็ประเมินได้ว่าถ้าพึ่งพาพลังตนเองก็ยังต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะสัมฤทธิ์ผล

เมื่อจักรพรรดิฟ้าเห็นท่าทางของมู่เฉินก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้มมองไปที่กระบี่เกล็ดจักรพรรดิในมือ “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบมรดกของข้า ข้าก็ต้องให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้า”

“พรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นด้วยรากฐานที่ลึกและคลื่นหลิงที่มั่นคง ข้าสามารถใช้กระบี่เกล็ดจักรพรรดิช่วยเจ้าในการพัฒนาเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน”

“แต่ถ้าทำอย่างนั้นกระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็จะหมดพลัง” ขณะที่พูดจักรพรรดิฟ้าก็รู้สึกถึงความเสียดาย

หัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน พลังของกระบี่เกล็ดจักรพรรดิเป็นอะไรที่ยากพูดถึง วัตถุนี่เป็นวัตถุที่แม้แต่อาวุธมหสวรรค์ขั้นสูงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้ ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังน้ำลายสอด้วยความอยากได้ แต่ตอนนี้กลับจะถูกใช้เป็นราคาเพื่อช่วยเขาในการพัฒนา บุญคุณนี้มากเกินไปแล้ว

“อย่าปฏิเสธ หากเจ้าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนในอนาคต เจ้าก็จะสามารถกู้คืนสภาพมันได้ เมื่อไรที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาก็จงใช้กระบี่นี้ฟาดฟันพวกมันให้สิ้นซาก” จักรพรรดิฟ้ายิ้มเมื่อเห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนของมู่เฉิน

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของจักรพรรดิฟ้า มู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เขาได้แต่ประสานมือคำนับ ซึ่งนั่นเป็นท่าคำนับในฐานะศิษย์แล้ว

“ศิษย์รับทราบ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท