หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1201 ใครคือประมุข?
โถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน
ใบหน้าประมุขทั้งห้าฉายอาการตื่นตะลึง สิ่งนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา เนื่องจากไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะเป็นผู้นำคนใหม่
พวกเขาไม่คัดค้านถ้ามั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ เนื่องจากมั่นใจในพลังของนาง
แต่มู่เฉินมีคุณสมบัติอะไร?
แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่พวกเขาทั้งห้าก็ยังรู้สึกเหนือกว่านิดๆ เนื่องจากการความอาวุโสกว่า
สองเดือนก่อนพวกเขามองข้ามมู่เฉินเนื่องจากไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
แม้ว่าพวกเขาจะระงับความคิดนี้เมื่อมู่เฉินบรรลุขุมพลังใหม่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยในทันที ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามั่นถัวหลัวต้องการให้มู่เฉินยืนอยู่เหนือพวกเขา ใบหน้าของแต่ละคนก็ดูน่าเกลียดลงหลายส่วน
พวกเขาคงถูกล้อเลียนแน่หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นๆ จะล้อเลียนพวกเขาในฐานะผู้อาวุโสที่กลายเป็นผู้ใต้บัญชาของเด็กวัยกระเตาะ
นี่น่าอายเกินไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงมั่นถัวหลัวโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัด ไม่มีใครกล้าที่จะลบล้างคำพูดของมั่นถัวหลัว แต่เลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการคัดค้าน
มู่เฉินก็อึดอัดเช่นกัน เพราะสิ่งนี้ก็ทำให้เขาคาดไม่ถึงเพราะทุกคนรวมถึงเขาด้วยต่างรู้สึกว่ามั่นถัวหลัวเป็นผู้เดียวที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ
ดังนั้นมู่เฉินได้แต่มองมั่นถัวหลัวอย่างช่วยไม่ได้ หวังว่านางจะเปลี่ยนใจ
ทว่ามั่นถัวหลัวไม่ได้ตอบสนองต่อเขา นางห่อเสียงไว้คลื่นหลิงส่งมายังมู่เฉิน
“เจ้าต้องรับไว้”
คิ้วของมู่เฉินกระตุกก่อนที่จะตอบไปในลักษณะเดียวกัน “ทำไม?”
สายตามั่นถัวหลัวเป็นประกายวาบ “เจ้าคิดจะไปที่ตระกูลลั่วเสินด้วยตัวคนเดียวเหรอ?”
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะรู้เกี่ยวกับความตั้งใจของเขาที่จะมุ่งหน้าไปยังตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ดูท่านางอาจรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลั่วหลีเช่นกัน
มู่เฉินเหลือบมองจิ่วโยว อีกฝ่ายก็พยักหน้ายอมรับฝืดเฝื่อนว่าเป็นคนที่เปิดเผยให้มั่วถัวหลัวรู้
เมื่อทราบถึงสาเหตุเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น แต่ในใจก็ซาบซึ้ง ที่แท้มั่นถัวหลัวทำสิ่งนี้เพื่อเขา
“ข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนซีเทียน รวมถึงสถานการณ์ของคนรักเจ้าในตระกูลลั่วเสิน ข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังภายหลัง แต่ข้าบอกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยพลังของตัวเองที่มีเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเจ้าจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้วก็ตาม”
“คนรักของเจ้ากำลังเผชิญกับชะตากรรมที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง”
หัวใจของมู่เฉินบีบรัด ประกายบาดลึกกะพริบในดวงตาเขาด้วยความปวดร้าว แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีข้อมูลมากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนซีเทียน แต่เขาก็เดาได้ว่าตระกูลลั่วเสินจะต้องรับแรงกดดันมหาศาล
นั่นเป็นอะไรที่แม้แต่บุรุษก็ยังต้องเหนื่อยล้า ไม่ต้องพูดถึงลั่วหลีที่เป็นสตรีเลย!
แม้หลายปีที่ผ่านมาตัวเขาจะเผชิญหน้ากับความเป็นตายหลายครั้ง แต่ลั่วหลีก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีในตระกูลลั่วเสิน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็อยากจะบินไปหาลั่วหลีทันที สังหารทุกคนที่กล้ารังแกนาง!
ไอสังหารผุดขึ้นในดวงตาของมู่เฉินขณะที่กำหมัดลั่นเปรียะ
มั่นถัวหลัวมองไปที่เขาพูดว่า “ดังนั้นหากเจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือคนรัก เจ้าไม่สามารถไปตามลำพังได้ เจ้าต้องการพลังภายใต้คำสั่ง”
มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้คัดค้านอีก แม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน ระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นถือได้ว่าเป็นยอดยุทธ์ แต่ที่ดินแดนซีเทียนมีตระกูลเทพสี่ตระกูลที่มีรากฐานทรงพลัง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยลั่วหลีกับประชากรของนางด้วยตัวคนเดียว
แต่ถ้าเขาทำตามที่มั่นถัวหลัวพูด เขาก็จะมีพลังที่สามารถสั่งการได้ พลังที่เกินกว่าตัวเขาเอง ถ้าใครต้องการเข้าใกล้ลั่วหลี พวกเขาก็ต้องชั่งน้ำหนักตัวเลือกให้ดีก่อน
“ตอนนี้เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอยู่ไหม?” มั่นถัวหลัวถาม
มู่เฉินเม้มปากเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดว่า “แต่… แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นสิ่งที่เจ้าก่อตั้งขึ้น พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็เช่นกัน…”
การจัดตั้งขุมกำลังใหม่จะต้องมีการรวมกลุ่มพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ นอกจากนี้มั่นถัวหลัวก็อยู่ในนี้เช่นกัน ซึ่งตอนแรกทั้งหมดควรเป็นของนาง
แต่นางกลับจะมอบทุกอย่างให้กับมู่เฉิน เขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้รับเหรอ?
“เจ้าเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิฟ้า ถือซะว่าข้าทำสิ่งนี้เพื่อไม่ต้องการให้วังสวรรค์บรรพกาลจบสิ้นลง” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย นางไม่ได้สนใจเป็นผู้นำตั้งแต่ต้น เหตุผลที่นางก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพื่อที่จะมีสถานที่ที่ปลอดภัยในการรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองและล้างแค้นลู่หยวนเท่านั้น
ตอนนี้ทั้งลู่หยวนและจักรพรรดิฟ้าจากไปหมดแล้ว นางยิ่งไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ถ้าไม่ได้เป็นเพราะจักรพรรดิฟ้าฝากฝังให้นางดูแลมู่เฉิน นางก็คงละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว
ดังนั้นขุมกำลังไม่ได้สำคัญสำหรับนางเลย ทั้งหมดอาจมีความสำคัญต่อนางน้อยกว่าการมีอยู่ของมู่เฉินด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นสหายเพียงคนเดียวที่นางไว้ใจในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มู่เฉินรับรู้ถึงอารมณ์ของมั่นถัวหลัว สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนขึ้น หากไม่ใช่ลั่วหลี เขาคงค้านหัวชนฝาเช่นกัน แต่คำพูดของมั่นถัวหลัวตรงประเด็นในใจเขาพอดี ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งนี้ได้
“ขอบคุณมาก!”
มู่เฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ เอ่ยกับมั่นถัวหลัว เขารู้ว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณมั่นถัวหลัวมากมายจนยากจะตอบแทน แต่เขาก็อยากจะแสดงความขอบคุณนาง
เมื่อนางเห็นว่ามู่เฉินยอมรับในที่สุด รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของมั่นถัวหลัว จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยเสียงติดเหน็บแนม “ในเมื่อเจ้าเห็นด้วยแล้ว เจ้าก็ต้องรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาที่เหลือเอง”
มู่เฉินอึ้งไป “ปัญหาอะไร?”
มั่นถัวหลัวเท้าคางขณะที่ยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับรึ? หากเจ้าไม่ต้องการให้ขุมกำลังแตกสลายก็จงทำให้พวกเขายอมสวามิภักดิ์ นี่คือสิ่งที่ข้าไม่สามารถช่วยได้และคงสร้างรอยขุ่นเคืองใจถ้าข้าบังคับพวกเขา”
“ดังนั้นเจ้าต้องปราบพวกเขาด้วยตัวเอง”
มู่เฉินลืมตาขึ้นพลางยิ้มแล้วพยักหน้า เขารู้ว่ามั่นถัวหลัวช่วยเขาโดยการดันออกไปสุดพลัง ดังนั้นเขาจะต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อข่มขวัญคนเหล่านั้น
ถ้าเป็นสองเดือนก่อนมู่เฉินอาจจะต้องถอย เพราะไม่ว่าเขาจะมีแข็งแกร่งแค่ไหนการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้
แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างไปแล้ว เขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นแท้จริง บางทีเขาอาจเป็นน้องใหม่ในขุมพลังนี้ ทว่าถ้าคนพวกนี้คิดว่าพวกเขาปราบปรามเขาได้ก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ก่อนที่เขาจะบรรลุระดับตี้จื้อจุน เขาก็จัดการผู้อาวุโสจั่วจนหมอบราบคาบแก้วไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย!
คิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็ยืดร่างความลังเลจางหายทั้งหมด ความคมชัดกระจายออกจากหว่างคิ้ว รัศมีที่มองไม่เห็นเริ่มห่อหุ้มโถงทั้งหมดไว้
จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นห้าคนแล้วไง? ทุกคนอาวุโสกว่าแล้วไง? เขาเองไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป ถ้าแพะแก่เหล่านี้คิดว่าพวกเขาสามารถดูถูกเขาได้ พวกเขาก็ตาบอดแล้ว!
ประมุขทั้งห้าตรวจพบการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมู่เฉิน ทันใดนั้นคิ้วของพวกเขาก็ยกขึ้น แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ดูจากลักษณะแล้วมู่เฉินมีความทะเยอทะยานที่จะเหยียบหัวพวกเขาเรอะ?
“ชักจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว!”
ทั้งห้าคนเค้นเสียงเย็นเยือกในหัวใจ พวกเขายอมจำนนเมื่อเผชิญหน้ากับมั่นถัวหลัว แต่ไม่ใช่กับมู่เฉิน
กึก!
เสียงถ้วยชากระแทกบนโต๊ะดังลั่น เหล่าจอมพลอาณาเขตกงเวทสวรรค์หันมองไปในทิศทางของต้นเสียงก็เห็นหลิ่วเทียนเต้าวางถ้วยชาลงขณะเผยสีหน้าไม่แยแส
ในบรรดาประมุขทั้งห้า หลิ่วเทียนเต้าประมุขตำหนักสุดนภาเคยมีปมบาดหมางกับมู่เฉินมาก่อน แม้ว่าจะจางลงไปบ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถยอมรับให้มู่เฉินยืนค้ำคอเขาได้
ดังนั้นหลิ่วเทียนเต้าจึงมองไปที่มั่นถัวหลัวพูดว่า “ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้นำพันธมิตร ถ้าเจ้าเป็นผู้นำขุมกำลังใหม่ที่จัดตั้งขึ้นข้าก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้เรายอมรับมู่เฉินเป็นประมุข…”
หลิ่วเทียนเต้าเหลือบตาขึ้นมองมู่เฉิน น้ำเสียงเย็นชาลงหลายส่วน
“พูดแบบไม่เกรงใจ เขายังไม่มีคุณสมบัติ!”